พอไหว?
ไร้ความยำเกรง?
คำพูดเหมือนกัน กล่าวออกมาจากคนละคน พอน้ำเสียงเปลี่ยนความหมายย่อมต่างกันสุดขั้ว
บางครั้งการไม่มีทั้งท่าทีต่ำต้อยหรืออวดดี [1] กับการแสดงกิริยาจองหองก็ต่างกันเพียงน้ำเสียงเท่านั้น คำพูดคำจาของเซี่ยเสี่ยวหลานเกิดมาได้เปรียบ แม้ต่อปากต่อคำก็ไม่ทำให้คู่กรณีอารมณ์พลุ่งพล่านโดยง่าย เนื้อเสียงไพเราะน้ำเสียงอ่อนหวาน นี่เป็สิ่งที่ติดตัวมาั้แ่กำเนิด
ทว่าพอโจวอี๋ถ่ายทอดสารแก่กวนฮุ่ยเอ๋อ ความหมายก็เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด!
อย่างน้อยเมื่อกวนฮุ่ยเอ๋อได้ฟังแล้ว เธอคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มีกิริยาสมศักดิ์ศรี แต่ยโสโอหังเพราะมีคนถือหางให้
ลักษณะของหญิงสาวชนบทคนหนึ่งที่หน้าตาสะสวย ทำลูกชายเธอหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น แถมนิสัยยังจองหองมาก เกิดเป็ภาพลักษณ์แบบรูปธรรมในสมองกวนฮุ่ยเอ๋อผ่านการบรรยายของโจวอี๋เรียบร้อย
ไม่ได้ ไม่ได้ เด็กสาวแบบนี้แค่ให้คบหากับโจวเฉิงก็ถือเป็ภาระทั้งสิ้น
กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกไม่สบอารมณ์ตลอดทั้งวัน
เด็กคนนั้นมาปักกิ่งเพื่อทำอะไร? ไม่ใช่ว่าอาศัยอยู่อวี้หนาน ตอนนี้ยังเรียนหนังสือหรือ?
เ้าตัวมาถึงปักกิ่ง ถ้ารู้จักมารยาทก็ควรมาเยือนกระกูลโจว แน่นอนว่าบ้านโจวยอมรับหรือไม่นั้นคืออีกเื่หนึ่ง หากมาถึงบ้านจริงคงไม่ร้ายแรงไปกว่าปฏิบัติต่อเธอด้วยความเ็า ไม่มีทางที่จะไล่ตะเพิดออกไปแน่นอน
ไม่ได้มาบ้านโจว อีกทั้งยั่วยวนโจวเฉิงแอบลาจากที่ทำงาน—ไม่มีจิตสำนึกเอาเสียเลย ต่อให้ย่าของโจวเฉิงคิดถึงหลานชายแค่ไหน ก็ไม่ไปรบกวนงานการของโจวเฉิงโดยเรียกเขาออกมาจากหน่วยงาน โจวเฉิงก็อีกคน เพื่อหญิงสาวชนบทคนเดียว ไม่เพียงแต่ลางานจากหน่วยงานมาตามติด กระทั่งบ้านยังไม่กลับด้วยซ้ำ
กวนฮุ่ยเอ๋อทั้งโมโหที่เด็กสาวชนบทแผนสูง และขุ่นเคืองที่โจวเฉิงลูกชายเธอไม่รู้เื่รู้ราว ส่วน ‘ต่งลี่ลี่’ ที่โจวอี๋กล่าวถึง กวนฮุ่ยเอ๋อไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย มีหญิงสาวชอบโจวเฉิงอยู่ถมเถไฟ ภาคภาคหน้ายิ่งโจวเฉิงมีอนาคตไกล สตรีผู้เหมาะสมทุกประการยิ่งมีมาให้กวนฮุ่ยเอ๋อเลือกเฟ้นได้ตามสะดวก
หนึ่งธุระรับผิดชอบด้วยคนคนเดียวก็พอ เป็อีกหนที่กวนฮุ่ยเอ๋อตามหาคังเหว่ย
“น้าได้ยินว่าใครมาปักกิ่งแล้วนะ? เธอตามตัวเขาออกมาให้น้าเจอหน่อยสิ”
ตอนครั้งแรกคังเหว่ยลนลาน พอครั้งที่สองคังเหว่ยนิ่งสงบมาก ประเด็นหลักคือกวนฮุ่ยเอ๋อรับรู้ถึงการมีอยู่ของเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว และคังเหว่ยไม่ถือว่าเป็คนขายความลับของโจวเฉิง เมื่อคืนวานที่ภัตตาคารปักกิ่งมีคนมากมายอยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนล้วนเห็นว่าโจวเฉิงปฏิบัติต่อเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างไร คังเหว่ยจึงรู้ว่าเื่นี้จะต้องแพร่เข้าหูคนตระกูลโจวในไม่ช้าก็เร็ว
แค่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วถึงเพียงนี้ คงเป็โจวอี๋อีกตามเคย
คังเหว่ยคิดว่าโจวอี๋นั้นประหลาด ทำอะไรไม่แบ่งคนในคนนอก สนิทกับต่งลี่ลี่ก็สนิทไปสิ ต่งลี่ลี่ชอบโจวเฉิง จำเป็ต้องจับโจวเฉิงห่อส่งไปให้บ้านต่งหรือ?
คังเหว่ยไม่ตระหนกตกตื่น แถมยังชี้แจงเหตุผลให้
“น้ากวน น้าอยากเจอคนรักพี่เฉิงจื่อหรือ? แต่เธอนั่งรถไฟเที่ยวเช้าวันนี้กลับซางตูแล้วนะครับ”
ออกแบบบ้านสองหลังเสร็จสิ้น เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถอยู่ปักกิ่งได้นาน
ธุรกิจเสื้อผ้าในซางตูยังห่างจากเธอไม่ได้ หลิวหย่งอยู่ปักกิ่งต่อเพื่อตกแต่งบ้าน ด้านซางตูเหลือเพียงผู้หญิงสองคนกับเด็กน้อย เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกไม่วางใจ
กวนฮุ่ยเอ๋อตั้งตัวไม่ทัน “ไปั้แ่เช้าแล้วหรือ?”
เมื่อคืนวานยังกินข้าวกับโจวเฉิงอยู่เลย เช้านี้กลับนั่งรถไฟจากไปเสียแล้ว นี่กลัวคนจากตระกูลโจวจะหาเื่เธอหรืออย่างไร?
ได้ยินว่าท่าทางยโสโอหังพอตัว ที่แท้ก็ไม่กล้าเผชิญหน้า
กวนฮุ่ยเอ๋อทั้งขำขันและอารมณ์ดี ภายในใจมีความรู้สึกดูถูกอยู่เล็กน้อย ยิ่งคิดว่าจะปล่อยให้โจวเฉิงคบหากับเด็กสาวแบบนี้ต่อไปไม่ได้
คังเหว่ยอุตส่าห์เตรียมคำพูดไว้เป็กระบุง นึกว่ากวนฮุ่ยเอ๋อจะซักถาม แต่พอได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับซางตู กวนฮุ่ยเอ๋อแค่โบกมือปัดๆ “ถ้าอย่างนั้นไม่เจอก็ได้”
ไม่ถามกระทั่งเซี่ยเสี่ยวหลานมาทำอะไรที่ปักกิ่ง
กลับซางตูทำไมก็ไม่ถามเหมือนกัน
คังเหว่ยวิเคราะห์ บ้านโจวไม่แยแสว่าที่พี่สะใภ้สักเท่าไร... แต่จะทำอย่างไรได้ เห็นพี่เฉิงจื่อเป็แบบนั้นแล้ว คงจำต้องรับว่าที่พี่สะใภ้เป็ภรรยาแน่นอน ยังไม่ทันเข้าบ้าน ความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ก็น่าอึดอัดขนาดนี้ คังเหว่ยไม่รู้ว่าตนเองควรสงบนิ่งไว้อาลัยให้ใครดีเลย
ให้เซี่ยเสี่ยวหลานหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่ผู้ที่จะยอมโดนข่มเหงฝ่ายเดียวด้วยซ้ำ
ตอนนี้คังเหว่ยทราบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีความสามารถ ไม่ใช่ว่าต้องเกาะโจวเฉิงไม่ปล่อย ถ้าตระกูลโจวคัดค้าน เซี่ยเสี่ยวหลานอาจถีบส่งโจวเฉิงทันทีทันใดเลยก็เป็ได้
คิดไปคิดมา สงบนิ่งไว้อาลัยให้พี่เฉิงจื่อดีกว่า ถูกบีบอยู่ระหว่างสตรีสองนาง ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่รู้ เพราะว่าเธอกลับซางตูเร็วเกินไป ปัจจุบันคะแนนที่มารดาโจวเฉิงให้เธอในใจเกือบติดลบแล้ว
แน่นอนว่าตอนแรกคะแนนก็ไม่สูงอยู่แล้ว นี่ยิ่งหักคะแนนไปอีก
แม้รู้เธอก็ไม่มามัวใส่ใจ ขนาดคังเหว่ยยังพอมองรูปแบบการคบหาดูใจของเซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิงออกบางส่วน ตัวผู้หญิงเองมีความสามารถ ความมั่นใจจึงเต็มเปี่ยม หญิงสาวหากอยากสมรสกับชายฐานะดีกว่าย่อมต้องนอบน้อม การนอบน้อมชั่วคราวนั้นใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มากกว่า... เซี่ยเสี่ยวหลานไม่้าแต่งงานกับผู้สูงส่ง เธอไม่ยินดีถูกข่มเหงรังแก เธอคิดเพียงอยากจะยืนบนจุดสูงด้วยตนเอง
----------------------------------------
เป็เื่ดีที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เสียเวลาต่อและกลับซางตู
มิใช่ว่าธุรกิจเกิดปัญหาอะไร แต่เพราะหลิวฟางน้าของเธอมาหาถึงซางตู สองวันนี้โผล่มาซางตูอย่างสม่ำเสมอ
หลิวฟางร้อนรนตามหาที่อยู่ของเซี่ยเสี่ยวหลาน ไปหมู่บ้านชีจิ่งตั้งหลายหนก็ไม่เจอเลยสักครั้ง
ภายหลังหลิวเฟินกลับไปจัดการเื่ที่ดินที่ได้รับการจัดสรร ก็ได้ทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของทางนี้ไว้ให้สะใภ้ใหญ่เฉิน หลิวฟางคลาดกับพี่รองอีกครั้ง พอได้ยินว่าพี่สาวกลับหมู่บ้านแล้วไปบ้านเฉิน หลิวฟางที่หนังหน้าหนาทน จึงพึ่งพาอาศัยสะใภ้ใหญ่เฉินเสียเลย
เธอมาเฝ้าสะใภ้ใหญ่เฉินทุกวัน
โทรศัพท์ของหมู่บ้านติดตั้งเสร็จพอดี สะใภ้ใหญ่เฉินจึงโทรศัพท์ไปยังซางตู ถามความคิดเห็นของหลิวเฟิน
หลี่เฟิ่งเหมยคิดว่าหลิวฟางไม่ชอบมาพากล พยายามติดต่อกับครอบครัวฝั่งแม่บ่อยครั้งแบบนี้ขึ้นมากะทันหัน ทั้งให้เงินทองทั้งแนะนำคู่หมายแก่เซี่ยเสี่ยวหลาน น่าจะมีแผนการอื่นแอบแฝงอยู่เป็แน่ หลิวเฟินไม่ได้คิดมากเท่าหลี่เฟิ่งเหมย อีกอย่างนั่นคือน้องสาวร่วมสายเืของเธอ ตอนวัยเยาว์ของกินที่ตนเองอยากทานก็ต้องป้อนใส่ปากหลิวฟางจนหมด แม้อายุห่างกันไม่มาก ไม่ถึงขั้นเห็นหลิวฟางเป็ลูกสาว แต่ก็รักใคร่เอ็นดูอยู่ดี
หลังหลิวฟางออกเรือน ฐานะบ้านเหลียงอยู่ดีกินดี ส่วนหลิวเฟินอยู่บ้านเซี่ยเป็แค่ที่รองมือรองเท้า และเธอช่วยอะไรหลิวฟางไม่ได้เลย—โดยสรุปแล้ว เืย่อมข้นกว่าน้ำ หลิวฟางเองก็ไม่เคยนำความเ็ปร้ายแรงมาให้หลิวเฟินเหมือนเซี่ยต้าจวิน ดังนั้นในใจเธอยังคงทิ้งน้องสาวของตนไม่ได้
พอรู้ว่าเธอใจอ่อน หลิวหย่งกับเซี่ยเสี่ยวหลานต่างพากันโน้มน้าว
ทว่าคราวนี้ทั้งหลิวหย่งและเซี่ยเสี่ยวหลานต่างพากันเดินทางไปปักกิ่ง ไม่มีคนขัดอยู่ข้างๆ เมื่อสะใภ้ใหญ่เฉินต่อสายมาถามว่าจะทำอย่างไร หลิวเฟินก็ให้หมายเลขติดต่อแก่หลิวฟางจนได้
หลิวฟางถือว่าตนคว้าโอกาสไว้แล้ว ก็ตัดพ้อหลิวเฟินเสียเต็มเหนี่ยว
ถือของฝากกลับบ้านแม่ตอนตรุษจีนวันที่สิบห้า ในบ้านไม่มีใครอยู่สักคน ทำให้เธอไปเสียเที่ยว คนทั้งหมู่บ้านล้วนหัวเราะเยาะเธอ อะไรทำนองนั้น
แถมบอกอีกว่าเธอกังวลว่าทั้งครอบครัวจะถูกคนหลอกลวงอยู่ข้างนอก ไม่ส่งจดหมายใดๆ บ้างเลย อะไรประมาณนี้
อย่างไรเสียก็พล่ามน้ำไหลไฟดับใหญ่โต พูดจนสุดท้ายหลิวเฟินรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
หลิวฟางถามเธอว่าอยู่ที่ไหน เธอจึงบอกที่อยู่ในซางตูไป ตอนหลี่เฟิ่งเหมยรู้เื่ก็สายไปเสียแล้ว หลี่เฟิ่งเหมยเองก็จนปัญญาเช่นกัน ต่อให้หลิวหย่งสามีเธอไม่โปรดหลิวฟาง หากหลิวฟางมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้จริงๆ คนเป็พี่ใหญ่จะไม่ช่วยได้หรือ? และในตอนแรกเขาเคยคุกเข่าสาบานต่อหน้าหลุมศพบิดามารดาว่าจะดูแลน้องสาวทั้งสองอย่างดี
“จะไม่พูดก็ต้องพูดแล้ว ถ้าหลิวฟางตามมา เธออย่าซื่อบื้อบอกเื่เกี่ยวกับธุรกิจให้เขารู้เชียวล่ะ”
เมื่อรู้ว่าอาศัยที่ไหน การรู้จัก ‘หลานเฟิ่งหวง’ ก็เป็สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในวันนี้พรุ่งนี้
จริงอยู่ว่าคุณนายเหลียงผู้สูงส่งคงไม่ชายตาแลธุรกิจอิสระ แต่หลี่เฟิ่งเหมยกำลังคิดอย่างวายร้าย ไม่อยากให้หลิวฟางเข้าร่วมธุรกิจร้านเสื้อผ้า—ตอนนี้ ‘หลานเฟิ่งหวง’ มิใช่ธุรกิจส่วนตัวกระจอกงอกง่อยธรรมดาอีกต่อไป เปิดกิจการได้สองเดือน ก็กลายเป็ที่รู้จักดีทั่วซางตูแล้ว!
เชิงอรรถ
[1]不卑不亢 ไม่ต่ำต้อยไม่อวดดี หมายถึง ไม่ลดคุณค่าตนเองจนต่ำต้อย แต่ไม่อวดดีหยิ่งผยอง อธิบายถึงลักษณะของคนที่ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม รู้ความอย่างพอเหมาะพอดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้