ในโลกมายาแห่งนี้ คนที่เป็คนดีมีจิตใจงดงามส่วนใหญ่มักอ่อนแอไม่มีวิชาพวกเขาหวาดกลัวและระแวดระวังตนเองไม่ให้เป็ที่สะดุดตาของพวกนักเลงอันธพาลคงไม่มีใครลืมว่าโลกมายานี้ถูกสร้างมาได้อย่างไร เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นเต็มไปด้วยคนชั่วร้ายโลกมายาก็มีแต่ความโหดร้ายครอบงำอยู่ ดังนั้นในย่านหนานชานแห่งนี้โดยเฉพาะในเวลาดึกดื่นค่ำคืน ถ้าหากพบใครสักคนบนถนน ก็แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคนนั้นจะเป็คนดี
ในขณะที่อันเจิงกำลังเดินอุ้มเ้าแมวน้อยอยู่นั้นก็มีเกี้ยวเล็ก ๆ มาขวางหน้าเขา ภายในเกี้ยวเผยให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าขาวราวหยวกกล้วยอายุราวยี่สิบปี สายตาของเขาจ้องมองแมวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนอันเจิง “แมวน้อยตัวนี้ช่างสวยงามนักยกมันให้ข้าซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเ้า”
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ในโลกมายาแห่งนี้อย่าได้ริไปดูถูกคนที่ดูไม่ปกติแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะว่าคนเ่าั้ย่อมมีความโเี้แตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน
ท่าทางของคนแบกเกี้ยวทั้งสี่นั้น ก็ดูน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา
แม้ว่าจะเป็อย่างนั้น อันเจิงก็ไม่ได้ยกเ้าแมวน้อยให้แก่เขาทั้งยังรู้สึกดูแคลนคนคนนี้อีกด้วย
ชายหนุ่มในเกี้ยวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามขึ้น“เ้าไม่กลัวตายงั้นรึ?”
อันเจิงยักไหล่ “เ้าอยากจะลองดูหรือไม่เล่า?”
“เพื่อแมวแค่ตัวเดียวเ้าคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะแลกหรือ?” ชายหนุ่มคนนั้นถามต่อ
“ก็แมวนี่มันเป็ของข้า”
“มันเป็ของเ้าแต่ข้าอยากได้ เ้าก็แค่มอบให้ข้าแล้วข้าก็จะไว้ชีวิตเ้าขอเตือนเ้าก่อนว่า ข้าไม่ใช่คนที่ชอบพูดเื่เหตุผลสักเท่าไหร่ เ้าลองกล้าปฏิเสธข้าอีกครั้งดูสิ”
“แมวตัวนี้เป็ของข้า เพราะฉะนั้นเ้าอย่าบังอาจมาพูดว่า้ามันอีกถึงแม้ว่าเ้าอยากจะกินขี้ของมัน ข้าก็ไม่มีทางที่จะตกลงอะไรกับเ้า” อันเจิงโต้กลับ
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เ้ายังกล้าพูดดีอยู่อีกหรือ?...ดูจากเสื้อผ้าโชกเืของเ้าแล้ว เ้าคงจะเพิ่งไปฆ่าใครมาแน่?”
“ลองเดาดูสิ” อันเจิงตอบอย่างยียวน
ชายหนุ่มผงกหัว “งั้นข้าไปก่อนละ”
เมื่อพูดจบเขาก็สั่งให้คนแบกเกี้ยวออกเดินทันที
ตู้โซ่วโซ่วมองอันเจิงคุยกับชายหนุ่มคนนั้นอยู่ครู่ใหญ่เวลานี้จึงเอ่ยถามขึ้น “เ้านั่นมันเป็ใครกัน”
อันเจิงส่ายหัว “โลกใบนี้มันซับซ้อนยิ่งกว่าที่เ้าคิดนักคนที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ ก็คือคนที่หาทางรอดของตัวเองเจอ”
“แต่เข้ามาหาเื่กันขนาดนี้แล้ว คิดจะไปก็ไปง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ? ข้ายังคิดว่าเราน่าจะได้สู้กันสักตั้ง!”
“ก็เพราะว่าเขาต่อสู้ไม่เป็น่ะสิ”
อันเจิงพูดจบเขาก็เดินต่อไปส่วนตู้โซ่วโซ่วก็ยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่อันเจิงพูด ผู้ชายคนนั้นดูถือตน อวดดี ทั้งยังดูเย่อหยิ่งยิ่งกว่าพวกของเฉินชีเสียอีกน่าจะเป็คนที่มาจากตระกูลใหญ่โต แต่ว่าในตอนนั้นแค่อันเจิงพูดไม่กี่ประโยคเขาก็ยอมจากไปดูเหมือนไม่ได้มีความโกรธอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นตู้โซ่วโซ่วจึงไม่เข้าใจว่า สุดท้ายเขาคนนั้น้าทำอะไรกันแน่
“อันเจิง...ทำไมเ้าปฏิบัติกับคนนี้แตกต่างจากไอ้พวกก่อนหน้านี้เล่าเ้าแค่มองก็ดูออกแล้วหรือว่าเขาต่อสู้ไม่ได้?”
“ดวงตาของเขามันบอกออกมาน่ะ”
คำตอบของอันเจิงไม่ได้ช่วยให้ตู้โซ่วโซ่วเข้าใจเพิ่มขึ้นเลยเพราะตู้โซ่วโซ่วไม่รู้ความจริงที่ว่า อันเจิงนั้นอายุเท่าไหร่แล้ว ในอดีตเขาทำงานที่กรมตุลาการไม่มีคนแบบไหนหรือความโหดร้ายใดที่เขาไม่เคยเจอ พวกคนชั่วที่ตายด้วยน้ำมือของเขาก็นับไม่ถ้วนเช่นกันถึงแม้ว่าในตอนนี้พลังของเขาอาจจะเหลืออยู่ไม่มาก แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นกำจัดคนชั่วต่อไป
“รอก่อน!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งใส่ชุดผ้าไหมสวยงามกำลังวิ่งไล่ตามพวกเขามาด้วยความกระหืดกระหอบ“เ้าเด็กน้อย ข้ามีคำถามจะถามเ้าหนึ่งข้อ”
“มีอะไรรึ?”
“ทำไมถึงไม่กลัวข้าเล่า?ในโลกมายา ถ้ามีใครสักคนสวมใส่ชุดผ้าไหมดูดีแบบนี้ อย่างไรก็ต้องเป็คนที่มีเบื้องลึกเื้ัแน่แต่เ้าที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามอมแมมกลับไม่กลัวข้าการแสดงของข้ามีอะไรบกพร่องอย่างนั้นรึ?”
อันเจิงย้อนถามกลับ“เ้าเป็คนสร้างเื่โกหกหลอกลวงหรือ?”
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเขาโค้งคำนับให้อันเจิง “ข้าคือจงจิ่วเกอ ช่วยบอกข้าทีเถอะว่า เ้าดูข้าออกได้อย่างไร”
“ดวงตาของเ้า” อันเจิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“การสร้างเื่โกหกของเ้าหลอกข้าได้แค่เพียงท่าทางภายนอกของเ้าเท่านั้นแต่แววตาของเ้ามันทำให้ข้าดูออก ว่าเ้าไม่ใช่พวกที่หลอกลวงจนเป็มืออาชีพแต่ถ้าหากเ้ายังใช้คำพูดยโสโอหังในการหลอกคนอื่นแบบนี้อีกละก็ คงไม่พ้นถูกฆ่าทิ้งในเร็ววันแน่เ้าคงเพิ่งมาที่โลกมายาสินะ เชื่อข้า...ตอนนี้เ้าจะอยู่ที่ไหนก็ได้ยกเว้นโลกมายาจงไปฝึกฝนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์เสียก่อน แล้วค่อยกลับมาเป็คนชั่วที่นี่”
“ข้าเคยคิด...ว่าข้าสามารถหลอกทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้และมันก็เคยสำเร็จทุกครั้ง คาดไม่ถึงว่าสายตาเ้าจะหลักแหลมถึงเพียงนี้” จงจิ่วเกอยิ้มเฝื่อน“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะ ดูแล้วเ้าก็อายุยังน้อย แต่กลับดูเหมือนคนที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนตอนนี้ข้ามีเวลา ถ้าเ้ามีเหล้าแล้วก็มีเื่ราวที่จะ...”
“เ้าหิวงั้นรึ?” อันเจิงถามแทรกขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
จงจิ่วเกอยิ้มเขิน ๆ “ข้าเอาเงินไปจ้างพวกคนรับใช้หมดแล้วสี่คนที่แบกเกี้ยวอยู่นั่นไง ดังนั้นตอนนี้ข้าก็เลยไม่มีเงินกินข้าว”
“แล้วทำไมเ้าถึงมาพูดความจริงตอนนี้ หรือคิดจะหลอกอะไรกันอีก”อันเจิงยังคงไม่ไว้วางใจ
“ที่ข้าพูดความจริง ก็เพราะหวังว่าเ้าอาจจะสามารถหาอาหารให้ข้าสักมื้อ”จงจิ่วเกอตอบอย่างหน้าไม่อาย
“เ้าแน่ใจได้อย่างไร?”
จงจิ่วเกอใช้ดวงตาของตนเองมองไปที่ดวงตาของอันเจิง“ดวงตา...ก็อย่างที่เ้าพูดว่าดวงตาสามารถทำให้เรารู้ถึงแก่นแท้ของคนคนนั้น แม้ว่าข้าจะมองไม่เห็นตัวตนของเ้าทั้งหมดแต่ข้าก็รู้สึกได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเ้าเป็คนดี”
ได้ยินดังนั้นอันเจิงจึงพูดขึ้น“เรียกข้าว่าท่านอัน”
“แบบนั้นคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูอย่างไรเ้าก็ยังเป็เด็ก...”
“แต่ข้ามีเหล้า”
จงจิ่วเกอนิ่งไปครู่หนึ่ง พลันยิ้ม “ท่านอันจะไปที่ใด?”
“ท่านอัน้าให้ข้าช่วยอะไรท่านหรือไม่?”
“ท่านอัน พวกเราจะไปกินข้าวที่ไหนหรือ?”
ตู้โซ่วโซ่วมองจงจิ่วเกอ พลันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองในวันนี้เหมือนกับเื่เล่าที่เคยได้ยินไม่ว่าใครก็ล้วนต้องพบเจอ แต่จงจิ่วเกอก็ไม่ได้ดูเป็คนเลวร้ายอะไร เป็แค่คนปากไม่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อกลับไปถึงบ้านของอันเจิงคนของตระกูลเฉินยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอก อันเจิงรู้ดีว่าตอนนี้รอบ ๆตัวของเขาล้วนแต่เป็คนของตระกูลเฉินและนี่ก็เป็เหตุผลที่เขายังเก็บจงจิ่วเกอเอาไว้ ระหว่างทางที่เดินมา อันเจิงได้นัดแนะแก่จงจิ่วเกอว่าให้เขาแสดงเป็คนที่แข็งแกร่งและมีวิชา ไม่ต้องแสดงออกอะไรมากมาย เพียงใช้ดวงตามองไปที่คนอื่นอย่างแน่วแน่จงจิ่วเกอถึงกับชื่นชมว่า ความจริงอันเจิงก็ดูเหมือนอาจารย์ทางด้านนี้
อันเจิงรู้ดีว่า จงจิ่วเกอคงจะหลอกพวกที่มีวิชาไม่ได้แต่ถ้าเป็เพียงตัวเล็กตัวน้อยของตระกูลเฉินก็อาจจะพอได้อยู่
อันเจิงกำลัง้าคนแบบนี้แล้วจงจิ่วเกอก็ปรากฏตัวขึ้นมาพอดี คงต้องเรียกว่าเป็โชคดีของเขา ในย่านหนานชานตอนนี้มีคนอยากรู้เื่ของอันเจิงมากขึ้นว่าทำไมจู่ ๆ ถึงได้กำเริบเสิบสานขนาดนี้ ถึงขั้นสงสัยว่าเขาจะมีคนหนุนหลังอยู่จงจิ่วเกอแค่คนที่บังเอิญเจอกัน...เขาจึงคิดจะลองหยั่งเชิงดู ตอนนี้อันเจิงระแวดระวังตัวเองมากขึ้นเขายังต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการรักษาอาการาเ็ภายในของตนเองและสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ข้างหน้า ก็เป็เพียงแค่พวกนักเลงอันธพาลที่ฝีมือไม่ได้สูงนักสามารถจัดการได้ง่าย ๆ
ในตอนนี้ ทั้งพวกคนตระกูลเฉินและพวกต้าโค่วต่างก็จับตาดูอันเจิงอย่างลับ ๆอันเจิงกำลัง้าอำนาจในมือเพื่อหายามารักษาอาการาเ็และฟื้นฟูพลังยิ่งเป็ตระกูลเฉินด้วยแล้ว ทำให้เขาอยากได้กองกำลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงจำเป็ต้องสร้างแผนการที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา
อันเจิงสังเกตจงจิ่วเกอที่กำลังเดินเข้าประตูบ้านไปเขาพบว่าจงจิ่วเกอแทบไม่ได้สนใจกองเงินและมีดที่เต็มไปด้วยเืเลยแม้แต่น้อยแต่เขากลับก้าวเท้าอย่างช้า ๆ เห็นได้ชัดว่าต้องมีอะไรสักอย่างกับเงินเขาใช้กลอุบายในการแอบมองเงินเ่าั้ อันเจิงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนที่ดูลึกลับคนนี้ถึงได้มาที่โลกมายา
“ท่านอัน ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่เดินผ่านประตู ท่าทีจงจิ่วเกอก็เปลี่ยนไป“ที่เ้าให้ข้าแกล้งทำเป็พวกมีวิชาเก่งกาจไม่ใช่แค่เล่นสนุก แต่เ้าใช้ข้าเป็เกราะกำบังจากพวกคนข้างนอกที่จับตามองอยู่ใช่หรือไม่เหล้านี่...ไม่น่าดื่มจริง ๆ ดูเหมือนว่าเ้าจะมีศัตรูที่นี่เยอะสินะงานนี้ดูไม่ง่ายอย่างที่คิด สงสัยจะต้องเพิ่มเงินเสียแล้ว”
“พูดมาเลยดีกว่าทำไมเ้าถึงได้มาที่โลกมายาแห่งนี้” อันเจิงไม่อ้อมค้อมอีก
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดไปว่าให้เ้าเพิ่มเงินไม่ใช่หรือแล้วค่อยมาพูดกันทีหลังว่าได้หรือไม่ได้ถึงแม้ว่าพวกข้าสำนักเชียนเหมินจะเทียบอะไรกับใครไม่ได้แต่ว่าพวกข้าก็มีฝีมือเพียงพอที่จะได้ค่าตัวสูง ๆ ใช่หรือไม่?นั่นเป็เพราะว่าพวกข้าสามารถช่วยเ้าได้ และข้าก็มีบทบาทสำคัญมากเสียด้วยเ้าให้ข้าแสดงละครหลอกพวกมันเพราะเ้ากังวลเื่ที่คนเ่าั้อาจจะบุกเข้ามาโจมตีแล้วทำให้เ้ารักษาอาการาเ็ไม่ได้ใช่หรือไม่?ข้าจึงต้องแสดงให้ดี ดังนั้น...เพิ่มเงินมาให้ข้าแล้วค่อยมาพูดกันให้ชัดเจน”
“ที่กองอยู่ข้างนอกนั่นเป็เงินราว ๆ สามพันตำลึงเ้าเอาไปเลยครึ่งหนึ่ง สำนักเชียนเหมินของพวกเ้าน่าจะยังไม่มีใครฝึกวรยุทธ์สำเร็จพวกเ้ายังห่างไกลกับเงินจำนวนนี้นัก”
“ดี!” จงจิ่วเกอเผยรอยยิ้มของเขาออกมา
“ข้าละชอบลูกค้าใจกว้างแบบเ้าจริง ๆ เ้าถามว่าทำไมข้าถึงต้องออกมาโลกภายนอกเพื่อฝึกฝนงั้นหรือ? นั่นก็เป็เพราะว่าพร์ของข้าค่อนข้างดีอาจารย์ของข้าไม่มีสิ่งใดจะสอนข้าอีกต่อไปเขาจึงบอกให้ข้าออกไปเผชิญโลกกว้างที่ยิ่งใหญ่ไพศาลทำไมถึงเรียกว่าโลกกว้างที่ยิ่งใหญ่ไพศาลน่ะรึนั่นก็เพราะว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความหลอกลวง ซึ่งเป็ประสบการณ์ที่เราผ่านกันมาอย่างโชกโชน”
“พูดความจริงออกมา” อันเจิงยังคงไม่เชื่อ
จงจิ่วเกอยิ้มที่มุมปาก “เพราะความยากจน...สำนักของข้าไม่ได้รับงานมานานมากแล้วเนื่องจากเกิดเหตุร้ายที่สำนักเชียนเหมิน เลยทำให้ไม่มีใครมาหาเราอีก แต่ว่าท่านอันเ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้พูดความจริง อย่าพูดอีกนะว่าดวงตาของข้ามันทำให้ท่านอ่านข้าออกน่ะ”
“สำนักเชียนเหมินถูกปิดแล้วเื่นั้นข้าพอรู้” อันเจิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“สำนักของเ้าไปหลอกคนที่ไม่สมควรจะหลอกดังนั้นจึงถูกกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีปิดสำนัก”
จงจิ่วเกอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ในโลกนี้มีแต่เื่เกินคาดหมายเสียจริงคนอย่างเ้า...เด็กน้อยอย่างเ้าทำไมถึงได้รู้เื่ภายนอกโลกมายาได้เล่า”
“ใช่ เ้ารู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร?” ตู้โซ่วโซ่วเห็นด้วยกับจงจิ่วเกอจึงพูดแทรกขึ้นมา
อันเจิงยักไหล่ “มีเ้าคนเดียวที่ไม่รู้กระมัง...โซ่วโซ่วใคร ๆ ก็รู้เื่นี้กันทั้งนั้น”
จงจิ่วเกอเบิกตาโพลง “ท่านอันเ้าเข้าสำนักเชียนเหมินของเราเถอะ ข้ารู้สึกว่าเ้ามีพร์มากกว่าข้า...”
อันเจิงนั่งลงแล้วทำสีหน้าจริงจัง “เพราะโชคชะตาทำให้เราสามคนมาเจอกันข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างที่จะต้องพูดให้ชัดเจน ตู้โซ่วโซ่วกับข้าตอนนี้ก็เหมือนพี่น้องถ้ามีข้าก็ต้องมีเขา ส่วนเ้า...จงจิ่วเกอ เ้าจะต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเอง พูดตามจริง...ในตอนนี้พวกเราสามคนเป็เพียงแค่ชนชั้นล่างของโลกมายาเท่านั้นดังนั้นถ้าอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เราจะต้องไม่ถูกรังแกอีกต่อไปเริ่มั้แ่วันนี้ พวกเราสามคนจะรวมเป็หนึ่งเดียวกัน”
อันเจิงหันหน้าไปทางจงจิ่วเกอ “แม้ว่าตอนนี้เ้าจะสามารถฝึกวรยุทธ์ได้แต่มีความจริงเื่หนึ่งที่เ้าอาจจะไม่อยากฟัง คือคนที่จะเข้าสำนักเชียนเหมินได้มีเพียงแต่พวกที่ธาตุแตกต่างกันเท่านั้น เ้ามาพึ่งพาพลังของคนอื่นสุดท้ายแล้วเ้าก็รู้ว่ามันจะเป็อย่างไร เช่นนั้นก็มาผจญยุทธภพกับข้าและโซ่วโซ่วที่โลกมายาแห่งนี้เถอะอย่างน้อยก็ยังพอมีความหวังที่สวยงาม แต่เ้าก็ต้องพยายามด้วย ทุกอย่างก็เพื่อตัวเ้าเอง”
จงจิ่วเกอยังคงลังเล “ในตอนแรกข้าคิดว่าจะไปที่จักรวรรดิต้าซีแล้วผ่านมาที่โลกมายาจึงคิดหลอกคนเพื่อที่จะเอาเงินไปเป็ค่าเดินทางคิดไม่ถึงว่าจะถูกเ้าจับได้ แต่นี่คงไม่ใช่โชคชะตา เพราะข้าจะติดตามเ้าทั้งสอง ถึงแม้ว่าข้าจะฝึกวรยุทธ์มาแล้วหลายพันท่าแต่ข้าก็รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนมันเป็อย่างไร นับั้แ่วันนี้ไปข้าจะเป็คนของท่านอันพวกเราสามคนอยู่ในโลกมายาแห่งนี้ ออกผจญยุทธภพกันเถอะ!”
ตู้โซ่วโซ่ว อันเจิง และจงจิ่วเกอพูดด้วยน้ำเสียงที่คึกคักพวกเขายืนขึ้น ชูกำปั้นไปมา แล้วพูดพร้อมกัน “ไปผจญยุทธภพกัน!”