ขณะที่อันเจิงกอดเ้าแมวน้อยลงมาจากเกี้ยวคนที่หน้าประตูของโรงจวี้ฉ่างต่างก็นิ่งอึ้ง เมื่อเห็นเด็กยากจนคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งในอ้อมแขนมีลูกแมวสีขาวดุจหิมะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังดูแปลกพิกล ในขณะที่คนเฝ้าประตูของโรงจวี้ฉ่างมองอันเจิงอยู่นั้นในใจของเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี จะขัดขวางดีหรือไม่?แต่ว่านั่นคือเกี้ยวของตระกูลเฉิน ในสายตาของเขานั้นแค่เห็นเกี้ยวนั่นก็รู้แล้วว่าไม่ควรล่วงเกิน
ไม่ขวางไว้ดีกว่า เด็กคนนั้นยังมีกลิ่นเืฟุ้งกระจายไปทั่วไม่อย่างนั้นจะมีชื่อเสียงไม่ดีกับโรงจวี้ฉ่าง
ขณะที่อันเจิงลงจากเกี้ยวนั้นเขาถามคนแบกเกี้ยวอย่างจริงจัง “ข้าควรที่จะให้สินน้ำใจเ้าหรือไม่?”
คนที่แบกเกี้ยวรู้ว่าอันเจิงสำคัญกับนายน้อยเพียงใด ไหนเลยจะกล้าขอสินน้ำใจจึงโบกมือพร้อมกล่าว “ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย เื่เล็กน้อยแค่นี้เองมันเป็หน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
“โอ้...แล้วท่านได้เอาเงินมาบ้างหรือไม่”อันเจิงถามแล้วพูดต่อ “ข้าไม่มีเศษเงินเลย”
คนแบกเกี้ยวอ้ำอึ้งไปสักครู่ เขาจึงควักเศษเงินออกมาจากมือน่าจะประมาณสี่ตำลึง “ท่านเก็บเศษเงินนี้ไว้เถอะ”
อันเจิงจึงควักเงินออกมาจากภายในเสื้อ แบ่งออกมาประมาณห้าตำลึงแล้ววางลงในมือของคนแบกเกี้ยวจากนั้นจึงหยิบเอาเศษเงินจำนวนสี่ตำลึงมาแทน เขาเอาเงินหนึ่งตำลึงใส่ไว้ในเสื้อของคนเฝ้าประตูพร้อมกับบอกว่า“ช่วยพาข้าไปหานายน้อยเฉินเซ่าป๋ายด้วย ขอบใจ”
คนเฝ้าประตูที่ได้รับเงินจากอันเจิงนั้นมีสีหน้างงงวยเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมรับเงินไว้ จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองคนแบกเกี้ยว เขาพบว่าคนแบกเกี้ยวก็มีสีหน้างงงวยยิ่งกว่าตนเองเสียอีก
อันเจิงยืนสังเกตการณ์อยู่ที่ประตูครู่หนึ่งโรงจวี้ฉ่างแห่งนี้ช่างหรูหราโอ่อ่าเสียจริง ห้องโถงสูงถึงห้าเมตร ผนังเต็มไปด้วยภาพวาดที่งดงามเป็อย่างมากในห้องโถงจัดวางโต๊ะอยู่หลายสิบตัว ทุกโต๊ะล้วนมีคนนั่งอยู่แล้วมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาใส่กระโปรงสวยสดงดงามเดินกันขวักไขว่หญิงสาวเ่าั้ก็คือหญิงยกน้ำชา ดูภายนอกแล้วงดงามไม่ใช่น้อยสรีระร่างกายของพวกนางช่างเย้ายวนใจชาย เอวบางร่างน้อยรับกับไหล่กลมกลึงขาที่อยู่ใต้ชายกระโปรงก็เรียวยาวราวพู่กัน
ท่าทางของคนเฝ้าประตูยังคงงงงวยเขามองดูเศษเงินในมือพลางลังเลอยู่ว่าถ้าแอบเอาเงินไปก็คงไม่เป็อะไรตัวเขาเองก็ถือว่าผ่านอะไรมามาก ดังนั้นคนอื่นคงไม่มีทางล่วงรู้ถึงการกระทำของเขา อันเจิงมองดูท่าทีที่ดูโลภของคนเฝ้าประตูด้วยความผิดหวังใครจะไปรู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็คนยิ่งใหญ่ขนาดไหน ถึงแม้ว่าจะคิดอย่างนี้แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าคนเฝ้าประตูคนนั้นจะเอาเขาไปด่าในใจอีกหลายสิบรอบ
“คนที่นั่งอยู่ชั้นหนึ่งล้วนเป็ลูกค้าธรรมดาทั่วไป”
คนเฝ้าประตูนำทางอันเจิงขึ้นไปชั้นสอง“ชั้นสองมีห้องส่วนตัวสำหรับตระกูลเฉิน นายน้อยเฉินเซ่าป๋ายอยู่ในห้องนั้นเรียบร้อยแล้ว”
“พวกเ้าทำงานที่นี่ได้ค่าจ้างเดือนหนึ่งเท่าไหร่หรือ?” อันเจิงถามคนเฝ้าประตู
เขาตอบกลับอย่างสุภาพ “เดือนหนึ่งได้แปดสิบตำลึงแต่ว่ายังมีสินน้ำใจจากลูกค้าอยู่ด้วย โดยทั่วไปก็พออยู่ได้”
อันเจิงจึงรีบหยิบเอาเงินออกมาจากแขนเสื้อ แล้วมอบเศษเงินที่มีค่าน้อยที่สุดให้กับคนเฝ้าประตู“ต่อไปนี้ถ้าเงินไม่พอใช้ก็บอกข้าสักหน่อยนะ”
คนเฝ้าประตู “...”
หลังจากอันเจิงมาถึงชั้นสองแล้วก็พบว่าห้องส่วนตัวทุกห้องล้วนเต็มหมด การออกแบบห้องส่วนตัวแต่ละห้องมีความละเมียดละไมเครื่องเรือนล้วนทำมาจากไม้แดงแบบเดียวกัน บนโต๊ะมีชุดน้ำชาที่ทำด้วยทองคำ ราคาน่าจะเกินหนึ่งร้อยตำลึงหลังจากที่อันเจิงเดินไปตามระเบียง คนทุกห้องล้วนจ้องมองเขาอย่างสนใจ เด็กที่ไหนก็ไม่รู้ท่าทางเหมือนขอทานทำไมถึงขึ้นมาที่ชั้นสองได้
คนที่เข้ามาในโรงจวี้ฉ่าง ไม่ใช่แค่เศรษฐีในย่านหนานชานเท่านั้นแต่ยังมาจากที่อื่นด้วย ยิ่งสามารถขึ้นไปชั้นสองได้ก็ถือว่าร่ำรวยเป็อย่างมากอันเจิงนั้นดูเหมือนกับเด็กธรรมดา ทำไมยังขึ้นมาที่นี่ได้บรรดาคนทั้งหลายต่างมีความประหลาดใจ
อันเจิงมองเห็นเฉินเซ่าป๋ายแล้วฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็เด็กที่เพิ่งผ่านโลกมาสิบกว่าปีเท่านั้นเขากำลังกุมถ้วยน้ำชาด้วยสองมือ วางมาดเป็ผู้าุโ
เฉินเซ่าป๋ายหน้าตางดงาม ปากแดงฟันขาว อีกไม่กี่ปีจะต้องเป็ชายหนุ่มที่ทำให้หญิงสาวหลงใหลเป็แน่ครอบครัวเขาร่ำรวย มีหน้ามีตาทางสังคม สติปัญญาก็ดีได้ยินมาว่าพลังฝีมือของเขาเข้าถึงขอบเขตจุติ์ขั้นสาม อายุเลยวัยสิบปีแค่ไม่นานก็ฝึกฝนพลังฝีมือจนเป็ที่อิจฉาของผู้ฝึกวิชาคนอื่นแล้ว
อันเจิงมีความเข้าใจในการฝึกตนอย่างลึกล้ำกว่าคนอื่นมากดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการที่เด็กอายุเท่านี้จะฝึกถึงขอบเขตจุติ์ขั้นสามได้นั้นไม่ใช่เื่ธรรมดาเขาน่าจะอยู่ลำดับที่สองของสำนักจงเหมิน ประกอบกับสติปัญญาที่ดีของเขาถ้าออกจากโลกมายาแห่งนี้ไปและได้ฝึกฝนต่อในโลกภายนอก อย่างไรก็สามารถฝึกได้ดีกว่านี้เป็แน่
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออันเจิงได้เห็นเฉินเซ่าป๋ายในครั้งแรกเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าคนคนนี้มีความคิดที่ซับซ้อน เขาเป็คนที่มีพร์ดียิ่งคนหนึ่งแต่เมื่อพลังทั้งหมดไปขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดจึงทำให้ขีดจำกัดของพลังนั้นเพิ่มขึ้นไปได้อย่างช้า ๆจึงมีผลกระทบต่อความก้าวหน้าในการฝึกวิชา
“เชิญนั่ง”
เฉินเซ่าป๋ายชี้ไปที่เก้าอี้ข้าง ๆ ตัวเขาแล้วพูดกับอันเจิงด้วยสีหน้าสุขุม “ข้ามารอเ้าได้ครู่หนึ่งแล้ว ที่จริงข้าเป็คนไม่ชอบรอใครนานๆ ฉะนั้นครั้งหน้าเ้าต้องมาให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่คิดว่าการนั่งรอสมุนแบบเ้าจะเป็เื่ที่ดีนักถึงแม้ว่า...เ้าจะแข็งแกร่งกว่าไอ้พวกจางเหล่ยมากก็ตาม”
อันเจิงยักไหล่แล้วตอบกลับ“ข้าไม่ใช่ลูกสมุนแบบที่เ้า้าหรอกนะ ถ้าเ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทัน”
“พวกมันไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับข้าสักคนเ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
ความหมายของเฉินเซ่าป๋ายคือคนที่พูดจาแบบอันเจิงล้วนแต่มีจุดจบไม่ดีนัก
“เพราะว่าพวกมันเป็ขยะ” อันเจิงตอบกลับ
เฉินเซ่าป๋ายใช้มือทั้งสองข้างยกถ้วยน้ำชาแล้วหรี่ตามองอันเจิง“จากที่ข้าได้ยินมา ในตอนนี้เ้าเองก็ยังฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ใช่หรือไม่เล่าถ้าจะให้พูดตามตรง แม้ว่าร่างกายของเ้าจะแข็งแรงดีเหมาะกับการฝึกฝน แต่ว่าเ้ากับพวกที่เ้าพูดว่ามันเป็ขยะข้าว่ามันก็ไม่ต่างกัน”
“ถ้าเป็แบบนั้น เ้าจะอยากได้ขยะไปคอยรับใช้ทำไมกัน?พิสูจน์สิว่าเ้าก็ไม่ใช่ขยะ เอ๊ะ!หรือเ้าก็เป็ขยะเหมือนกับพวกข้า ข้าไม่สนอดีตหรืออนาคตหรอกนะ ข้าสนแค่ว่าตอนนี้เ้าทำให้ข้าหมดสนุกเสียแล้ว”
มือของเฉินเซ่าป๋ายค่อย ๆ กำแน่นจนถ้วยน้ำชาเต็มไปด้วยรอยร้าวแต่ก็ไม่มีน้ำชาหกออกมาแม้แต่หยดเดียว
“เป็อย่างที่คิดพวกคนโง่เขลามักขาดความกลัว” เฉินเซ่าป๋ายพูดด้วยสีหน้าเ็า
“ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ใช่โรงจวี้ฉ่างเ้าคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้วในตอนนี้ข้าอยากจะตัดแขนตัดขาของเ้าโยนไปให้สุนัขมันกินจริง ๆถึงแม้ตอนนี้เ้ายังไม่ได้พิสูจน์ความสามารถอะไร แต่สิ่งที่เ้าพิสูจน์ให้ข้าได้รู้แล้วก็คือเ้ามันทั้งโง่ ชั้นต่ำ แล้วยังยโสโอหัง!”
อันเจิงหยิบของว่างที่อยู่ในถาดขึ้นมากัดไปหนึ่งคำหลังจากนั้นจึงเอาส่วนที่เหลือยื่นให้เ้าแมวน้อย “เ้าก็ได้พิสูจน์แล้วเหมือนกันว่าเ้าวัดค่าคนอื่นได้น้อยเหลือเกิน”
“เ้ากล้ามากนะ!”
ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าะโขึ้น “เ้ากล้าหยาบคายต่อหน้านายน้อยข้าจะฆ่าเ้า!”
อันเจิงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของชายหนุ่มชุดดำคนนั้นเขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ลูบหลังเ้าแมวน้อยไปมา“เ้าลองพูดประโยคเมื่อกี้อีกครั้งก็ได้นะ ดูเ้าขู่แมวน้อยข้าสิ น่าสมเพชกว่าความตายซะอีก”
ชายหนุ่มชุดดำเพิ่งจะก้าวออกมาข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงฆ้องดังมาจากด้านนอก
“โรงจวี้ฉ่างขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาในวันนี้โรงประมูลของเราได้รับเกียรติจากทุกท่าน พวกเราจึงขอแสดงความเคารพต่อทุกท่านไว้ณ ตรงนี้ ที่ทุกท่านเลือกโรงจวี้ฉ่าง นั่นก็เพราะว่าที่นี่มีความยุติธรรมและปลอดภัยสำหรับทุกคนในโรงจวี้ฉ่างแห่งนี้เป็สถานที่ประมูลแลกเปลี่ยนสินค้าไม่มีใครที่จะมาแทรกแซงการประมูลของเราได้ นี่อาจจะเป็คำพูดเดิม ๆ จากพวกเราหลังจากที่ออกจากโรงจวี้ฉ่างแล้ว พวกท่านจะทำอย่างไรกับโลกมายาก็เป็เื่ของพวกท่านแต่ว่าในโรงจวี้ฉ่างแห่งนี้ ทุกท่านจะต้องเคารพกฎของที่นี่เป็อันดับแรก”
ชายชราหนวดขาวคนหนึ่งเดินไปที่โต๊ะต้อนรับแล้วพูดเสียงดังขึ้น“เ้าพูดอะไรดูไม่น่าฟังเอาเสียเลย ดังนั้นข้าจะขอพูดตรงนี้เลยก็แล้วกัน หลังจากนี้ข้าจะไม่พูดพล่ามอะไรอีกทุกท่านที่นำของดีมาที่นี่ โรงจวี้ฉ่างแห่งนี้ก็ไม่เคยทำให้พวกท่านผิดหวังมาก่อนของสำหรับวันนี้พร้อมแล้ว สำหรับใครที่เตรียมเงินมาแล้วก็เชิญได้เลย”
เขาหันหลังกลับไป หลังจากนั้นก็มีหญิงสาวใส่กระโปรงสีสันสวยงามเดินเข้ามาในมือถือถาดเอาไว้ ้าถาดมีหินสีเขียวมรกตวางอยู่ก้อนหนึ่งขนาดประมาณแตงโมหนึ่งลูก ้าของหินก้อนนั้นยังมีลวดลายสีดำถ้ามองหินนั้นจากที่ไกล ๆ รูปร่างของมันก็เหมือนกับแตงโมไม่มีผิดเพี้ยนหินก้อนนี้มีน้ำหนักมาก ขนาดคนที่แข็งแรงกำยำยกหินนี้ยังต้องใช้แรงมหาศาล แต่หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางคนนี้กลับยกมันได้อย่างง่ายดาย
“หินหยกแตงกวานี้เป็อาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับทุกท่าน”
ชายชราหนวดขาวผายมือเชื้อเชิญ “ทุกท่านที่เป็นักประมูลเชิญประมูลหินได้ ทุกท่านก็รู้ว่าหินแบ่งเป็ห้าสีก็คือ เขียว ขาว แดง ทอง ม่วงหินหยกแตงกวาก้อนนี้อาจจะจัดอยู่ในระดับรอง ๆ แต่ว่า...ทุกอย่างก็ไม่แน่นอนบางทีอาจจะมีหยกมรกตออกมาจากหินก้อนนี้ก็เป็ได้ หินหยกแตงกวาก้อนนี้มีขนาดใหญ่มากหนักถึงหกสิบกิโลกรัม ข้างในอาจจะมีหยกแห่งิญญาขนาดใหญ่อยู่ ใครก็ไม่อาจทราบได้”
อันเจิงที่นั่งอยู่ชั้นสองก็มองมาที่หินก้อนนั้นรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก “หินก้อนนั้น น่าจะหนักมากถึงแม้ว่าจะมีหยกแห่งิญญาอยู่ แต่ขนาดก็น่าจะประมาณเมล็ดลูกท้อเท่านั้น”
เฉินเซ่าป๋ายใช้สายตาเหยียดหยามมองไปที่อันเจิง“หินก้อนนี้ขนาดใหญ่มาก ของข้างในนั้นจึงไม่น่าจะมีขนาดเล็ก ถ้าเ้าไม่รู้จริงก็ไม่ควรจะพูดออกมาเด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวยากจน ไหนเลยจะรู้เื่พวกนี้ได้ เ้ารู้หรือไม่ว่าหินพวกนี้มันรวมตัวกันได้อย่างไรหินมรกตนั้นได้ถูกขนานนามว่าเป็อาภรณ์ของหยกด้านนอกของหยกแห่งิญญาจะถูกห่อหุ้มด้วยหินหนึ่งชั้น พวกขุนนางชั้นสูงหลังจากที่ตายไปแล้วก็เอามาทำเป็ด้ายหยกใช้ทอเสื้อผ้าเพื่อช่วยให้ศพไม่เน่าเปื่อย หินก้อนนี้หนักนักดังนั้นหยกแห่งิญญานี้จึงไม่น่าจะมีขนาดเล็ก”
อันเจิงยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ห้าหมื่นตำลึง!”
มีคนะโออกมาจากข้างใน
ชายชราหนวดขาวดำเนินการประมูลต่อ“ถ้ามีคนประมูลถึงหนึ่งแสนตำลึง หินก้อนนี้จะเป็ของคนนั้นทันที ทุกครั้งที่ประมูลจะเพิ่มขั้นต่ำครั้งละห้าพันตำลึงจะมีใครให้ราคามากกว่านี้อีกหรือไม่?”
“หกหมื่น!”
“แปดหมื่น!”
“เก้าหมื่นห้าพัน!”
คนด้านล่างแข่งกันประมูลแต่ว่าชั้นสองกลับไม่มีเสียงอะไรเลย ของล้ำค่าขนาดนี้ ยังไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา
เฉินเซ่าป๋ายประกาศกร้าว“ให้ข้าซื้อมาให้เ้าดูหรือไม่เล่า ดูซิว่าเ้าจะทายถูกหรือไม่?”
“หินก้อนนี้คุณภาพก็อยู่ในระดับล่างในตลาดมืดราคาคงไม่ถึงห้าหมื่นตำลึง ข้าคิดว่าของข้างในอาจจะดูมีขนาดใหญ่โตราคาประมูลจึงสูงลิ่วขนาดนี้ แต่ในสายตาของข้าของที่อยู่ข้างในก็ขนาดเท่ากับเมล็ดท้อเท่านั้น ราคามากสุด ข้าให้ได้แค่หนึ่งหมื่นตำลึง”อันเจิงประเมิน
เฉินเซ่าป๋ายจึงท้าทาย“งั้นเ้าก็ลองประมูลราคาสิ”
“หนึ่งแสนแปดหมื่น!”
“สองแสน!”
มีคนประมูลในราคาสูงลิ่วในขณะนั้นไม่มีคนประมูลต่ออีก พวกเขามีช่องทางในการซื้อขายหินแห่งิญญานี้แล้วมิหนำซ้ำราคายังถูกกว่าในตลาดมืดอีกด้วย หินก้อนนั้นถึงแม้ว่าจะมีขนาดใหญ่ถ้าเปิดออกมาแล้วสิ่งของที่อยู่ด้านในมีขนาดต่ำกว่าสี่สิบกิโลกรัมก็ถือว่าขาดทุนหินคุณภาพระดับล่างนี้ก็จะมีขนาดเล็กกว่าห้าสิบกิโลกรัม หินก้อนนี้คงได้มาในราคาต่ำกว่าสามหมื่นตำลึงเป็แน่แค่สองหมื่นตำลึงก็ถือว่าได้มากที่สุดแล้ว
อันเจิงเพ่งมองไปยังคนที่ประมูลก้อนหินแล้วจึงหัวเราะออกมา“สมองเ้านั่นคงมีขนาดเท่ากับเมล็ดท้อเท่านั้น”
หลังจากที่ไม่มีคนประมูลราคาต่อชายชราหนวดขาวจึงให้หญิงสาวในชุดกระโปรงสีสันสวยงามอีกคนตัดหินหยกแตงกวาในที่ประมูลทันที
คนที่มาตัดหินหยกแตงกวานั้นมีฝีมือการตัดชั้นสูงนางใช้มีดตัดอย่างประณีต ค่อย ๆ บรรจงตัดแต่ละส่วนออกมา หลังจากตัดมากกว่าร้อยครั้งก็ยังคงไม่เห็นหยกแห่งิญญาที่อยู่ด้านใน สีหน้าของคนที่ประมูลได้เริ่มซีดเผือด
หลังจากหั่นจนถึงชิ้นสุดท้าย ปรากฏว่าหยกแห่งิญญามีขนาดเท่ากับเมล็ดลูกท้อเท่านั้น
อันเจิงลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ระเบียง ะโไปหาคนที่ประมูลได้ว่า“หนึ่งพันสองร้อยตำลึงจะขายหรือไม่”
เขานิ่งไปสักครู่ หลังจากนั้นจึงสบถออกมาแล้วหันหลังเดินจากไป “ข้าให้เ้าแล้วกัน”
อันเจิงพูดขอบใจอยู่หลายครั้งหลังจากนั้นก็ให้คนเอาหยกแห่งิญญาที่มีตำหนินั้นขึ้นมา เขาวางเ้าแมวให้ลงไปนั่งพร้อมกับนำหยกแห่งิญญานี้ให้แมวกิน “ของสิ่งนี้อร่อยกว่าขนมตั้งเยอะเลยนะแต่อย่ากินด้วยความตะกละตะกลามนักเล่า ข้าป้อนให้เ้ามากไม่ไหวหรอก”
ในตอนนั้นสีหน้าของทุกคนล้วนมีแต่ความตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น