ตอนที่ 1: ตื่นกลางกองหนี้...และคำขู่ของแม่เลี้ยง
Error: System Failure.
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่หลินเวยเห็น ตัวอักษรสีแดงฉานกะพริบเตือนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบโฮโลแกรม ก่อนที่โลกทั้งใบของเธอจะดับวูบลงท่ามกลางออฟฟิศที่สว่างไสวในศตวรรษที่ 21...
...และแล้ว เธอก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความหนาวเหน็บ
ความหนาวเย็นที่เสียดแทงจนถึงกระดูก มันไม่ใช่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในออฟฟิศ แต่เป็ความเย็นชื้นที่คืบคลานมาจากพื้นดินแข็งๆ และฟางแห้งกรอบที่รองอยู่ใต้แผ่นหลัง ลมหนาวข้างนอกหวีดหวิวราวกับเสียงกรีดร้องของปีศาจ ลอดผ่านรอยแตกของผนังดินเข้ามาทักทายผิวของเธออย่าง ไม่ปรานีความเ็ประลอกที่สองโจมตีเธอ ลำคอที่แห้งผากราวกับถูกทรายขัด และศีรษะที่หนักอึ้งราวกับมีคนเอาทั่งเหล็กมาวางทับไว้
"สถานการณ์บ้าอะไรเนี่ย..."
หลินเวยพยายามลืมตา แต่เปลือกตาหนักอึ้งเกินกว่าจะขยับ กลิ่นอับชื้นของดิน กลิ่นสาบของเสื้อผ้าที่ไม่เคยได้ซัก และกลิ่นบูดเปรี้ยวจางๆ ของอาหารที่ใกล้จะเน่า ปะทะจมูกเธออย่างรุนแรง มันคือกลิ่นของความยากจนข้นแค้นที่เธอเคยเห็นแต่ในหนังพีเรียด
ทันใดนั้น เสียงโต้เถียงที่ดังลอดผ่านม่านผ้าขาดๆ ก็แทรกเข้ามาในโสตประสาทอย่างชัดเจน
"ไข้สูงขนาดนี้ จะไปสอบเกาเข่าบ้าบออะไรไหว!" เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งะโอย่างเกรี้ยวกราด "รับเงินจากโรงงานทอผ้าซะเถอะ! อย่างน้อยก็เอาเงินนั่นมาจ่ายหนี้ค่าข้าวโพดของนายท่านผู้ใหญ่บ้าน แล้วที่เหลือก็ยังส่งเสี่ยวเยว่ (หลินเยว่) เรียนต่อมหาวิทยาลัยได้!"
หนี้? เกาเข่า? โรงงานทอผ้า? เสี่ยวเยว่?คำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยถาโถมเข้ามา
"แค่ก... แค่ก..." เสียงไอแหบแห้งและอ่อนแรงของผู้ชายดังขึ้น "เหมย... รอ... รอให้ไข้ของเวยเวยลดก่อนเถอะนะ... อย่างน้อยก็ให้เธอได้ลองสอบ..."
"รอไม่ได้!" เสียงผู้หญิงที่ชื่อ ‘เหมย’ ตวาดกลับอย่างไม่รักษาน้ำใจ "โควต้าโรงงานรอเราที่ไหน! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าตระกูลหลินของเราเคยทำคุณงามความดีไว้ เขาจะยื่นข้อเสนอนี้ให้เหรอ! หลินเจี้ยนกั๋ว! คุณจะใจอ่อนให้ลูกสาวคนเก่ามาทำลายอนาคตลูกสาวคนใหม่ของฉันรึไง! หนี้สินก็ท่วมหัวอยู่แล้ว ยังจะฝันเฟื่องอะไรอีก!"
ลูกสาวคนเก่า...
วินาทีนั้น ความทรงจำที่ไม่ได้เป็ของเธอ...ความทรงจำของเด็กสาวอายุ 17 ที่ชื่อ "หลินเวย" เหมือนกันก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองราวกับเขื่อนแตก!
ภาพของโลกใบใหม่ปรากฏขึ้น...นี่คือปี 1980! ชนบทที่ห่างไกลในยุคที่เพิ่งเปิดประเทศ ร่างนี้คือเด็กสาวกำพร้าแม่ที่ขาดสารอาหารจนล้มป่วย พ่อของเธอ หลินเจี้ยนกั๋ว แต่งงานใหม่กับ สวี่เหมย (เ้าของเสียงแหลม) และมีลูกสาวติดมาหนึ่งคนคือ หลินเยว่ ผู้ซึ่งเป็ที่รักของทุกคน
ชะตากรรมของร่างนี้กำลังจะถูกตัดสิน... เธอจะถูกบังคับให้สละสิทธิ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัย (เกาเข่า) ซึ่งเป็ความหวังเดียวที่จะหลุดพ้นจากความยากจน เพื่อไปเป็ "คนงาน" ในโรงงานทอผ้า แลกกับเงินก้อนเล็กๆ ที่จะถูกนำไปจ่ายหนี้และเป็ค่าเล่าเรียนให้หลินเยว่!
เคร้ง!
ประตูไม้ที่โยกเยกถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนกระแทกผนังดิน เศษฝุ่นร่วงกราวลงมา หลินเวยฝืนลืมตาที่พร่ามัวขึ้น เธอมองเห็นเงาร่างท้วมของสวี่เหมยยืนย้อนแสงอยู่ที่ประตู ในมือของหล่อนคือชามกระเบื้องบิ่นๆ ที่ส่งกลิ่นประหลาด
ตุบ!
ชามถูกวางกระแทกลงบนตั่งไม้ข้างเตียง ส่งเสียงดังอย่างไร้ความปรานี น้ำข้าวต้มกระฉอกออกมาเล็กน้อย
"ตื่นแล้วก็ดี!" สวี่เหมยพูดด้วยน้ำเสียงเ็า กวาดตามองหลินเวยั้แ่หัวจรดเท้าด้วยแววตาดูแคลน "นึกว่าจะนอนเป็ผีเฝ้าเตียงไปซะแล้ว"
หลินเวยพยายามยันกายที่สั่นเทาของตนลุกขึ้นนั่งพิงผนังดินเย็นเฉียบ ทุกการเคลื่อนไหวทำให้ข้อต่อของเธอส่งเสียงลั่นและทำให้ศีรษะของเธอปวดหนึบยิ่งขึ้น แต่เธอก็ฝืนทน ดวงตาของเธอที่เคยอ่อนแอและหวาดกลัว ตอนนี้กลับฉายแววสงบนิ่งและเ็าอย่างประหลาดจนสวี่เหมยรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
แววตาแบบนั้น...มันไม่ใช่แววตาของเด็กสาวขี้โรคที่เอาแต่ก้มหน้างุดๆ คนเดิม!
"กินซะ!" สวี่เหมยโยนคำสั่งอีกครั้งเพื่อข่มความรู้สึกแปลกๆ ของตัวเอง "กินเสร็จแล้วก็รีบมีแรง พรุ่งนี้...ไปที่ทำการหมู่บ้าน ไปเซ็นชื่อสละสิทธิ์เกาเข่าซะ!"
หลินเวยก้มมองสิ่งที่อยู่ในชาม มันคือสิ่งที่เรียกว่า "ข้าวต้ม"... น้ำใสแจ๋วที่แทบจะนับเมล็ดข้าวได้ มีเพียงเศษมันเทศเหี่ยวๆ สองสามชิ้นลอยอยู่้า มันสะท้อนเงาดวงตาที่อ่อนล้าและใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับศพของเธอ นี่ไม่ใช่อาหารสำหรับคนป่วย มันเป็อาหารสำหรับนักโทษรอวันตายชัดๆ!
"ทำไมหนูต้องสละสิทธิ์" เสียงของหลินเวยแหบพร่าและเบาหวิว แต่กลับเต็มไปด้วยความคมชัดที่ทำให้คนฟังต้องหยุดชะงัก
สวี่เหมยหรี่ตาลง "ว่าอะไรนะ?"
"การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็โอกาสของหนู ทำไมหนูต้องยกมันให้คนอื่น" หลินเวยถามย้ำช้าๆ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแม่เลี้ยงอย่างไม่เกรงกลัว
"โอกาสเรอะ!" สวี่เหมยหัวเราะเสียงแหลมราวกับได้ยินเื่ตลกที่สุดในโลก "สภาพอย่างแกเนี่ยนะจะมีปัญญาไปสอบ! แค่ลุกขึ้นนั่งยังแทบไม่ไหว อย่ามาพูดจาเพ้อเจ้อหน่อยเลย! ที่สำคัญกว่านั้น โรงงานให้เงินเราตั้ง 50 หยวน! เงินนั่นจะช่วยให้พ่อแกไม่ต้องไปก้มหัวยืมเงินใคร และยังส่งเสี่ยวเยว่เข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างสบายๆ แกเสียสละคนเดียว แต่ครอบครัวเราสบายขึ้น มันไม่ดีตรงไหน!"
"ดีสำหรับแม่กับหลินเยว่ล่ะสิ" หลินเวยสวนกลับทันควัน "แล้วอนาคตของหนูล่ะ"
"อนาคตของแกคือการไปเป็คนงาน! เป็เกียรติแค่ไหนแล้วที่คนอย่างแกจะได้ทำงานในโรงงานของรัฐ!" สวี่เหมยตวาดลั่น
ขณะนั้นเอง หลินเจี้ยนกั๋ว ชายร่างผอมบางผู้เป็พ่อก็เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีลังเล "เสี่ยวเหมย... อย่าเสียงดังกับลูกเลย เธอยังไม่สบายนะ"
"ไม่สบายแล้วจะอวดดีได้รึไง!" สวี่เหมยหันไปแว๊ดใส่สามี "คุณดูสิ! ฉันอุตส่าห์ต้มข้าวต้มมาให้กิน ยังจะมาทำปากดีเถียงฉันอีก! คุณก็ตามใจลูกสาวคนนี้ของคุณเข้าไปเถอะ! สักวันพวกเราจะได้อดตายกันทั้งบ้านก็เพราะความเห็นแก่ตัวของมัน!"
หลินเจี้ยนกั่วมองหน้าลูกสาวด้วยแววตาเ็ปและละอายใจ เขาเดินมานั่งลงข้างๆ เตียง "เวยเวย... พ่อขอโทษนะลูก แต่...สิ่งที่แม่เลี้ยงเขาพูดก็มีเหตุผล สุขภาพของลูกตอนนี้..."
"หนูหายทัน" หลินเวยตัดบทผู้เป็พ่ออย่างเฉียบขาด "หนูจะไปสอบ"
คำประกาศที่หนักแน่นนั้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
สวี่เหมยเป็คนแรกที่ได้สติ ความโกรธฉายชัดบนใบหน้าอวบของหล่อน "แก... แกกล้าดียังไง! หลินเจี้ยนกั๋ว! คุณได้ยินที่มันพูดไหม!"
หลินเวยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของนาง เธอมองตรงไปยังพ่อของเธอ "พ่อคะ แม่เคยบอกว่าความรู้จะเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ พ่อจะให้หนูทิ้งอนาคตของตัวเองจริงๆ เหรอคะ"
คำพูดนั้นแทงใจดำหลินเจี้ยนกั่ว เขานึกถึงภรรยาคนแรกที่เสียไป เธอมักจะสอนลูกสาวให้อ่านเขียนและใฝ่ฝันถึงการเข้ามหาวิทยาลัยเสมอ
"ฉันไม่สนว่าใครเคยพูดอะไร!" สวี่เหมยกระทืบเท้าอย่างเกรี้ยวกราด "ที่นี่ฉันเป็คนตัดสินใจ! ถ้าพรุ่งนี้แกไม่ไปเซ็นชื่อ ก็ไม่ต้องกินอะไรทั้งนั้น! นอนรอความตายอยู่ที่นี่แหละ!"
พูดจบหล่อนก็คว้าแขนสามีแล้วลากออกไปจากห้อง "ไป! ไม่ต้องมาแสดงละครพ่อลูกผู้แสนดีกันที่นี่! ปล่อยให้มันดื้อดึงไปคนเดียว!"
ปัง!
ประตูถูกปิดลงอย่างแรง ทิ้งให้หลินเวยอยู่กับความเงียบและความมืดมิดอีกครั้ง
เธอถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปมองชามข้าวต้มที่เย็นชืด ความรังเกียจฉายชัดในแววตา แต่เพียงชั่วครู่เดียวมันก็แปรเปลี่ยนเป็ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
ในศตวรรษที่ 21 ฉันคือหลินเวย โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อปัญหาใดๆ
ในยุค 1980 ฉันก็คือหลินเวยเหมือนกัน และฉันจะไม่ยอมให้ใครมาขโมยอนาคตของฉันไปเด็ดขาด!
เธอหยิบชามข้าวต้มขึ้นมา แม้จะเหม็นบูดและไร้รสชาติ แต่เธอก็ค่อยๆ บรรจงซดมันเข้าไปจนหมดทุกหยด เธอ้าพลังงาน ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป เธอต้องแข็งแรงขึ้นเพื่อที่จะต่อสู้
นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อสิทธิ์ในการสอบ... แต่มันคือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และเพื่อทวงทุกอย่างที่เป็ของ "หลินเวย" คนนี้...กลับคืนมา.!
