เมื่อคิดว่าคนฝั่งตนเองยังไม่ได้ทานข้าว ซุนต้าเตาก็ลุกขึ้นยืน ถือมีดเชือดหมูไปเคาะเรียกแล้วเปล่งเสียงไปทางห้องโถง “เถาฮัว จูเอ๋อร์ ไปทำกับข้าวเร็ว พี่น้าลุงของพวกเ้าเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มาช่วยหนุนหลังให้พวกเ้าโดยที่ท้องไส้ยังว่างอยู่”
คําพูดของเขาทําให้สีหน้าของคนตระกูลซุนดูดีขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาต่างพากันชะเง้อมองไปทางห้องโถง โดยรู้ว่าตระกูลหลิวขึ้นชื่อว่าเป็บ้านที่ร่ำรวย
“ฮึ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่า มาหาเื่คนอื่นถึงในบ้าน แล้วยังต้องเลี้ยงอาหาร ซุนต้าเตา ใบหน้าของเ้าช่างบานดุจขนมอันใหญ่!”
สิ้นเสียงนั้น ด้านนอกประตูก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา คนที่เดินนำหน้าคือหลี่เจิ้งที่ดูแลตระกูลหลิวกับตระกูลซุน นามว่า หวงจิน ชาวบ้านต่างเรียกเขาลับหลังว่า ‘จินหยวนเป่า!’ หวงจินอายุราวสี่สิบห้าปี รูปร่างไม่สูงนัก ผิวพรรณคล้ำ ศีรษะโต และหัวล้านเล็กน้อย
ขณะพูดคุยเขาชอบเอามือข้างหนึ่งไพล่ไปด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างชอบลูบเหนือหน้าผาก ยิ่งลูบก็ยิ่งลื่น ยิ่งลูบก็ยิ่งมันเป็ประกาย
ซุนต้าเตาเห็นว่าเขามา จึงรีบประจบประแจงกล่าวทักทาย “เอ๋ หลี่เจิ้ง ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่ รีบมานั่งเร็ว พักผ่อนสักหน่อยหรือไม่? จูเอ๋อร์ รีบไปรินน้ำชามาให้หลี่เจิ้ง”
หลิวจูเอ๋อร์ยกน้ำชาให้กับหลี่เจิ้งและคนในหมู่บ้าน เมื่อจัดการเรียบร้อยก็นึกถึงเื่ที่ซุนต้าเตาสั่งให้นางทำกับข้าวก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยถามเขาที่อยู่ข้างๆ ว่ากับข้าวยังต้องทำหรือไม่
ไม่รู้ว่าหวงจินคิดอย่างไร เมื่อเห็นหลิวจูเอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จึงบอกให้นางกลับเข้าห้องไป
ซุนต้าเตาคิดอยากรั้งนางไว้ แต่หวงจินก็ยื่นมือออกไปขวางแล้วเอ่ยถาม “ข้าว่าต้าเตา วันนี้เหตุใดเ้าจึงพาคนมากมายมาบ้านน้องสาวเ้าเล่า?”
“ไม่ใช่ว่าข้า้ามาสักหน่อย หลี่เจิ้ง ท่านมาได้จังหวะพอดี มาเรียกร้องความเป็ธรรมให้ข้าด้วย!” ขณะนี้ซุนต้าเตาเริ่มนึกเสียใจทีหลัง หากรู้ว่าวันนี้จะเกิดเื่ ในตอนนั้นเขาไม่ควรขวางทางหวงเสียวหู่ แล้วยังพูดจาพล่อยๆ
หวงจินพยักหน้า “เื่ของพวกเ้าเป็หน้าที่รับผิดชอบของข้า มีปัญหาอันใดข้าย่อมพิจารณาอย่างเป็ธรรม”
ซุนต้าเตาคิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็ความจริง จึงชิงบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
ต่อหน้าคนตระกูลหลิว เขาไม่กล้าใส่สีตีไข่
หลิวฉีซื่อสั่งสมไฟโทสะอยู่เต็มท้อง เริ่มแรกถูกหลิวซานกุ้ยใช้กำลังบังคับให้นั่งอยู่กับที่ แต่เมื่อซุนต้าเตาเริ่มพูด นางก็รีบสาวเท้าเล็กๆ วิ่งออกมาแล้วชี้หน้าด่าเขา
“ถุย คิดว่าตระกูลซุนของเ้าชุบทองมาหรือ? สะใภ้บ้านนอกมีใครกันที่ไม่ทำงานบ้าน? นางคือลูกคุณหนูหรือว่าพิการกันแน่? หา ซุนต้าเตาวันนี้เรามาเปิดอกคุยกันให้จบ หากครอบครัวเ้าคิดว่าการเป็ลูกสะใภ้ต้องมานั่งจุดธูปสามดอกทุกวัน ฮึ วัดเล็กๆ ของตระกูลหลิวเราคงบูชาพระองค์ใหญ่เช่นนี้ไม่ไหว”
ซุนต้าเตารู้ทันความหมายของหลิวฉีซื่อว่า้าจะปลดหลิวซุนซื่อ นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มที่มีอายุอยู่ข้างๆ เขาสะกิดเรียก แล้วกระซิบบอกความหมายของหลิวฉีซื่อให้รู้
เขาลุกขึ้นพรวด ชี้นิ้วไปทางหลิวฉีซื่อจนเกือบทิ่มปลายจมูก แล้วด่าอย่างรุนแรง “นางเฒ่าหงำเหงือก มารดาเถอะ น้องสาวข้าทำอะไรผิด? นางให้กำเนิดหลานชายให้แก่ตระกูลหลิว ลำพังข้อนี้ เ้าก็ไม่สามารถใจร้ายกับนางได้แล้ว”
หลิวฉีซื่อมิอาจทนต่อการที่อีกฝ่ายชี้หน้าด่านาง ความโกรธจึงยิ่งทวีคูณ อ้าปากก็มีคำพูดอาบพิษไหลออกมา “มารดาเ้าน่ะสิ กล้าเอานิ้วมาชี้หน้าข้า เ้ามันนับประสาอะไรกัน ข้าไปผิดใจกับบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของเ้าหรือ ไอ้หมูตัวผู้ ลำพังข้าเป็แม่แท้ๆ ของหลิวเหรินกุ้ย ย่อมมีสิทธิ์ปลดนางหมูตัวเมียที่ไม่เคารพผู้าุโนี่”
เมื่อซุนต้าเตาได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็แดงก่ำด้วยความโกรธ เขาอยากจะเอามีดเชือดหมูพุ่งไปปลิดชีพนางเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“มารดามันสิ นางเฒ่าหน้าเหม็นไร้ยางอาย ไม่หัดฉี่ออกมาส่องดูตัวเอง คิดว่าเป็ใครกัน ก็แค่คนรับใช้ มาทำถือดีอะไรนักหนา”
“เ้า...” หลิวฉีซื่อโกรธมากจนพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคํา สิ่งต้องห้ามที่สุดในชีวิตของนางคือการถูกเปิดเผยสถานะ
นางภูมิใจที่ตนเองสามารถทำงานเป็คนรับใช้อยู่ในจวนตระกูลหวง แต่อีกด้านหนึ่งก็เกลียดชังผู้อื่นที่ด่าว่านางคือชนชั้นต่ำ
“ข้าอะไร? ข้าว่าเ้าเป็ชนชั้นต่ำ ยังถือว่าให้เกียรติเ้านัก!” ซุนต้าเตาขณะนี้กำลังโมโหจนควันออกหู ปากนั้นไม่อาจระงับคำพูดไว้ได้อีกต่อไป
หลิวฉีซื่อโกรธมากจนพูดไม่ออก เอื้อมมือไปทุบหน้าอก
หลิวซานกุ้ยเห็นนางเริ่มทนไม่ไหว เดิมที้าลุกขึ้นไปช่วยพยุง ปรากฏว่าหลิวเต้าเซียงให้ตายก็จะรั้งตัวเขาไว้ไม่ให้ลุกขึ้น
ล้อกันเล่นน่า หลิวฉีซื่อเป็พวกตัวโกงที่ตีไม่ตาย พลังชีวิตล้นเหลือยิ่งนัก!
ซุนต้าเตาเห็นว่านางกําลังจะตายด้วยความโกรธ จึงเอามือเท้าเอวด่ากราดทุกคนในลานบ้าน ปากก็พ่นคำหยาบคาบออกมานับไม่ถ้วน
หวงจินในฐานะหลี่เจิ้งกำลังดูฉากเด็ดเพลินๆ จนลืมห้ามปรามคนทั้งสองไปชั่วขณะ จนกระทั่งเขาได้สติกลับมา
“เอาเถอะ ซุนต้าเตา อย่างไรเ้าก็อ่อนกว่า อีกอย่างเ้าคิดอยากจะรับตัวน้องสาวเ้ากลับไปเลี้ยงดูจริงๆ เช่นนั้นหรือ? ครอบครัวเ้าอาจจะไม่รังเกียจ แต่คนร่วมตระกูลเ้าอาจจะไม่แน่”
เมื่อพูดถึงเช่นนี้ สายตาคมกริบของเขาก็มองไปทางคนตระกูลซุน
นั่นสินะ ในยุคสมัยนี้การจะคุยเื่แต่งงานไม่เพียงแต่ต้องดูว่าครอบครัวอีกฝ่ายเป็เช่นไร หากว่าเกิดเื่เสื่อมเสียต่อตระกูลอย่างเช่น หญิงสาวที่เป็สะใภ้ถูกปลดกลับมา จำต้องมีผลกระทบตามมามากมาย แม้ว่าบ้านนอกจะไม่ได้มีกฎระเบียบมากมาย แต่สุดท้ายก็ส่งผลกระทบกับตระกูลซุนที่มีบุตรสาวเช่นกัน
แน่นอนว่าใบหน้าของหลายคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
จึงยิ่งมีคนแอบสะกิดซุนต้าเตาเงียบๆ
ซุนต้าเตาเป็พวกอันธพาลสมองกลวง เมื่อมีคนที่สะกิดบอกกล่าวให้เขาเข้าใจ เขายิ่งเกิดความอัดอั้นในใจ ก่อนที่เขาจะมา แม่ก็กำชับไว้ว่าต้องอาละวาดให้สาสมแล้วหนุนหลังให้น้องสาว ใครเล่าจะรู้ว่า เขาเอาแต่ด่าอย่างคึกคะนองจนลืมเื่นี้ไปหมดสิ้น
ทันทีที่เขาหยุดพูด ลานบ้านก็เงียบเป็พิเศษอยู่ครู่หนึ่ง
“หลี่เจิ้ง ท่านต้องให้ความเป็ธรรมแก่ข้าในเื่นี้ด้วย” หลิวฉีซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา
“ซุนต้าเตา เ้าโทษข้าที่สั่งสอนน้องสาวของเ้าอย่างร้ายกาจ ฮึ แต่ในเมื่อนางแต่งงานเข้าบ้านข้า ย่อมเป็ลูกสะใภ้ของข้า เื่ราวต่างๆ ทั้งในและนอกบ้าน นางไม่เคยทำอะไรไม่ว่า แต่กระทั่งดูแลบ้านก็ไม่เป็ ข้าที่เป็แม่ก็เป็ห่วงลูกชายและหลานๆ ผิดด้วยหรือ? นางเป็ถึงลูก ลูกสะใภ้รองของข้า ซักเสื้อผ้าไม่เป็ ทำกับข้าวไม่เป็ หุงข้าวไม่เป็ ซาวข้าวไม่ได้ แม้ว่าบ้านข้าจะพอมั่งมีอยู่บ้าง แต่ก็เลี้ยงคนที่ต้องคอยปรนนิบัติบูชาดั่งพระโพธิสัตว์ไม่ไหว ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกุลซุนของเ้าร่ำรวย กระทั่งเลี้ยงดูหญิงสาวให้ออกมาแบบสิบนิ้วไม่เคยเปียกน้ำ”
“เ้าพล่ามไปเรื่อย!” ซุนต้าเตาเป็เพียงอันธพาล ถนัดเื่การทะเลาะวิวาท การพูดจาวกไปวนมาเช่นนี้ เขาฟังแล้วได้แต่มึนงง
หวงจินเคยได้ยินภรรยาของตนบ่นมานาน เวลาที่หลิวฉีซื่อสั่งสอนลูกสะใภ้นั้น นับว่าเก่งกาจนัก
แม้ว่าเขามักจะเกลียดเวลาที่หลิวฉีซื่อชอบวางมาด แต่พอคิดว่านางมาจากจวนตระกูลหวง เขาเองก็ไม่กล้าทำอะไรกับนาง หากว่าทำให้นางเสียเปรียบ แล้วนางไปบอกกล่าวกับพี่ชายและนายท่านหวง เกรงว่าตำแหน่งขุนนางต่ำต้อยของเขาคงรักษาไว้ไม่ได้
เมื่อนึกถึงซุนต้าเตาที่ไม่ดูตาม้าตาเรือมาข่มขู่รังแกหลานชายของเขาอย่างไม่มีเหตุผล เขาจึงลำเอียงไปทางหลิวฉีซื่อและไว้หน้าฝั่งนั้น เช่นนี้การดำรงชีวิตในตำบลเหลียนซานของเขาก็คงร่มรื่นสุขใจ
“เอาเถอะ ซุนต้าเตา เ้าช่างไร้เหตุผลเกินไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ชาวบ้านครอบครัวไหนที่ลูกสะใภ้อยู่บ้านแต่ไม่ทำงานบ้าน ทำนาไม่เป็แรงงานกัน หากน้องสาวเ้าเป็เช่นนี้ เฮอะ อย่าว่าแต่ตระกูลหลิวเลย หากแต่เป็ครอบครัวธรรมดาทั่วไป เกรงว่าก็คงไม่มีใคร้าสะใภ้ขี้คร้านหรอก”
หวงจินเกลียดชังหลิวฉีซื่อ ถึงแม้จะเกลียดนางที่ชอบเสแสร้ง แต่หลิวซุนซื่อก็ทำให้เขารังเกียจด้วยเช่นกัน บ้านนอกแห่งนี้หากครอบครัวใดได้สะใภ้ขี้คร้านเข้าบ้าน เฮอะ นับว่าคงต้องยากจนไปอีกสามรุ่น!
ซุนต้าเตาฟังเช่นนั้นก็รับรู้ว่าแย่แล้ว
“หลี่เจิ้ง ท่านจะลำเอียงไม่ได้ นางหาได้สั่งสอนน้องสาวข้า นั่นคือการทรมาน พวกเ้าดูสภาพของน้องสาวข้าสิ เดิมทีผิวพรรณผุดผ่อนอ่อนเยาว์ราวกับหมั่นโถวสีขาวที่ขายในตำบล ตอนนี้ยังหลงเหลือสภาพนั้นอยู่หรือ? นี่ก็เพราะนางเฒ่าหงำเหงือกนี่ทรมานนะสิ”
หลิวเต้าเซียงอยู่ในห้องได้ยินอย่างชัดเจน อดไม่ได้ที่จะกลอกตา ซุนต้าเตานี่กร่างเหลือเกิน พูดราวกับว่าหลิวซุนซื่อนั้นอายุสิบแปดอยู่ทุกเมื่อ
หลังจากที่หลิวฉีซื่อฟังการสนทนาระหว่างทั้งสอง นางก็รู้ว่าหวงจินอยู่ข้างนาง เดิมทีมือที่จับที่พักแขนจึงวางลงมา จัดเสื้อแล้วลูบผมของตนเอง ให้เส้นผมที่ยุ่งเหยิงเรียบเข้าที่
จากนั้นก็ค่อยๆ ลงจากบันได แล้วเดินไปด้านหน้าหวงจิน และกล่าว “ขอบคุณหลี่เจิ้งที่ให้ความเป็ธรรม”
ก่อนจะหันไปมองซุนต้าเตา เชิดคางแหลมไปทางเขา “เ้า มาจากไหนก็กลับไปทางนั้น กลับไปคิดดูให้ดี ซุนเถาฮัวเป็บุตรสาวของครอบครัวเ้า หรือว่าเป็ลูกสะใภ้ตระกูลหลิว ผู้เป็ลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังการสั่งสอนของแม่สามีไม่ใช่หรือ? ช่างเถอะ พูดกับอันธพาลเช่นเ้าก็คงไม่เข้าใจ เ้าเอาคำพูดของเ้าไปถามภรรยา ถามนางว่านางคือลูกสะใภ้ตระกูลซุน หรือเป็ลูกของครอบครัวมารดานางเอง ดูสิว่านางจะตอบอย่างไร?”
หวงจินตีความหมายของนางออก รู้ว่าภรรยาของซุนต้าเตาเป็แมลงเพศเมียตัวใหญ่ หากว่านำคำพูดนี้ไปทำให้นางคลางแคลงใจ มีหรือจะไม่ถูกนางเล่นงานจนตาย?!
“นั่นสิ ต้าเตา หรือไม่ เ้าลองกลับไปคุยกับท่านแม่เ้าว่า ต่อไปจะให้ลูกสะใภ้ไม่ต้องทำอะไร แล้วนั่งดูแม่เ้าทำงานบ้านอยู่ผู้เดียว”
“หลี่เจิ้ง จะปล่อยให้แม่ข้าทำงานแล้วนางนั่งเฉยๆ ได้อย่างไรกัน” ซุนต้าเตายอมจำนนทันใด
หลิวฉีซื่อใช้น้ำเสียงแปลกประหลาดเอ่ยขึ้น “มีเพียงลูกสาวบ้านเ้าคือลูกรัก แต่ลูกสาวบ้านอื่นกลับไม่มีค่าอะไร”
ซุนต้าเตาถูกทั้งสองคนบีบเค้น อารมณ์เดือดดาลถึงกับลดทอนไปกว่าครึ่ง
เดิมทีคนในตระกูลที่มาหนุนหลังซุนต้าเตาก็หิวจนหงุดหงิด จึงเอ่ยถามเขาว่าทำอาหารแล้วไม่ใช่หรือ จะได้กินข้าวเมื่อไร?
หลิวฉีซื่อฟังแล้วตอบอย่างเ็าว่า “อยากกินก็กลับไปกินที่ตระกูลซุนของเขา บ้านหลังนี้แซ่หลิว”
“หลี่เจิ้ง จะปล่อยให้เื่นี้ผ่านไปเช่นนี้ไม่ได้ คนตระกูลซุนนั้นรังแกตระกูลหลิวของข้าเพราะเห็นว่าคนน้อยกว่า”
หลิวฉีซื่ออยู่ในจวนตระกูลหวงมาหลายปี เื่การใช้ลูกไม้ก็นับว่าเรียนรู้มาในระดับสูง เมื่อเห็นว่าซุนต้าเตาเริ่มเสียงอ่อน แววตาหลบหลีก จึงคิดจะบีบเค้นเขาอีก
“ข้าเปล่านะ คนตระกูลหลิวรังแกคนเกินเหตุ บ้านเ้ามีผู้หญิงมากมายเช่นนี้ มีเหตุผลอันใดต้องให้น้องสาวกับจูเอ๋อร์ของข้าทำงานกัน?” ซุนต้าเตาเอ่ย
เมื่อหลิวฉีซื่อมีคนหนุนหลัง น้ำเสียงที่พูดก็ต่างออกไปจากเดิม
“เ้าเคยเห็นลูกสะใภ้หรือหลานสาวที่ไม่ได้ทํางานบ้านหรือไม่? ครอบครัวข้าเป็คนจิตใจดี แต่ก็ไม่อาจเลี้ยงหมูที่เอาแต่กินแล้วก็นอน”
“ผายลมอะไรของเ้า เ้าน่ะสิเป็หมู แล้วยังเป็แม่หมูที่ร่านนัก” ซุนต้าเตาที่กำลังหงุดหงิดเนื่องจากหาข้ออ้างะเิอารมณ์ไม่ได้ จึงเพิ่มไฟให้แก่ตนเอง
“เ้า ซุนต้าเตา การสั่งสอนของตระกูลเ้าเป็เช่นนี้หรือ! มิน่า ลูกชายที่เกิดจากหนูก็เป็แต่มุดรู” หลิวฉีซื่อแผดเสียงดัง จากนั้นก็พึมพำเสียงเบา
-----
