ทันใดนั้นเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเว่ยหานเฉี่ยว ก็ดึงสายตาผู้คนจำนวนมากที่มองดูอย่างสงสัยใคร่รู้
หลายคนเคยได้ยินว่าไม่นานมานี้ อัครเสนาบดีมู่หย่ากับภรรยาคนที่สองในข้อหาขโมยของ และถูกไล่ออกจากจวนพร้อมกับบุตรชาย
เมื่อเห็นนางสบถและสาปแช่งในที่สาธารณะในวันนี้ ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า เื่นี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูสามสกุลมู่หรือไม่?
บนชั้นสองมู่อวิ๋นจิ่นฟังเว่ยหานเฉี่ยวเปลี่ยนเื่ ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างประชดประชัน และพูดกับนางที่อยู่ด้านล่างว่า “ฮูหยินรอง องค์ชายหกไม่สามารถตัดสินเื่นี้ได้ หากท่านข้องใจองค์ชายสามารถรายงานต่อผู้ตัดสินศาลต้าหลี่ อวิ๋นจิ่นจะอยู่ที่นั่น และร่วมมือกับพวกเขาเพื่อสืบสวนคดีนี้เ้าค่ะ”
ด้านล่างเว่ยหานเฉี่ยวได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น นางชะงักนิ่งอยู่กับที่เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มสดใส้า ครู่หนึ่งนางดูเหมือนจะไม่เคยรู้จักมู่อวิ๋นจิ่นคนนี้มาก่อน
นี่ยังเป็มู่อวิ๋นจิ่น คุณหนูสามที่โง่เขลาในจวนอีกหรือ?
เหมือนเว่ยหานเฉี่ยวอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ทำได้เพียงพูดในลำคอเท่านั้นนางยังคงอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน ในวันนั้นนางคิดว่านางจะสามารถยืมมือของมู่อวิ๋นจิ่นทำร้ายซูปี้ชิงได้สำเร็จแล้วแท้ ๆ
โดยไม่คาดคิด นางกลับถูกงูตัวนี้ฉกเอาเสียได้
ต่อมาหลังจากถูกขับไล่ออกจากจวน นางเคยคิดว่าบางทีมู่อวิ๋นจิ่นอาจพูดคำเ่าั้โดยบังเอิญเพื่อปกป้องตัวเอง
แต่จนกระทั่งมู่อี้หยางตื่น เขาพูดอย่างมีสติว่าเขาได้รับาเ็สาหัสเป็เพราะมู่อวิ๋นจิ่น
ในเวลานั้นนางไม่สงบอีกต่อไป และอยากจะไปโวยวายที่จวนเสนาบดีมู่อยู่เสมอ แต่แล้วนางก็คิดว่า มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะกลายเป็ชายาขององค์ชายหก ดังนั้นการโจมตีนางอย่างเปิดเผยอาจไม่สำเร็จ
ดังนั้นนางจึงเก็บเสียงนี้ไว้จนกระทั่ง หงเซียมาหานางในวันนี้
เดิมที การกระทำของนางในวันนี้ นางแค่้าความยุติธรรมให้กับตนเองและทำลายชื่อเสียงของมู่อวิ๋นจิ่น แต่นางไม่รู้ว่ามู่อวิ๋นจิ่นไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังสนับสนุนให้นางแจ้งเื่นี้ออกไป
หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้ เว่ยหานเฉี่ยวก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยและมีความคิดที่ว่า เป็ไปได้หรือไม่ว่ามู่อวิ๋นจิ่นใน่หลายปีที่ผ่านมานั้นเป็เพียงการแสดง เป็เพียงภาพลวงตาทั้งหมด?
คนตรงหน้านางคนนี้คือตัวจริงของนางงั้นหรือ?
แต่เหตุใดต้องทำอย่างนี้? เป็คำสั่งของซูปี้ชิงอย่างนั้นหรือ? แล้วจุดประสงค์ของการยุยงของนางคืออะไรกัน?
หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้ เว่ยหานเฉี่ยวคิดถึงความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือสิ่งที่ซูปี้ชิงกำลังรออยู่ในวันนี้ การใช้มู่อวิ๋นจิ่นแสร้งทำเป็คนโง่เขลาเพื่อกำจัดภัยคุกคามบางอย่างที่มีต่อตัวของนางในจวนทีละคน ทีละคน
เมื่อนึกได้ดังนั้นเว่ยหานเฉี่ยวก็สั่นสะท้าน
มู่อวิ๋นจิ่นยืนพิงหน้าต่าง เห็นเว่ยหานเฉี่ยวขมวดคิ้วขบคิดด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา นางรู้ว่าความหวาดระแวงกำลังเข้าครอบงำฮูหยินรองผู้นี้อีกครั้ง
ไม่น่าแปลกใจที่นางเป็ได้แค่ฮูหยินรอง สมองนี่ไม่ฉลาดเอาเสียเลยจริง ๆ
หลังจากคิดเื่นี้แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็หยิบถั่วลิสงจากโต๊ะข้างๆ แล้วโยนมันไปที่เว่ยหานเฉี่ยว ซึ่งอยู่ด้านล่าง
“ฮูหยินรอง วันนี้เ้าจงใจทำลายชื่อเสียงของข้าต่อหน้าทุกคน ข้าจะสืบสวนเื่นี้ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน” มู่อวิ๋นจิ่นเย้ยหยัน และจ้องมองไปที่เว่ยหานเฉียวอย่างไม่ลดละ
เว่ยหานเฉี่ยว สำลักอีกครั้งโดยคิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นเป็คนผิดแต่ทำไมถึงกลายเป็เช่นนี้ได้
ช่างน่าเสียดาย
แต่เมื่อนางนึกถึงลูกชายที่น่าสงสารของนาง ก็ทำให้นางรู้สึกโกรธจัดขึ้นมาอีก “ข้าทำลายชื่อเสียงของเ้างั้นหรือ? แล้วเ้าจะแก้ตัวอย่างไรเกี่ยวกับการทำร้ายพี่รองของเ้า”
“แม้ว่าพี่รองของเ้าจะเป็ลูกของฮูหยินรองเช่นข้า แต่เขาก็ยังเป็พี่ชายของเ้าอยู่ดี เขาาเพียงดุด่าเ้าไม่กี่คำ เ้าผู้เป็น้องสาวถึงกับต้องทุบตีพี่รองของเ้าจนพิการด้วยความโหดร้ายเช่นนี้เลยหรือ?”
ทันทีที่พูดเช่นนี้เว่ยหานเฉียวก็เช็ดน้ำตาและร้องไห้อย่างเสียใจ “ลูกชายของข้าที่กำลังจะแต่งงานมีครอบครัวและมีบุตร ถูกนังหญิงแพศยาคนนี้ฆ่าตายทั้งเป็ ชีวิตที่เหลือของเขาคงจะจบสิ้นลงแล้ว”
“หลังจากทำเช่นนั้น ยังมีคำพูดที่นางกล่าวออกมากับข้า โดยบอกว่าลูกชายของข้าเป็เพียงลูกอนุ และตระกูลมู่ยังมีบุตรชายคนโต และไม่ช้าก็เร็วหน้าที่ไหว้บรรพบุรุษก็จะไม่ใช่หน้าที่ฮูหยินรองอย่างข้าอีกต่อไป...”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของเว่ยหานเฉี่ยว ผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นก่อนจะร่วมกันพูดคุยเกี่ยวกับเื่นี้อย่างออกรส “คุณหนูสามร้ายกาจเสียจริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเมืองเตี๋ยฮวา นางดูสวยมากก็จริงแต่กลับใจดำอำมหิตมากยิ่งกว่า!”
“ใช่วันนั้นข้าก็ได้พบกับคุณชายรองสกุลมู่ เนื้อตัวผอมซูบลงไปมาก มองดูช่างน่าสมเพชน่าอนาจใจเสียจริง”
“อืม น่าเสียดายชะมัด”
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินคนด้านล่างแสดงความคิดเห็นทุกคำตัวนางที่อยู่บนชั้นสองก็กระตุกมุมปาก ขณะที่กำลังจะพูดนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากด้านหลัง
ฉู่ลี่ดื่มชาของตนและดูมู่อวิ๋นจิ่น โต้เถียงกับคนด้านล่างด้วยความสนใจเป็พิเศษ หลังจากสบตา มู่อวิ๋นจิ่นแล้วฉู่ลี่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองมู่อวิ๋นจิ่นอย่างสนุกสนาน
มู่อวิ๋นจิ่นจ้องมองและแสดงท่าทีเย้ยหยันให้กับคนที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง "ฮูหยินรอง องค์ชาย พวกท่านสามารถหาหลักฐานที่ดูน่าเชื่อถือกว่านี้ได้หรือไม่"
“ข้าเป็ผู้หญิงอ่อนแอ ข้าจะข่มเหงผู้ชายตัวสูงใหญ่รูปงามนั้นได้อย่างไร ท่านคิดว่าข้าเป็องค์หญิงฉินผู้กล้าหาญในจวนแม่ทัพอย่างนั้นหรือ”
มู่อวิ๋นจิ่นยกเอามู่เยว่ที่นางไม่เคยพบมาก่อนขึ้นมาพูด ก่อนจะมองลงไปอย่างไร้เดียงสาและกระพริบตาปริบ ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นรู้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางในตอนนี้ต้องไร้ยางอายมากเป็แน่
อย่างไรก็ตาม ความไร้ยางอายก็ไม่แย่เท่าคนประเภทนี้ที่ชอบยุยงคนอื่นและชอบสร้างปัญหา นางแค่อยากจะไร้ยางอายให้มากกว่าอีกฝ่าย และทำให้เว่ยหานเฉี่ยวโกรธจนขาดใจตาย!
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น ทำให้คนที่โจมตีมู่อวิ๋นจิ่นเมื่อครู่เงียบลงทั้งหมด...
ใช่แล้วคุณหนูสามสกุลมู่เป็เพียงหญิงสาวบอบบางอ่อนแอ!
ทว่าความขัดแย้งภายในครอบครัวที่เป็ทางการนี้ดูรุนแรงเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจเป็เพราะฮูหยินรองไม่พอใจ จึงมาหาคุณหนูมู่เพื่อระบายความโกรธของนางหลังจากที่นางหย่าร้าง!
หลังจากคิดได้ถึงเื่นี้ ผู้คนก็ต่างพากันรู้สึกเบื่อหน่ายและกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง ไม่้าที่จะก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในน้ำโคลนนี้อีก
เมื่อเห็นว่าผู้คนที่มุงดูออกไปหมดแล้ว ดวงตาของเว่ยหานเฉี่ยวก็พลันกระตุก เป็การแสดงออกอยากเห็นได้ชัดว่านางสูญเสียความมั่นใจที่นางมีก่อนหน้านี้ และนางก็แอบสาปแช่งหงเซียนางสุนัขรับใช้ผู้นั้นอยู่ในใจ
นางไม่เพียงแต่ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นขุ่นเคืองอย่างโจ่งแจ้งแล้ว แต่อาจจะทำให้องค์ชายหกที่อยู่ชั้นบนขุ่นเคืองตามไปอีกด้วย
ความสำนึกผิดปรากฏอยู่บนใบหน้าของเว่ยหานเฉี่ยวอย่างเห็นได้ชัด เห็นอย่างนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงไม่้ายุ่งเกี่ยวกับนางอีกต่อไป นางเลิกยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าแล้วพูดเบา ๆ ว่า “แม่นางเว่ยควรทำให้ตนตาสว่างบ้าง ไม่ใช่ทุกคนที่ไว้ใจได้เสมอหรอก”
หลังจากพูดอย่างนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็ปิดหน้าต่างบนชั้นสอง
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็ได้นั่งลงบนที่นั่งในห้อง นางรู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย และกำลังจะรินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ติงเสี่ยนซึ่งอยู่ข้าง ๆ เร่งหยิบกาน้ำชาแล้ววิ่งไปหาอย่างสุภาพ ก่อนจะรินน้ำชาให้นาง
“คุณหนูสาม เชิญดื่มชาขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ติงเสี่ยน หยิบถ้วยชาและยกชาขึ้นจิบ “รบกวนองค์รักษ์ติงแล้ว”
“ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอันใด” เม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หน้าผากของติงเสี่ยน ตอนนี้เขาเห็นชัดแล้วว่า คุณหนูสามสกุลมู่เป็จิ้งจอกน้อยจริง ๆ ตามที่องค์ชายของเขาได้พูดไว้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่อวิ๋นจิ่น เขาจึงรู้สึกขนหัวลุกไปชั่วขณะ และนึกถึงสำนวนซ่อนมีดในรอยยิ้มทันที พลันรู้สึกเสียใจที่บอกมู่อวิ๋นจิ่นเกี่ยวกับปัญหาสายตาขององค์ชายหก ผู้เป็เ้านายของตน
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมากัด แล้วพูดกับฉู่ลี่ว่า “องค์ชายหกคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพูดเมื่อคืนนี้หรือไม่”
“การตัดสินใจในเื่นี้อยู่ในมือของข้า” ฉู่ลี่พูดอย่างเงียบ ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้ตอบสนองอะไรมากนัก นางเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองร่างของติงเสี่ยนจากนั้นพูด ช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มว่า "องค์รักษ์ติง"
เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้ ติงเสี่ยนก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ภายในใจของเขา
มู่อวิ๋นจิ่นพูดต่อ “ข้าเพิ่งย้ายไปที่เรือนบุปผาภิรมย์ และมันค่อนข้างจะเงียบไปสักหน่อย ข้าอยากจะให้องค์รักษ์ติงช่วยจับนกกระจอกสองสามตัวมาให้ข้าที เพื่อที่ข้าจะได้พาพวกมันกลับไปทำให้ เรือนบุปผาภิรมย์มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง”
เมื่อได้ยินว่าเป็นกกระจอก เท้าของติงเสี่ยนก็อ่อนลงทันที และตอนนี้เขานึกโทษตัวเองว่าปากมาก จนอยากจะตบตัวเองสักสองสามครั้ง โทษฐานที่บอกความลับขององค์ชายแก่แม่นางมู่
โชคดีที่เขายังรู้สึกว่า คุณหนูสามสกุลมู่จะเห็นอกเห็นใจหลังจากได้ยินความลับขององค์ชายของเขา ข้อเท็จจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่า คุณหนูสามสกุลมู่ผู้นี้ดูภายนอกอาจไม่น่าเชื่อถือแต่ก็ไม่ได้มีความร้ายกาจอันใด
"ฝ่าา..." ติงเสี่ยนจ้องมองไปที่ฉู่ลี่เพื่อรอดูท่าทีของอีกฝ่าย
ฉู่ลี่มองไปที่ติงเสี่ยนและพูดด้วยเสียงต่ำ “ไปสิ”
หลังจากพูดอย่างนั้น ติงเสี่ยนก็พยักหน้าและเดินออกจากห้องไป
เมื่อติงเสี่ยนจากไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็เอนกายลงบนเก้าอี้และมองไปที่ฉู่ลี่ด้วยรอยยิ้มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ช่างเป็พรแห่ง์ที่มีองค์รักษ์ที่เพรียบพร้อมไปด้วยทักษะศิลปะการต่อสู้ระดับสูงเช่นนี้”
“เ้าพยายามจะพูดอะไรกันแน่” ดวงตาของฉู่ลี่เผยให้เห็นถึงคำเย้ยหยัน และจ้องมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเขา
“มันง่ายมาก ท่านแค่ต้องแสดงออกว่าท่านไม่้าแต่งงานกับข้า การตัดสินใจนี้อยู่ในมือท่านแล้ว ไม่น่าจะยากสำหรับท่านใช่หรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉู่ลี่ ก็พลันคลี่ยิ้มเบา ๆ “นั่นคือสาเหตุที่เ้าไม่้าแต่งงานกับข้าหรือ?”
“ใช่” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ข้าไม่เคยเชื่อในสิ่งที่เรียกว่าคำสั่งจากพ่อแม่หรือคำพูดของแม่ซื้อ ข้าเชื่อในสายตาของข้าเองเท่านั้น”
“โอ้ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันของเ้า ดูเหมือนว่าเ้าจะไม่มีสิทธิ์เลือกสามีของเ้าเอง” ฉู่ลี่มองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอย่างเยาะเย้ย และทันใดนั้นความโกรธก็พุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของมู่อวิ๋นจิ่น พร้อมกับคำพูดที่ตรงไปตรงมา
การเยาะเย้ยอย่างต่อเนื่องของฉู่ลี่ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ของมู่อวิ๋นจิ่นพังทลายลงทันที ก่อนนางพูดอย่างไม่พอใจว่า “ลืมเื่อื่นๆไปเสีย สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือสัญญาการแต่งงานของเรา และตอนนี้ฮ่องเต้ได้ให้สิทธิ์ท่านในการตัดสินใจ ตราบเท่าที่ท่านเปิดปากของท่านและแสดงออกว่าไม่้าแต่งงานกับข้า สัญญาการแต่งงานนี้จะไม่เกิดขึ้น”
เมื่อเห็นว่านางกระตือรือร้นที่จะยกเลิกสัญญาการแต่งงานนี้ ฉู่ลี่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “ในฐานะลูกสาวคนโตของอัครเสนาบดี แม้ว่าสัญญาการแต่งงานกับข้าจะไม่ถูกนับรวม แต่ท่านพ่อของเ้าก็จะยังคงให้เ้าแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี เ้าไม่กังวลเื่นี้หรือ?”
“เื่นั้นไว้ค่อยว่ากันเถิด เื่เร่งด่วนคือเื่ของท่าน!” มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากของนาง “ท่านเห็นด้วยหรือไม่”
“ถ้าข้าบอกว่าไม่เห็นด้วยล่ะ?” ฉู่ลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ด้วยความตั้งใจที่จะแกล้งมู่อวิ๋นจิ่น
เมื่อเห็นว่าฉู่ลี่พยายามจะแกล้งนาง มู่อวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ พลางกัดริมฝีปากของตนก่อนจะพูดว่า “งั้นเอาจี้หยกของข้าคืนมา ข้าจะไม่ขายมันอีกต่อไป”
“แล้วถ้าข้าไม่คืนล่ะ?” ฉู่ลี่ถาม เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันด้วยความโกรธ เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็เลิกคิ้วขึ้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มศีรษะลงเล่นเล็บอย่างไม่ระมัดระวัง และพูดอย่างสบาย ๆ ว่า
“หากท่านไม่คืน ความจริงที่ท่านทรงทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายจะต้องรู้ไปทั่วทุกราชสำนักอย่างแน่นอน!”