อวิ๋นจื่อขบคิดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง นางเห็นดอกหลิวฮวา[1]เบ่งบานชูช่อ หากแหงนมองขึ้นไปอีกนิดก็จะเห็นดอกตูมงดงาม กลีบดอกสีแดงเพลิงตัดกับใบไม้สีเขียว
‘ข้ายังมีอะไรค้างคาใจอยู่อีกหรือ?’
‘หรือไม่มี?’
‘ั้แ่ข้าหนีออกจากตำหนักเหวินฮวาและเดินทางมาที่นี่ ข้าเพิ่งจะมีความคิดเช่นนั้นหรือ?’
‘ข้าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตระกูลอวิ๋น’
นี่เป็เหตุผลเดียวที่ทำให้นางมีชีวิตอยู่ นางรอวันที่ตระกูลอวิ๋นจะได้กลับขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดเช่นเดิม
เป็ไปได้หรือไม่ว่านางทำอะไรผิดพลาดไป?
‘จวนผู้ว่าการไม่อาจมอบสมองให้เ้าได้’
‘นี่ข้ากำลังถูกด่าใช่หรือไม่?’
อวิ๋นจื่อคิดอย่างขมขื่น จากนั้นนางก็เดินไปยืนริมหน้าต่าง ยื่นมือออกมาดึงดอกหลิวฮวา เด็ดกลีบมันออกทีละกลีบด้วยความโกรธ แล้วโยนทิ้งนอกหน้าต่าง
ทันทีที่หันกลับมานางก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของใครบางคน
เสียงอันอ่อนโยนของเย่เช่อดังขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
“ปี้เหยียนเกิดอะไรขึ้น?”
อวิ๋นจื่อกอดเขาเบาๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่มีอะไร เป็เพียงความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างข้ากับซูเจิน”
เย่เช่อคลายอ้อมกอดลงอย่างนุ่มนวล เขาจ้องมองดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของนางแล้วกล่าวว่า “ขัดแย้งอะไรกัน? เล่าให้ข้าฟังทีสิ”
อวิ๋นจื่อกระซิบ “เขาหาว่าข้าไร้สมอง”
หลังจากพูดจบ นางก็ก้มหน้าลงอย่างไม่พอใจ
เย่เช่อหัวเราะเสียงดัง “นี่มันอะไรกัน ซูเจินชอบแกล้งสตรีแบบนี้หรือ? เอาล่ะ อย่าโกรธไปเลย ข้าจะพาเ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
เย่เช่อจูงมือนาง เขาพานางเดินลอดใต้ต้นหลิวแล้วมุ่งหน้าไปทางห้องโถงใหญ่
มีทางเดินเล็กๆ ข้างห้องโถงใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเชื่อมไปยังห้องหนังสือ
เหตุใดเขาจึงพานางมาที่นี่?
อวิ๋นจื่อรู้สึกสงสัย
เมื่อมาถึงห้องหนังสือ เย่เช่อก็ขยับหนังสือบนชั้นวางเบาๆ ทันใดนั้นช่องลับก็ปรากฏขึ้น อวิ๋นจื่อได้กลิ่นหอมสดชื่นลอยออกมา
เย่เช่อจับมือนางและเดินเข้าไปในช่องลับ
ด้านในมีสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสและแปลกตา
กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้บรรยากาศสดชื่นขึ้นไม่น้อย
สาวงามกับดอกไม้ช่างเป็ภาพที่น่าอภิรมย์
เย่เช่ออดไม่ได้ที่จะคว้าตัวนางมากอด แล้วมอบจูบอันอ่อนโยนและอ้อยอิ่งราวกับสายลม
กลิ่นหอมของดอกไม้และรสจูบช่างหอมหวานเสียจนทำให้ทั้งคู่รู้สึกมัวเมา
มัวเมาเหมือนหลงทางในหุบเขาหมอก
หญิงสาวหายใจหอบ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบริเวณกรอบหน้า เมื่อเห็นเช่นนี้ยิ่งทำให้เย่เช่อควบคุมตนเองได้ยากขึ้น
ชายหญิงจูบกันอย่างดูดดื่ม อุณหภูมิรอบตัวจึงดูเหมือนจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เย่เช่อเปรียบได้กับม้าป่าที่ห้อตะบึง กลิ่นหอมของดอกไม้ช่างหอมหวาน และหญิงสาวอันเย้ายวนในอ้อมแขนก็ทำให้เขามัวเมายิ่งขึ้นไปอีก เขาไม่รู้ว่าตนเองควรทำอะไรหรืออยากทำอะไร รู้เพียงว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา
สาวงามในอ้อมแขนเปรียบเสมือนดวงดาวที่เจิดจรัส
ก่อให้เกิดความอบอุ่นในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างมาก
ดูเหมือนความคับแค้นใจ ความเ็ป และความไม่พอใจที่เขาได้รับใน่หลายปีที่ผ่านมาได้สลายกลายเป็หมอกควันไปหมดแล้ว
หัวใจของเขาราวกับดอกบัวบานสะพรั่งที่เต็มไปด้วยความผ่องใสและอิ่มเอิบ
ความสุขเบ่งบานเต็มหัวใจ และเขาเพิ่งได้ลิ้มรสมันเป็ครั้งแรก
ความรู้สึกเช่นนี้นับว่าควรค่าแก่การรอคอย
ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้ริมฝีปากของอวิ๋นจื่อเบา ๆ ดวงตาของเย่เช่ออ่อนโยนราวกับสายน้ำ เขากล่าวว่า
“นี่คือเรือนกระจกของข้า”
อวิ๋นจื่อหน้าแดง
เย่เช่อยิ้ม “ข้าเคยคิดว่าเรือนกระจกแห่งนี้มีค่าที่สุดสำหรับข้า แต่นับจากนี้ย่อมไม่เป็เช่นนั้นอีกต่อไป”
อวิ๋นจื่อมองเขาด้วยความสงสัย นางไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
เย่เช่อกล่าวต่อว่า “เพราะไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่าเ้า”
คำพูดดังกล่าวเปรียบได้กับก้อนกรวดที่ถูกโยนลงในทะเลสาบ มันก่อให้เกิดระลอกคลื่นเบาๆ ระลอกแล้วระลอกเล่า
อวิ๋นจื่อยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า “สำหรับปี้เหยียนคุณชายมีค่าที่สุดเช่นกันเ้าค่ะ”
แน่นอนว่าในมุมมองของนางที่ให้ความสำคัญกับอนาคตของตระกูลอวิ๋นเป็หลัก เย่เช่อย่อมเป็เพียงสะพาน
แม้ว่านางจะจริงใจกับเขาอยู่บ้าง
แต่เมื่อเทียบกับอนาคตของตระกูลอวิ๋น เขาไม่นับเป็อะไร
มีร่องรอยความเ็าซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มที่สดใสของนาง ใบหน้าอันงดงามทำให้ร่องรอยดังกล่าวแทบมองไม่เห็น ในตอนนี้นางดูไร้เดียงสาจนน่าสงสาร
บางทีความงามของสตรีก็เป็อาวุธได้เช่นกัน เื่นี้อาจดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มักส่งผลต่อจิตใจบุรุษเสมอ
หัวใจของเย่เช่ออ่อนยวบลงทันที เขายิ้มและแนะนำดอกไม้ทุกชนิดในเรือนกระจกให้นางฟัง เขารู้สึกราวกับความสุขในใจกำลังจะล้นทะลักออกมา
เย่เช่อรู้สึกว่าเสียงของตนเองฟังดูมีเสน่ห์อย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
เมื่อออกมาจากเรือนกระจก ใบหน้าของทั้งคู่ยังคงดูอิ่มเอิบและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสุข
เย่เช่อพานางไปที่ห้องนั่งเล่นของจวนตระกูลซู
ซูเจินนั่งรออยู่บนที่นั่งหลักแล้ว
เขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าพวกเ้าจะไม่มาทานข้าวเสียแล้ว!”
อวิ๋นจื่อรู้สึกอายเล็กน้อย จึงก้มหน้าลง
เย่เช่อกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาทานข้าว เ้าทานไป ส่วนข้าจะนั่งดู”
ซูเจินกล่าวว่า “อย่ามาเล่นตลก เ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเ้าขอให้แม่ครัวทำอาหารเย็นให้เ้า ข้ารู้ว่าความงามนั้นหอมหวาน ข้าเชื่อในเื่นี้อย่างแน่นอน แต่เ้า…อย่าแม้แต่จะคิด นางเป็น้องสาวของข้า เป็น้องสาวแท้ๆ ของซูเจิน! หากยังไม่ถึงเวลาอันสมควรเ้าห้ามแตะต้องนางเป็อันขาด”
เย่เช่อนั่งลงข้างอวิ๋นจื่ออย่างเป็ธรรมชาติ
ทั้งสามคนต่างจมอยู่กับความคิดของตนเองและทานอาหารอย่างเงียบๆ
ซูเจินทำตัวเหมือนผู้าุโด้วยการกล่าวสั่งสอนว่า “ต่อให้ข้ากับเ้ามีมิตรภาพอันดีต่อกัน แต่ข้าเป็พี่ชายของนาง ข้าไม่อาจทนเห็นเ้าหลอกกินเต้าหู้น้องสาวข้าได้”
เย่เช่อยิ้ม “เ้าไม่จำเป็ต้องกังวลเื่นี้ ข้าจะไม่ทำให้เ้าและตระกูลซูผิดหวังอย่างแน่นอน”
ซูเจินกล่าวว่า “เย่เช่อ เ้าต้องทบทวนเื่นี้ให้ถี่ถ้วน เ้าแน่ใจแล้วหรือไม่?”
เย่เช่อยิ้มเล็กน้อย “ข้าคิดมาดีแล้ว”
ใบหน้าของซูเจินจริงจัง ดวงตาของเขาเ็าเล็กน้อย เขากล่าวว่า “เย่เช่อ การแต่งงานกับน้องสาวของข้าเ้ารู้ใช่หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร?”
เย่เช่อพยักหน้าอย่างใจเย็นและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้ารู้”
อาจเป็ไปได้ว่าสิ่งที่เขามีตอนนี้ก็แค่มงกุฎเปล่าๆ ของตำแหน่งอ๋องอวิ๋นเมิ่ง
บางทีมันอาจเป็เพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่า
แต่เขาไม่ถือสา!
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เขาเดินออกจากจวนเสนาบดีตามลำพัง เขาเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง ต่อให้เป็เด็กเขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร ตอนนี้เขาเป็ผู้ใหญ่แล้ว เขามีสหายที่ดีคอยสนับสนุน มีหญิงสาวที่งดงามอยู่ข้างๆ เขาจะต้องกลัวอะไรอีก?
ซูเจินเม้มริมฝีปากก่อนจะแย้มยิ้มและกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “สิ่งต่างๆ ไม่ง่ายอย่างที่เ้าคิด เพราะสิ่งที่เ้าอาจสูญเสียคือตระกูลฮั่ว”
ประโยคที่เรียบง่ายเช่นนี้ราวกับสายฟ้าฟาด
เมื่อครั้งที่เขาเดินออกจากจวนเสนาบดี สาเหตุที่เขาไม่กลัวก็เพราะยังมีท่านตา แต่ตอนนี้ท่านตาอายุมากแล้ว บางทีทายาทของตระกูลฮั่วอาจก้าวขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งในอีกไม่นาน
เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะยังมีร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่คอยกันลมฝนให้เหมือนเมื่อก่อนหรือไม่?
การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นเปรียบได้กับก้อนเมฆบนท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
แต่ตระกูลฮั่วสำคัญกับเขามาก
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเอาตระกูลฮั่วมาเดิมพันได้ เพราะสำหรับเขาแล้วจวนเสนาบดีไม่มีค่าอะไรเลย หากปราศจากการสนับสนุนจากตระกูลฮั่ว ชีวิตของเขาจะต้องลำบากยิ่งกว่านี้
คำเตือนของซูเจินนั้นไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
เย่เช่อเข้าใจประเด็นนี้ดีกว่าซูเจิน หากท่านตาของเขาลงจากตำแหน่งและออกห่างจากศูนย์กลางอำนาจของตระกูลฮั่ว คนในตระกูลฮั่วที่เขาสามารถพึ่งพาได้จะเหลือเพียงฮั่วฉีอวี่เท่านั้น
เย่เช่อเข้าใจดีว่าเขาไม่สามารถพึ่งพาตระกูลฮั่วไปตลอด เพราะท่านตาก็แก่ลงเรื่อยๆ
ดังนั้น เขาต้องแข็งแกร่งขึ้น
เขาต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและไร้อำนาจ โดยไม่รับความช่วยเหลือจากใครทั้งสิ้น
เขาต้องเปลี่ยนแปลงมันให้ได้
ใช่แล้ว เขาต้องลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
หลังจากคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเขาก็สงบลง
เย่เช่อกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้ารู้ดีถึงผลที่ตามมา แต่เ้าก็รู้ว่าข้าพึ่งพาตระกูลฮั่วไม่ได้ตลอดเวลา เพราะท่านตาของข้าก็แก่ลงเรื่อยๆ แล้ว”
เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น
------------------------
[1] หลิวฮวาหรือดอกทับทิม เป็ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ ลำต้นมีสีน้ำตาลอมน้ำตาล กิ่งอ่อนมีสีเขียวอมเหลืองและเกลี้ยงเกลา ปลายกิ่งส่วนใหญ่มีหนาม ลักษณะของดอกจะเป็กลีบขนาดใหญ่ซ้อนกันและมีสีแดงสด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้