จ้งเยียนไม่ได้ส่งเฉินโย่วกลับด้วยตนเอง
ส่วนท่านราชครูก็ยังสนทนากับฮ่องเต้อยู่
น่าจะเพราะสนทนากันออกรสออกชาติดี บัดนี้จึงได้มีรับสั่งให้ตามท่านราชครูน้อยไปอีกคน
ส่วนเตี้ยวกูก็ต้องรั้งอยู่ที่ตำหนักเพื่อดูแลองค์ชายน้อย
จ้งเยียนจึงให้นางกำนัลในตำหนักไปส่งเฉินโย่วแทน
จ้งเยียนช่วยศิษย์น้องหวีผมเผ้าที่รุงรังเรียบร้อยแล้ว
เดิมทีเขาก็ใจจดใจจ่อกับการหวีผมนัก ทว่าเมื่อหวีไปๆ หน้าก็พลันเห่อแดง
จึงได้หวีต่อลวกๆ อีกไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็ใช้แถบผ้าผูกให้เรียบร้อย สุดท้ายจึงรีบเอาผ้าคลุมกระจกให้มิดชิดทันที
โชคดีที่ยามฝ่าาส่งคนมาเรียกตัวเขา อาการหน้าแดงของเขาเริ่มจะดีขึ้นมาสักหน่อยแล้ว
เฉินโย่วบอกลาจ้งเยียน และทารกน้อยบนเตียงที่บัดนี้เพิ่งจะถ่ายหนักอีกครา แล้วจึงขึ้นรถม้าจากตำหนักราชครูแห่งนี้ไป
ครานี้ที่ออกไปนางก็ยังใช้ประตูใหญ่เช่นคราที่เข้ามา
“ตึง” ดังขึ้น หลังจากที่เฉินโย่วจากไป ประตูใหญ่ก็ปิดลง
ประตูใหญ่ของตำหนักราชครูทั้งบานใหญ่ และยังสูงมาก ดูน่าเกรงขามไม่เบา
แสงสายัณห์ลับหายไปแล้ว จึงเหลือเพียงความมืดที่ค่อยๆ คืบคลาน
เฉินโย่วบนรถม้าที่เพิ่งจะเคลื่อนตัวจากตำหนักราชครูมา บัดนี้รู้สึกปลอดโปร่งกว่ายามเช้านักจึงเอาแต่มองบรรยากาศนอกรถม้าไปตลอดทาง
แม้ว่านางจะเข้ามาอาศัยในเมืองหลวงได้พักใหญ่แล้ว แต่นางยังไม่เคยมาเดินเล่นเลยสักครา
บัดนี้ขอบฟ้าเริ่มจะเหลือแสงตะวันเพียงรำไร ทั้งเมืองก็ดูเกียจคร้านขึ้นมา บนถนนผู้คนบ้างก็เร่งรีบ บ้างก็เอ้อระเหย
เฉินโย่วเกาะขอบหน้าต่างรถม้าแล้วมองออกไปข้างนอก พร้อมความฉงนใจที่ผุดขึ้นมา
เมืองหลวงที่แสนจะรุ่งเรืองใหญ่โตกว่าอำเภอิเหอหลายเท่า น่ามองไปเสียทุกมุมเมือง ทั้งยังมีคนมากมาย ยิ่งกว่านั้นทุกคนยังยิ้มแย้มอยู่เสมอ คนหน้านิ่วคิ้วขมวดนั้นไม่ค่อยจะมีให้เห็น ส่วนคนที่หน้าแดงระเรื่อไม่ค่อยจะมีให้เห็น กระทั่งบุรุษก็ยังหน้าขาวเสียราวกับฉาบไว้ด้วยแป้งมากมาย
บนถนนจึงก็มีทั้งรถม้า มีเกี้ยว และคนที่สัญจรเดินเท้าอยู่ไม่ขาด
ถนนสำหรับให้รถม้าสัญจรกว้างขวางมาก สองข้างทางยังแน่นขนัดไปด้วยหอสูง ทั้งยังมีหอสูงสองชั้น หอสูงเ่าั้ล้วนแต่มีธงแหลมห้อยอยู่ ยามลมพัดก็พลิ้วไหวไปตามสายลม ยิ่งกว่านั้นยังมีแสงสายัณห์สาดลงมารำไร
เฉินโย่วเมื่อเห็นธงปลายแหลมโบกสะบัดไปตามลม ก็คิดถึงยามที่นางยังอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แผงชาของพี่ชายก็มีธงเช่นนี้แขวนอยู่เช่นกัน ทั้งบนธงยังมีตัวอักษรคำว่าลู่เขียนอยู่
ยามทุ่งหญ้ามีลมพัดธงนั้นจะพลิ้วไสวไปมา
นางรู้สึกว่ายามพี่ชายยังอยู่บนทุ่งหญ้านั้นเบิกบานใจกว่ายามอยู่ในสำนักเชินเสียอีก
รอยยิ้มบนใบหน้าราวกับจะกระชากใจทุกคนที่เดินผ่าน ยามนั้นนางรู้สึกว่าพี่ชายช่างองอาจเหลือเกิน
น่าจะเป็เพราะนางอยู่กับพี่ชายมาั้แ่เล็ก จึงได้ยินเื่การค้าและการปล้นที่พี่ชายคุยกับเหล่าปามาไม่น้อย สำหรับเฉินโย่วแล้วเื่เหล่านี้ล้วนแต่ประทับอยู่ในใจของนาง
กระทั่งยามนี้เมื่อคิดย้อนกลับไปก็ยังรู้สึกว่าเื่เ่าั้ช่างดีนัก
เหล่าคนในเมืองหลวงล้วนแต่มีเงินกันทั้งนั้น หากว่าออกปล้นย่อมจะได้เงินไม่น้อย
สายตาที่เฉินโย่วมองคนที่สัญจรไปมาบนถนนจึงปรากฏแววเสียดายขึ้นมา
นางกำนัลที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้ามองดูนายน้อยรูปงามตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าหากได้รู้ก็คงจะใเป็แน่
ก็จะมีใครคิดเล่าว่าจะมีคนคิดจะออกปล้นในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่คิดอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร
ในใต้หล้านี้คงจะมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเท่าใดก็ได้ ส่วนคนอื่นๆ ต่อให้มีความคิดเช่นนั้นแต่ก็คงจะทำได้เพียงแค่ฝันเท่านั้น
รถม้าที่เดินทางจากตำหนักราชครูมาบัดนี้ก็โคลงเคลงผ่านตัวเมืองหลวงไปมา…
รถม้าของตระกูลหยินก็กำลังเคลื่อนตัวอย่างเอื่อยเฉื่อยออกมาจากจวนของตน
จวนของตระกูลหยินตั้งอยู่ใจกลางของเมืองหลวงพอดี อีกทั้งจวนของพวกเขายังกินพื้นที่มากมาย
รอบนอกจัดให้เป็ร้านค้า ส่วนด้านในจึงจะเป็ที่อยู่อาศัย
ที่ดินผืนกว้างของตระกูลหยินครอบคลุมถนนเส้นนี้ไปกว่าครึ่ง
ถนนเส้นนี้ทั้งเจริญและคึกคัก แต่สำหรับคนแคว้นเชินแล้วกลับมองว่าที่ตรงนี้เป็สถานที่ชั้นต่ำ
ชนชั้นสูงในแคว้นเชินนิยมตั้งจวนใกล้ๆ กับวังหลวง กล่าวได้ว่ายิ่งใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ส่วนในแคว้นซีกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง การค้าของแคว้นซียิ่งใหญ่ จึงล้วนแต่นิยมอาศัยอยู่ในบริเวณหลังเส้นการค้าที่มีความรุ่งเรือง
ที่ดินยิ่งกินพื้นที่มากเท่าใดก็ยิ่งดี
ดังนั้นที่ดินในแคว้นเชินที่ตระกูลหยินเลือกซื้อจึงเป็เช่นนี้
ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกว่าคนแคว้นเชินช่างเบาปัญญานัก ที่ดินผืนงามขนาดนี้ แต่กลับขายถูกถึงเพียงนั้น
หากว่ายังอยู่ในแคว้นซี ที่ดินเช่นนี้ย่อมต้องมีคนตบตีแย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตกแน่นอน
วันนี้เขาก็ได้นัดสหายให้มาพบกันที่หอเฟิงเยว่
เพราะหยินหัวนับว่าเป็เศรษฐีคนหนึ่ง ยามใช้จ่ายจึงใจป้ำนัก เขาเข้าใจดีว่าแคว้นเชินเป็แคว้นแห่งขุนนาง การคบค้าสมาคมกับบุตรชายของเหล่าขุนนางก็นับว่าเป็วิธีการที่เข้าถึงง่ายที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะตระหนี่เงินทอง เอาแต่จ่ายเงินจ่ายทองให้เหล่าเด็กๆ ผู้แสนโชคดีเหล่านี้
ผนวกกับรูปลักษณ์ที่แสนงดงามของเขา วาจายังคมคาย ในรูปลักษณ์ของยอดพ่อค้าชุดขาวเช่นนี้ เขาจึงมีสหายใหม่เพิ่มมาไม่น้อย และเพียงไม่นานก็เริ่มจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงขึ้นมาแล้ว
วันนี้เขาจะพาเ้าหลานชายของตนไปเยือนหอเฟิงเยว่สักครา ด้วยเขานั้นได้รับการชี้แนะมาจากสหาย ว่าวันนี้ท่านจี้จิ่วของสำนักเชินก็อยู่ที่นี่เช่นกัน จึงได้อยากพาเ้าหลานชายมาด้วย ต่อไปยามอยู่ในสำนักเชินจะได้ดูแลง่ายสักหน่อย
ยามอยู่ด้านนอกเขาก็ยังจะพอดูแลเ้าเด็กนี่ไหว ทว่ายามอยู่ในสำนักเชินก็แทบจะเป็ไปไม่ได้
เขาได้ตรวจสอบเื่เหล่านี้อย่างลึกซึ้ง พบว่าวงการขุนนางของแคว้นเชินมีรอยรั่วมากมายราวกับตะแกรงก็ไม่ปาน ทว่าสำนักเชินกลับเข้มงวดจนไม่สามารถสืบข่าวอันใดได้
ทำให้หยินหัวอดชื่นชมไม่ได้ว่าไม่เสียแรงที่สำนักเชินเป็สำนักการศึกษาอันดับหนึ่ง ความนิยมที่สำนักเชินได้รับนั้นก็ถือว่าคู่ควรนัก
ส่วนหยินสงเมื่อได้ยินชื่อหอเฟิงเยว่ก็ต่อต้านขึ้นมา ทว่าก็ดูสงสัยเช่นกัน
หยินหัวเดิมทีคิดว่าเ้าหลานชายอย่างไรก็คงจะไม่ยอม ไม่คาดคิดว่าเ้าเด็กนี่อยู่ดีๆ ก็ยอมขึ้นมาเช่นนี้ ทว่าก็ยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน
บางทีอาจจะเพราะเข้าเรียนในสำนักเชิน จึงทำให้เขาเป็ผู้ใหญ่ขึ้นมาสักหน่อย
สองอาหลานพากันนั่งรถม้าไปหอเฟิงเยว่
หยินหัวบัดนี้เรียกได้ว่ากลายเป็แขกประจำของหอเฟิงเยว่ไปแล้ว ว่าไปแล้วเหล่าพี่สาวที่นั่นก็สนิทสนมกับเขาแล้ว ถึงอย่างไรเขาที่ใช้เงินมือเติบถึงเพียงนั้น ไม่ว่าพี่สาวนางใดในหอเฟิงเยว่ก็คงจะนึกชื่นชอบกระมัง
รถม้าของตระกูลหยินค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หอเฟิงเยว่
ส่วนรถม้าจากตำหนักราชครูก็ถูกสกัดไว้เช่นกัน
คนที่มาดักรถม้าไว้ก็คือหลินเฟินนั่นเอง
นานๆ ทีจะได้มีวันหยุดเช่นนี้ หลินเฟินและคนอื่นๆ จึงไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเปล่าๆ
บัรฑิตวัยเยาว์เหล่านี้จึงพากันรวมกลุ่มแต่ในนาม ความจริงแล้วก็เพื่อดักรอเฉินโย่ว
โอกาสนี้ช่างหาได้ยากนักที่บัณฑิตที่หน้าตาดีที่สุดในชั้นเรียนอย่างลู่เฉินโย่ว จะไม่มีพี่ชายตามหลังเป็พรวน เช่นนี้พวกเขาจึงคิดจะชวนเขาออกมาเที่ยวเล่นด้วยกัน
อีกทั้งหอเฟิงเยว่ แต่ละหอก็ยังมีกฎไม่เหมือนกัน
หอที่โดดเด่นดุจบุปผาหายากจะต้องเป็หอมู่เหยียน กฎของหอนี้คือหากเ้าหน้าตาดีพอก็สามารถเข้าไปได้ ไม่จำกัดชนชั้น เพียงแต่จะต้องมีเงินมากพอที่จะจ่าย
คนที่สามารถเข้าไปได้เพราะหน้าตามีเพียงแค่หยิบมือ แขกที่หอมู่เหยียนจะต้องรองรับโดยส่วนใหญ่หากไม่เป็ยอดบัณฑิต ก็ต้องเป็ท่านอ๋องหรือชนชั้นสูงที่ร่ำรวยผิดแผกจากคนอื่นในแคว้นที่ผู้คนภายนอกล้วนแต่ไม่เคยจะได้พบเจอ
ทว่ายิ่งปิดกั้นเท่าใด ก็ยิ่งมีคนอยากจะเข้าไปมากเท่านั้น
กระทั่งคิดว่าการได้เข้าหอมู่เหยียนนับว่าเป็เกียรติยศ
ดังนั้นหลินเฟินจึงได้สกัดลู่เฉินโย่วเอาไว้ ด้วยคิดจะพาลู่เฉินโย่วไปเยือนหอมู่เหยียน
ด้วยหน้าตาเช่นนี้ของเฉินโย่ว เขาย่อมจะต้องเข้าหอมู่เหยียนได้อย่างแน่นอน
เขาในฐานะผู้ติดตามก็ย่อมจะพลอยได้รับบารมีเข้าไปด้วยเช่นกัน
หลินเฟิน และหลงเชิงหั่วที่เดิมทีไม่ค่อยจะถูกกันนัก พอเป็เื่นี้กลับรวมหัวเข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย
เมื่อหลินเฟินหยุดรถม้าได้แล้ว เฉินโย่วก็แหวกม่านออก
เด็กหนุ่มบนรถม้ามีท่าทางเกียจคร้าน รอยยิ้มพราวเสน่ห์บนใบหน้า ร่างนั้นยามะโลงจากรถม้าก็ยิ่งดูอรชร ทั้งอาภรณ์ก็ยังดูงดงามนัก
ท่าทางผ่าเผยนั้นชวนให้คนใจเต้น
เด็กหนุ่มหลายคนที่ยืนอยู่ล้วนแต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไร เพียงแต่ในใจกลับมีเสียงร่ำร้องดังขึ้นว่า
แม่เ้าโว้ย รูปลักษณ์เช่นนี้ไม่รู้จะไปเอาเปรียบพี่สาวในหอได้อีกกี่คน แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะโดนพี่สาวเอาเปรียบได้เช่นกันกระมัง