ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักที่วันนี้เด็กที่เคยกลั่นแกล้งอันเจิงทั่วย่านหนานชานจะไม่มาเข้าเรียน ภาพของอันเจิงที่พวกเขาเห็นเมื่อวานคือภาพที่อันเจิงใช้ความกล้าหาญของเขาจัดการกับพวกนักเลงอันธพาลที่แสนโเี้และอำมหิตลงได้อย่างราบคาบหวังเมิ่งและหวังจ้วงเองก็ถูกอันเจิงทำให้าเ็ไปไม่น้อยคาดว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองยังคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่บ้านโดยไม่สามารถไปไหนได้ส่วนเกาตี้นั้น หลังจากถูกหัวโจกของกลุ่มอย่างจางเหล่ยพาตัวไปก็ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเขาอีก
เมื่อคืนอันเจิงดื่มยาสูตรของตนหลังจากนั้นก็แช่ตัวลงไปในน้ำร้อน แม้ว่าร่างกายของเขาจะยังไม่หายดีนักแต่วันนี้เขาก็ดูดีกว่าเมื่อวานมาก เขาบอกให้จงจิ่วเกอรออยู่ในบ้าน เปิดหน้าต่างแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ตั่งดินโดยที่ห้ามขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามสนใจเด็ดขาดจงจิ่วเกอเงียบไปสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ไปหากระโถนมาใส่ไว้ข้างในเสื้อคลุม พูดว่าเผื่อจำเป็ต้องใช้
อันเจิงเรียกตู้โซ่วโซ่วให้ไปสำนักด้วยกัน เมื่อก้าวเข้าไปในประตูสำนักก็พบว่าภายในห้องแทบจะไม่มีคนเป็ความจริงที่ว่า เมื่อมีเื่ราวอะไรเกิดขึ้นรอบตัว เราก็มักจะเกิดอารมณ์ร่วมไปด้วยในสำนักที่ย่านหนานชานก็เช่นกัน ตอนที่พวกเกาตี้รังแกอันเจิง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ล้วนประสมโรงรังแกเขาไปด้วยเมื่อสภาพแวดล้อมพาไปมันจึงกลายเป็เื่ใหญ่ คนที่นั่งอยู่ในห้อง เมื่อเห็นอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วเดินผ่านประตูเข้ามาสีหน้าของแต่ละคนล้วนแต่มีความรู้สึกสับสน
อันเจิงเข้ามานั่งในที่ของตนเองเขาหลับตาลงแล้วคิดอะไรบางอย่าง
อาการาเ็ของเขาถึงแม้ว่าในตอนนี้จะสามารถควบคุมได้แล้วแต่ว่าร่างกายก็ยังคงไม่ดีมากนัก เขาจะต้องฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงมากที่สุดเพื่อที่จะกลับไปล้างแค้นในตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องคิดหาวิธีดี ๆ ที่จะฟื้นฟูร่างกาย ถึงแม้ว่าจิติญญาของเขาจะแข็งแกร่งแต่ความทรงจำต่าง ๆ ยังคงเต็มไปด้วยความซับซ้อน ร่างกายของอันเจิงในตอนนี้แม้ว่าจะช่วยเขาได้มากแต่หลังจากนี้ก็ยากที่จะพูดได้ว่าจะเป็อย่างไรต่อไป
ความจริงสำนักของพวกต้าโค่วหมดหนทางไม่ใช่เพราะขาดเงิน แต่สิ่งที่ขาดคือร่างกายของคนที่มีพร์ที่จะสามารถฝึกฝนวิชาได้ด้วยประสบการณ์ของอันเจิง เขาจึงรู้ในทันทีว่า การที่พวกต้าโค่วมาตั้งสำนักที่โลกมายานั้น...มาในสถานะใดถึงแม้ว่าย่านหนานชานจะไม่ใช่ย่านที่ใหญ่นักในโลกมายา แต่พวกต้าโค่วเองก็ยังไม่สามารถครองพื้นที่และควบคุมที่นี่ได้ทั้งหมดเพราะที่นี่ยังขึ้นอยู่กับตระกูลเฉินด้วย
ในตอนนี้คงมีเพียงอันเจิงที่มีคุณสมบัติพอจะเข้าข่ายอยู่บ้างเขา้าเพียงแค่ยาที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายเพื่อที่จะเข้าขั้นตอนล้างไขกระดูก แล้วเข้าสู่ขอบเขตจุติ์ต่อไปส่วนร่างกายของตู้โซ่วโซ่วนั้นอยู่ในขั้นกลาง ๆ ยัง้าการฝึกฝนและ้ายาเพื่อเปลี่ยนร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งอันเจิงไม่สามารถเดินทางไปคนเดียวได้อีกต่อไป ถ้าจะไปเขาต้องไปพร้อมกับตู้โซ่วโซ่ว
ในตอนนี้วิธีที่เร็วที่สุดคงจะเป็การไปเอาสมุนไพรมาจากบ้านตระกูลเฉินเท่านั้น
“โซ่วโซ่วเ้ารู้หรือไม่ว่าที่โลกมายานี้ที่ไหนมีตลาดมืดบ้าง?”
ตู้โซ่วโซ่วอึ้งไปสักครู่ “ถามแบบนี้เ้ากำลังคิดจะทำอะไร?”
“เ้าอยากฝึกวรยุทธ์หรือไม่เล่า?”
“แน่นอนสิ ก็นั่นมันเป็ความฝันของข้า” ตู้โซ่วโซ่วยอมรับ
อันเจิงจึงตบไปที่ไหล่ของตู้โซ่วโซ่ว “ข้ารู้วิธีที่จะทำให้เ้าสามารถฝึกวิชาได้แต่ว่าเ้าจะต้องมีหยกแห่งิญญา ข้าเดาไว้ว่าในสำนักของพวกต้าโค่วคงมีไม่กี่คนหรอกที่มีหยกแห่งิญญาดังนั้นพวกเราจะต้องไปที่ตลาดมืดเพื่อคิดหาวิธีกัน”
ตู้โซ่วโซ่วอาจจะยังฝึกฝนวิชาในตอนนี้ไม่ได้ แต่เขามีพี่ชายที่ทำงานเล็ก ๆน้อย ๆ อยู่ที่สำนักจงเหมิน ซึ่งทุกครั้งที่พี่ชายของเขากลับมาก็มักเล่าเื่ราวของคนที่ฝึกวิชาอยู่ที่นั่นให้ฟังดังนั้นตู้โซ่วโซ่วจึงพอรู้ว่า คนธรรมดาที่คิดจะฝึกวรยุทธ์นั้นมีเพียงวิธีเดียวนั่นก็คือรวบรวมหยกแห่งิญญา หลังจากนั้นให้คนที่มีความสามารถ นำหยกแห่งิญญามาทำให้ร่างกายแตกดับไปทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะเปลี่ยนร่างกายธรรมดาให้แข็งแกร่งขึ้นได้แต่ว่าสำหรับคนทั่วไปแล้ว การจะหาหยกแห่งิญญาสักก้อนนั้นคงยากเย็นเกินกว่าจะทำได้
“พี่ชายของข้าเคยพูดไว้ว่า หยกแห่งิญญาในตลาดมืดราคาสูงมากประมาณห้าพันตำลึง เขายังพูดอีกว่าคนธรรมดาถ้าอยากจะเปลี่ยนร่างกายให้สามารถฝึกวิชาได้ละก็อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้หยกแห่งิญญาสิบสองก้อนและยังต้องหาคนที่มีพลังถึงขอบเขตสุมารุมาช่วยล้างไขกระดูก”
ตู้โซ่วโซ่วส่ายหัว “นั่นมันเท่ากับเงินหนึ่งแสนสองหมื่นตำลึงเลยนะไม่ใช่แค่สองพันตำลึง แม้ว่าเราจะมีเงิน แต่จะไปหาคนที่มีพลังถึงขอบเขตสุมารุได้ที่ไหน?อันเจิง เท่าที่ข้าได้ยินมา คนของสำนักต้าโค่วที่ฝึกวิชาได้แข็งแกร่งที่สุดมีแค่สองคนเท่านั้นคือพี่ใหญ่ของพวกต้าโค่วกับโค่วจิ่ว และยังไม่มีใครเข้าสู่ขอบเขตจุติ์ซึ่งเป็ขั้นแรกเลย”
“มีเพียงแค่ต้องนำหยกแห่งิญญามาเท่านั้นวิธีนี้คงเป็วิธีที่ดีที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้คือพวกเราไม่มีเงินมากพอมีเพียงวิธีเดียวคือต้องพนันเอาที่ตลาดมืด”
ตู้โซ่วโซ่วแย้งขึ้น “เป็ไปไม่ได้หรอกพี่ชายของข้าเคยพูดไว้ว่า ของในตลาดมืดส่วนใหญ่จะเป็ของปลอม หินแห่งิญญาที่ขายกันแต่ละก้อนนั้นล้วนแต่ไม่มีหยกแห่งิญญาอยู่ข้างในมันก็แค่หลอกเอาเงินเท่านั้น และในตลาดมืดยังมีกลุ่มอิทธิพลคอยจัดการการพนันก้อนหินนี้อีกด้วยคนที่ถูกหลอกถึงจะโมโหขนาดไหนก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา พวกเราก็เป็แค่เด็กที่อ่อนแอไร้พิษสงจะไม่ถูกเล่นงานจนถึงตายหรอกหรือ?”
อันเจิงผงกหัวยอมรับ “พวกเราไปอย่างไรก็คงหาหินแห่งิญญาของแท้ไม่เจอดังนั้นเราต้องยืมมือใครสักคน ตอนนี้คนของตระกูลเฉินก็ยังติดต่อกับข้าอยู่ไม่ใช่หรือข้าวางแผนไว้ว่าจะไปคบหากับพวกตระกูลเฉินสักพัก ถ้าไม่ยืมมือของพวกตระกูลเฉิน หยกแห่งิญญาสักก้อนก็คงไม่มีทางได้มา”
“ตระกูลเฉิน...นั่นมันอันตรายมากนะ!”
ตู้โซ่วโซ่วคว้าแขนของอันเจิงเอาไว้ “เ้าก็เห็นแล้ว...ว่าคนตระกูลเฉินแต่ละคนเป็อย่างไรดูอย่างเฉินผู่สิ แค่มองก็รู้สึกได้ถึงความโเี้ในจิตใจของเขา จะอย่างไรก็เป็งูพิษแน่ใครจะไปรู้ว่ามันจะกลับมาแว้งกัดเราเมื่อไหร่ อีกอย่าง...เ้าก็เคยหักหน้าตระกูลเฉินมาก่อนและยังไปทำร้ายเฉินชีเ้านั่นเป็บุตรชายของเฉินผู่เสียด้วย พวกมันคงไม่ปล่อยเ้าไปง่าย ๆ แน่”
อันเจิงยิ้มและหัวเราะออกมา “เฉินผู่น่ะหรือมันก็แค่ตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น ถ้าใจของเ้ายังอยากจะฝึกวิชา อย่างไรข้าก็จะทำให้เ้าสามารถฝึกได้อย่างแน่นอน”
ตู้โซ่วโซ่วอ้าปากแต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ในใจของเขาตอนนี้รู้สึกอบอุ่นจนอยากจะร้องไห้ออกมาเขารู้ถึงพลังของอันเจิงและจงจิ่วเกอ แต่สำหรับเขาแล้ว...การฝึกฝนพลังกลับเป็เื่ยากราวกับงมเข็มในมหาสมุทรแต่เขาก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่อันเจิงพูดมานั้นจะต้องกลายเป็จริงได้ในสักวัน
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้นด้านหน้าประตูก็มีคนปรากฏตัวขึ้น สายตาลับ ๆ ล่อ ๆ คู่หนึ่งจ้องมองมาภายในห้อง ขณะนั้นภายในห้องเงียบมากเนื่องจากพวกของต้าโค่วยังไม่มาเข้าสอน นักเรียนในห้องส่วนใหญ่จึงฟุบตัวลงนอนกับโต๊ะคนคนนั้นยังคงมองไปรอบ ๆ ห้อง หลังจากนั้นเขาก็โบกมือให้อันเจิง “ท่านอันท่านออกมาหน่อยได้หรือไม่?”
อันเจิงอุ้มเ้าแมวน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน หลังจากนั้นจึงค่อย ๆเดินไปที่ประตูแล้วถามขึ้น “มีเื่อะไรหรือ?”
คนที่มาหาอันเจิงคือจางเหล่ย หัวหน้ากลุ่มนักเลงอันธพาลที่ถูกอันเจิงทำร้ายจนสาหัสเมื่อเห็นอันเจิงออกมาเขาก็โค้งคำนับแล้วพูดขึ้น “ท่านอันนายน้อยแห่งตระกูลเฉินบอกข้าว่า ตอนบ่ายนี้จะไปที่โรงจวี้ฉ่าง ถ้าท่านอันมีเวลาว่างก็ไปเยี่ยมเยียนกันที่นั่นได้”
นายน้อยของตระกูลเฉินนั้น แน่นอนว่าเขาก็คือเฉินเซ่าป๋าย
โรงจวี้ฉ่างคือสถานที่รับประมูลสิ่งของแห่งเดียวในย่านหนานชานได้ยินมาว่าของดี ๆ ที่ถูกประมูลไปได้เพียงแค่สองสามชิ้นก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อนไปหมด คนส่วนใหญ่ในโลกมายาล้วนแต่เป็คนที่ลี้ภัยมาจากที่อื่นคนพวกนี้มักจะเอาชีวิตของตัวเองมาเป็เดิมพัน มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าไปล่าสัตว์ในเทือกเขาชางหมานล่าสัตว์ได้ก็เอามาประมูลที่โรงประมูลแห่งนี้ คนเ่าั้ต่างก็ได้กำไรไปมากอยู่คนที่ประมูลของไปได้เ่าั้ ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนที่ลี้ภัยมา ทำให้เงินจำนวนมากหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันอยู่ที่นี่
“ได้” อันเจิงตอบอย่างหนักแน่น
“ฝากไปบอกนายน้อยของเ้าด้วยว่า ตอนบ่ายข้าจะไปรออยู่ที่หน้าประตูโรงจวี้ฉ่าง”
เมื่อจางเหล่ยได้ยินอันเจิงตอบรับ ท่าทางของเขาเหมือนยกูเาออกจากอก“ตกลง ข้าจะไปรายงานให้นายน้อยทราบตามนี้ ส่วนเื่เกาตี้...เขาถูกข้าทำลายแขนขาทิ้งไปหมดแล้วก็ยังดีกว่าถูกฆ่าทิ้ง ตอนนี้ไอ้เด็กนั่นก็ได้แต่รอความตายเท่านั้นท่านอันยังมีอะไรอยากจะสั่งข้าอีกหรือไม่”
อันเจิงส่ายหน้า “ไม่มีอะไรแล้วเ้ากลับไปเถอะ”
จางเหล่ยโค้งตัวแสดงความเคารพหลังจากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งไปทันทีราวกับว่าเขาเห็นอันเจิงเป็ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่น่ากลัว
“พวกเราไปกันเถอะ”
อันเจิงดึงตู้โซ่วโซ่วพร้อมกับพูดขึ้น“วันนี้พวกต้าโค่วไม่น่าจะมีใครมาสอนแล้วล่ะ ข้าว่าระหว่างตระกูลเฉินกับต้าโค่วไม่แน่ว่าอาจจะมีความขัดแย้งกันอยู่อย่างลับๆ โซ่วโซ่ว...ถ้าเ้าอยากจะฝึกฝนวิชาเ้าก็ห้ามี้เีนะ ในโลกนี้ไม่เคยมีความเสมอภาคหลายคนอาจเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรง แต่คนส่วนมากก็มีร่างกายธรรมดา ๆแบบเ้า พวกเราช้ามามากพอแล้ว เรามาออกวิ่งกันเถอะคนที่ร่างกายแข็งแรงแต่กำเนิดนั้นสามารถฝึกฝนวิชาได้เลย ใช้เวลาสามถึงห้าปีก็เข้าสู่ขอบเขตจุติ์ได้แล้วแต่พวกเราผ่านมาเป็สิบปียังไปไม่ถึงไหนเลย”
“พวกเราต้องขยันกว่าพวกที่มีพร์นะ กลับบ้านกัน...เริ่มต้นฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายั้แ่วันนี้เป็ต้นไปพวกเราอย่าได้หวังที่จะมีเวลาไปเที่ยวเล่นกันเลยจำตำแหน่งของจุดลมปราณทั้งหมดไว้ หลังจากนั้นฝึกออกมือให้เร็วและแข็งแกร่งก่อนที่พวกเราจะมีวิธีเปลี่ยนแปลงความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นอย่างน้อยเ้าต้องทำให้ตัวเองไม่ทรยศต่อจิตใจที่จะฝึกฝนวิชาก่อน”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้าเล็กน้อย “อันเจิงเ้าสบายใจเถอะ ข้าไม่มีวันทรยศตัวเองเด็ดขาด”
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินออกจากสำนักไปแล้ว คนอื่น ๆที่เหลืออยู่ในสำนักยังคงกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไรตอนที่อันเจิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น พวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล ราวกับว่าบนหลังแบกูเาลูกใหญ่เอาไว้อย่างนั้น
อันเจิงกลับถึงบ้านแล้วพบว่าคนของตระกูลเฉินที่ล้อมรอบบ้านอยู่ได้หลบกันออกไปแล้ว เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง คนของตระกูลเฉินไม่อยู่เลยสักคนต้องมีเื่ใหญ่เกิดขึ้นแน่ ๆ แล้ววันนี้ที่สำนักของพวกต้าโค่วก็ไม่มีใครมาสอนอีกนอกเหนือจากนั้น นายน้อยแห่งตระกูลเฉิน เฉินเซ่าป๋ายก็จะไปที่โรงจวี้ฉ่างเื่พวกนี้ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ ๆ อันเจิงมีลางสังหรณ์ว่าย่านหนานชานจะต้องเกิดการนองเืขึ้น
จงจิ่วเกอเห็นอันเจิงกลับมาหน้าตาของเขาก็เหยเกขึ้นมาทันที
“ท่านอันกลับมาแล้ว”
ขณะที่จงจิ่วเกอเห็นอันเจิงเขารู้สึกดีใจราวกับว่ามีคนมาช่วยชีวิตเขาไว้ หน้าของเขาดูแล้วเหมือนกับคนเป็ตะคริวเมื่ออันเจิงมาถึงหน้าประตูก็ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น “นี่มันอะไรกัน?”
“เพราะเ้าไม่อนุญาตให้ข้าขยับไปไหนข้าก็เลยนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะดื่มน้ำสักอึก แต่ว่า...ก็มีเื่บางเื่ที่ข้าควบคุมมันไม่ได้”
“ฉี่รึ? ไม่ใช่ว่าเ้าเตรียมโถฉี่เอาไว้แล้วหรือ?”
“ใช่ ข้าเตรียมไว้แล้วแต่ว่ามันยังอยู่ในเสื้อของข้า ก็เลย...ไม่ทัน”
อันเจิงกุมขมับ “ช่างมันเถอะ โซ่วโซ่ว...พวกเราไปฝึกฝนร่างกายกันเถอะให้เ้านี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ตู้โซ่วโซ่วยิ้มแล้วเดินออกจากประตูไปพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้จงจิ่วเกอ“เ้านี่มันแน่จริง ๆ ขนาดปวดฉี่ เ้ายังไม่ขยับไปไหน”
จงจิ่วเกอตอบกลับ “แน่นอน นี่เป็เื่ถนัดของข้าเลย”
ที่ด้านนอก อันเจิงสอนตู้โซ่วโซ่วจำแนกลมปราณหลังจากนั้นออกมือด้วยความรวดเร็วและเต็มไปด้วยพละกำลัง เื่นี้มันเป็เื่ของการพยายามฝึกฝนไม่มีทางลัดแม้แต่น้อย ใน่ที่อันเจิงฝึกฝนนั้น เขาก็ต้องใช้ความตั้งใจและความพยายามเช่นเดียวกันส่วนตู้โซ่วโซ่วมีความี้เีเป็ปกตินิสัย ต่อไปนี้ถ้าจะฝึกวรยุทธ์ก็ต้องกัดฟันสู้และยืนหยัดต่อไปให้ได้แต่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ร่างกายของเขาก็เหนื่อยจนทนไม่ไหวเขารู้สึกว่าตัวเองนั้นเทียบกับอันเจิงไม่ได้เลย เมื่อหันหน้ามองไปที่อันเจิงซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ลานบ้านปิ้งมันหวานไปพลางแทะมันหวานไปด้วยจนปากพอง
“อันเจิงเ้าไม่ได้พูดว่าจะฝึกด้วยกันกับข้าหรอกหรือ...”
“เ้าไม่ต้องฝึกแล้วละ ถึงจะฝึกอย่างไรร่างกายของเ้าในตอนนี้ก็คงจะไม่เปลี่ยนไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
เมื่ออันเจิงพูดจบพลันเขาก็เห็นเกี้ยวมาอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มสวมชุดดำสี่คนแบกเกี้ยวมาจนถึงหน้าประตู
“ท่านอัน ได้เวลาที่ควรจะไปโรงจวี้ฉ่างแล้วพวกเราได้รับคำสั่งจากนายน้อยให้มารับท่าน”
อันเจิงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้วตอบกลับ“งั้นก็ไปกัน”
ชายหนุ่มชุดดำหยิบชุดสีฟ้าที่วางอยู่ในเกี้ยวส่งให้กับอันเจิง“นี่คือสิ่งที่นายน้อยเตรียมไว้ให้ท่าน”
อันเจิงก้มมองไปที่เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเืและดูสกปรกของตนแล้วก็ส่ายหน้า“ข้าจะใส่ชุดนี้นี่แหละ”