ดึกดื่นคืนสงัด ณ เรือนจางซิ่วไฉ ตำบลจินจี
จางซิ่วไฉนั่งอยู่ที่ขอบเตียงเอ่ยเสียเบาว่า “ศิษย์ข้าทั้งสี่คน คนที่มีพร์ที่สุดก็คือ ฝูคัง พอพ้นปีใหม่ไปเขาก็จะอายุสิบสี่ปี ปีหน้าก็จะไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว ฐานะของสกุลหลี่ก็ดีขึ้นทุกวัน ถึงยามนั้นจะต้องมีคนมาเสนอเื่หมั้นหมายจำนวนมาก เ้าว่าให้อวิ๋นเอ๋อร์แต่งกับฝูคังเป็อย่างไร…”
บ่ายวันนี้ เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่คนมามอบของกำนัลปีใหม่ที่เรือนของจางซิ่วไฉ และแจ้งต่อจางซิ่วไฉว่า ปีหน้าจะเข้าสอบที่สำนักศึกษา นอกจากนี้ยังมาขอคำปรึกษาเื่ประสบการณ์การสอบกับจางซิ่วไฉด้วย
ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาแพงลิบลิ่ว จางซิ่วไฉจึงสอบถามเด็กหนุ่มทั้งสี่คนว่า จะสอบเข้าสำนักศึกษากันทุกคนเลยหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ จะไปกันทั้งหมด
ส่วนใหญ่แล้วจางซิ่วไฉจะได้ฟังเื่เกี่ยวกับสกุลหลี่มาจากหม่าซงพี่ชายของภรรยาตน สกุลหลี่เริ่มจากการเพาะปลูก เวลานี้อาศัยการค้าขายเล็กๆ สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวย ฐานะทางการเงินดีกว่าคนทั่วไปในตัวตำบลเสียอีก
จางซิ่วไฉจึงเกิดความคิดว่า จะให้บุตรสาวคนโตแต่งงานกับคนสกุลหลี่
หม่าซื่อนอนอยู่บนเตียง หรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “สตรีต้องแต่งกับคนที่สูงชั้นกว่า”
สีหน้าของจางซิ่วไฉเปลี่ยนไปเล็กน้อย จงใจเบือนหน้าออกไปมองที่หน้าต่างภายนอก ไม่มีความเคลื่อนไหวใด เมื่อนั้นจึงใช้เสียงที่แ่เบาที่สุดเอ่ยว่า “เ้าก็มิใช่ไม่รู้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์เป็อย่างไร เ้ายังอยากให้นางแต่งกับคนที่สูงชั้นกว่า? เ้าช่างเลอะเลือนจริงๆ!”
หม่าซื่อลุกขึ้นมานั่งอย่างไม่ค่อยพอใจ ถามไปว่า “ท่านไม่คิดจะให้อวิ๋นเอ๋อร์แต่งกับหลานชายข้าบ้างหรือ”
จางซิ่วไฉจ้องหน้าหม่าซื่อและกล่าวว่า “หลานเ้าคนใด” หม่าซื่อมีพี่ชายทั้งหมดสามคน น้องชายหนึ่งคน มีหลานชายถึงเก้าคน
“เหลียงฮุย” หลานชายที่หม่าซื่อเอ่ยถึงผู้นี้เป็บุตรชายคนโตของพี่ชายคนที่สามของนาง ปีนี้อายุสิบหกปี รูปร่างสูงใหญ่ มีพละกำลังล้นเหลือ เป็เ้าหน้าที่อยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ ทุกเดือนได้เบี้ยเดือนหนึ่งตำลึงกว่าๆ
เ้าหน้าที่ในศาลาว่าการในสมัยนี้ แม้แต่ขุนนางขั้นเก้าก็ยังไม่ใช่ด้วยซ้ำ ไม่นับว่าอยู่ในระบบราชการ เบี้ยเดือนของเ้าหน้าที่จะออกโดยที่ว่าการอำเภอเอง ซึ่งนายอำเภอสามารถเปลี่ยนเ้าหน้าที่ได้ทุกเมื่อ
พี่ชายคนที่สามของหม่าซื่อเคยเป็หัวหน้ามือปราบอยู่ที่อำเภอซั่ง ปีก่อนได้รับาเ็ขณะไล่ตามคนร้าย นายอำเภอจึงลดตำแหน่งเขาเป็มือปราบ และเพื่อถนอมน้ำใจเขา จึงตกลงรับหม่าเหลียงฮุยบุตรชายของเขาเข้ามาเป็เ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอ
หม่าซื่อมีความสนิทชิดเชื้อกับพี่ชายคนที่สามและพี่สะใภ้สามของนางยิ่งนัก จึงคิดว่าหากบุตรสาวของตนได้แต่งกับครอบครัวนี้ก็จะต้องไม่ถูกข่มเหงรังแก
ในสมัยนี้มีธรรมเนียมที่ไม่ได้ระบุเป็ลายลักษณ์อักษรว่า บุตรชายคนโตต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา จึงต้องได้ทรัพย์สินห้าในสิบส่วนของบิดามารดา ส่วนทรัพย์สินที่เหลือจึงค่อยแบ่งให้บุตรชายคนอื่นๆ
หม่าเหลียงฮุยเป็บุตรชายคนโต วันหน้าก็จะได้ทรัพย์สมบัติของพี่ชายคนที่สามกับภรรยาอย่างน้อยห้าในสิบส่วน
พี่สามของหม่าซื่อทำงานเป็หัวหน้ามือปราบมานานจนกลายเป็ผู้ที่มีเส้นสายกว้างขวางในอำเภอซั่ง มีทรัพย์สินมากมาย ลำพังแค่ที่นาดีก็มีถึงเจ็ดร้อยหมู่ มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่สามหลังในตัวอำเภอซั่ง ยังมีร้านค้าและมีเรือนอยู่ในชนบท ในเรือนมีบ่าวนับสิบไว้ใช้สอย
แต่สกุลหลี่เวลานี้มีเพียงเรือนใหญ่หนึ่งหลัง ซ้ำยังอยู่ในหมู่บ้านไม่มีราคาค่างวดใด ที่นาดีก็มีไม่ถึงสองร้อยหมู่ หลี่ฝูคังเป็บุตรชายคนรองของสกุลหลี่ หลี่ซานสามีภรรยามีบุตรชายหกคน วันหน้าอย่างมากหลี่ฝูคังก็จะได้ทรัพย์สินของสกุลหลี่เพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือ สกุลหลี่มีบุตรชายที่ต้องเรียนหนังสือหกคน ในปีหน้าบุตรชายสี่คนก็ต้องไปสอบเข้าสำนักศึกษา และต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายจนน่าใ
บ้านที่ยากจนข้นแค้นมักจะมีบุตรมาก และเพราะการเรียนหนังสือมีค่าใช้จ่ายที่สูงเหลือเกิน ทำให้พวกชาวนาไม่มีปัญญาอาศัยเงินทองจากการเพาะปลูกเพื่อส่งเสียบุตรชายให้เรียนหนังสือได้
โดยเฉพาะในทางตอนเหนือ ชาวบ้านในหมู่บ้านจะยิ่งยากจน หมู่บ้านแห่งหนึ่งหลายร้อยปีก็ยังไม่มีซิ่วไฉแม้สักคน
หม่าซื่อไม่อยากให้บุตรสาวคนโตแต่งงานไปลำบากที่บ้านสกุลหลี่ และไม่คิดว่าสกุลหลี่จะมีปัญญาส่งเสียหลี่ฝูคังจนสอบได้ซิ่วไฉด้วยซ้ำ
“เหลียงฮุย ไม่ได้” จางซิ่วไฉปฏิเสธเสียงแข็ง
หม่าซื่อมองแววตาของสามีออกว่า มีความเหยียดหยันกระทั่งมีความรังเกียจอยู่ในที ซึ่งเป็สิ่งที่ไม่เคยเป็มาก่อน จึงเกิดความคิดไม่ดีอยู่ในใจ แต่เื่นี้มีความสำคัญต่อชีวิตของบุตรสาวมาก จึงถามไปตรงๆ ว่า “เหตุใดเหลียงฮุย จึงไม่ได้”
“เ้าหนุ่มคนนี้มีชื่อเสียงในหอนางโลมอำเภอซั่ง” จางซิ่วไฉเห็นว่าหม่าซื่อมีสีหน้าตื่นใ จึงเอ่ยต่อว่า “บ่าวข้างกายของพี่สะใภ้สามของเ้าสองคนก็ถูกเขาจัดการไปแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ของข้าจะแต่งงานกับคนพรรค์นั้นได้เยี่ยงไร”
สีหน้าของหม่าซื่อเปลี่ยนไป พึมพำว่า “จะเป็… จะเป็ไปได้อย่างไร” แล้วสอบถามอย่างสงสัยอีกว่า “ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เ้าก็รู้ว่าข้าไม่ไปหอนางโลม แต่ท่านในตำบลผู้นั้นไปและเป็แขกประจำของหอนางโลมอำเภอซั่ง มีครั้งหนึ่งเกือบจะวิวาทกับหม่าเหลียงฮุย เพราะแย่งดาวเด่นของหอนางโลมกัน” ท่านผู้นั้นที่จางซิ่วไฉเอ่ยถึงก็คือ หลิวซิ่วไฉ คู่แข่งที่เปิดสำนักเล่าเรียนที่ตำบลจินจี
หลิวซิ่วไฉขึ้นชื่อว่าเป็คนเ้าสำราญ เขาและซิ่วไฉแห่งอำเภอส้างอี้สองคนมักไปที่หอคณิกาบ่อยครั้ง พอเมาแล้วก็จะเขียนบทกลอนเพื่อสร้างชื่อเสียง
แต่จางซิ่วไฉไม่สนใจจะไปที่นั่น จึงถูกพวกของหลิวซิ่วไฉเยาะเอาเสียอีก
หลายวันก่อนพวกของหลิวซิ่วไฉวิวาทกับหม่าเหลียงฮุยเื่แย่งนางโลมกัน หลิวซิ่วไฉพลาดกลิ้งตกบันไดจนใบหน้าเสียโฉม ด้วยกลัวจะถูกคนหัวเราะเยาะ จึงไม่กล้ากลับตำบลและไปรักษาตัวอยู่ที่อำเภอส้างอี้
จางซิ่วไฉมีสหายสนิทในชั้นเรียนเมื่อครั้งยังเด็กสองคนที่เป็คนของอำเภอส้างอี้ วันก่อนพวกเขาสามคนมาพบปะกัน เมื่อเหล่าสหายรู้ว่าหม่าเหลียงฮุยเป็ญาติฝ่ายดองของสกุลจาง จึงตั้งใจเล่าเื่นี้ให้จางซิ่วไฉฟัง
ส่วนเื่ที่หม่าเหลียงฮุยหลับนอนกับบ่าวข้างกายของมารดานั้นเป็บุตรชายสองคนของจางซิ่วไฉบังเอิญไปได้ยินเข้าที่บ้านสกุลหม่า
เื่งามหน้าเยี่ยงนี้ บุตรชายทั้งสองคนย่อมไม่กล้าบอกกับหม่าซื่อ แค่เอ่ยกับจางซิ่วไฉประโยคหนึ่งเท่านั้น
ก่อนนี้จางซิ่วไฉก็ไม่ถูกชะตากับจางเหลียงฮุยอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งไม่ชอบหน้าเข้าไปอีก
หม่าซื่อมีสีหน้าเป็กังวล ถามว่า “เหลียงฮุยาเ็หรือไม่”
“ถ้าเขาาเ็แล้วเ้าจะยังไม่รู้ได้หรือ ตัวของเขาใหญ่เพียงนั้น ทั้งยังไปเรียนยุทธ์มาสองปี ผู้ใดจะสู้ชนะเขาได้ แล้วเขาจะาเ็ได้อย่างไร” จางซิ่วไฉย้อนถามเป็ชุด โดยไม่ได้ปิดบังความรู้สึกไม่ดีในใจเลยแม้แต่น้อย
“วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมเหลียงฮุยที่เรือนพี่สามสักหน่อย”
“ถ้าเ้าไป ก็กลัวแต่พี่สะใภ้สามของเ้าจะเข้าใจผิดว่า เ้าจะไปหัวเราะเยาะเขาน่ะสิ” จางซิ่วไฉก็ไม่รู้สึกดีกับพี่สะใภ้สามของหม่าซื่อ ที่ชอบแบ่งชั้นวรรณะด้วยเช่นกัน เขาจ้องหน้าหม่าซื่อและถามขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้ากำลังหารือกับเ้าเื่จะยกอวิ๋นเอ๋อร์ให้แต่งงานกับฝูคัง ถ้าเ้าเห็นด้วย ข้าก็จะเอ่ยเื่แต่งงานกับสกุลหลี่เป็นัยๆ เป็อย่างไร”
“ต้องเป็บ้านสกุลหลี่ให้ได้หรือ” หม่าซื่อหลุบตาลง “พี่น้องสกุลหลี่มีตั้งมากมาย วันหน้าพี่สะใภ้น้องสะใภ้จะอยู่กันยากเย็นเพียงใด” พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ นางคิดว่าบ้านสกุลหลี่ไม่มีทางเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ไม่อยากให้บุตรสาวแต่งออกไปลำบาก
จางซิ่วไฉเห็นว่าเื่นี้พูดไปก็ไม่ได้ความ เขารู้สึกไม่สบายใจ จึงถอดเสื้อตัวนอกออกและเข้านอนเสีย
ผ่านไปสองวัน จางอวิ๋นกลับมาจากบ้านเพื่อนบ้าน ก่อนอาหารเย็นก็บอกกับบิดาด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ท่านพ่อเ้าคะ วันนี้มีคนมาชมศิษย์สี่คนของท่านกับข้าด้วยเ้าค่ะ”
จางซิ่วไฉถามยิ้มๆ ว่า “ผู้ใด ผู้ใดชม”
“อิ๋นฟางเ้าค่ะ นางชมศิษย์สี่คนของบ้านสกุลหลี่ และยังชมหมอเทวดาน้อยด้วยเ้าค่ะ” จางอวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า “ลูกเพิ่งรู้ว่า นอกจากหมอเทวดาน้อยจะช่วยชีวิตท่านปู่ของอิ๋นฟางเอาไว้ ยังช่วยชีวิตคนไว้อีกตั้งหลายคนด้วย”
คนขายเนื้อแซ่จางและจางซิ่วไฉเป็ญาติห่างๆ กัน ล้วนอยู่ในอำเภอเดียวกัน ยามปีใหม่และเทศกาลจึงได้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง บุตรของสองครอบครัวจึงค่อนข้างสนิทสนมกัน
“เหตุใดจางอิ๋นฟางจึงรู้เื่ของบ้านสกุลหลี่มากมายเช่นนี้?” จางซิ่วไฉเหลือบมองหม่าซื่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยคราวหนึ่ง
จางอวิ๋นยิ้มน้อยๆ ขณะเล่าเื่ที่คนขายเนื้อแซ่จางถูกตาเฒ่าจางตำหนิ จากนั้นจึงพาบุตรชายบุตรสาวหอบของกำนัลไปเยี่ยมหมอเทวดาน้อยให้ฟัง
เื่ที่คนขายเนื้อแซ่จางเอาเครื่องในหมูไปให้บ้านหลี่นั้นเพื่อนบ้านต่างรู้กันทั่ว พากันเยาะว่า ชีวิตของตาเฒ่าจางก็ไม่มีราคาค่างวดใดเหมือนกับเครื่องในหมูนั่นเอง
จางซิ่วไฉสามารถจินตนาการได้ว่า ความรู้สึกที่ตาเฒ่าจางถูกคนขายเนื้อแซ่จางทำเสียหน้าจนไม่รู้จะเสียอย่างไรนั้น น่าโมโหโกรธาเพียงใด
คนขายเนื้อแซ่จางไม่ฟังคำของตาเฒ่าจาง แต่เชื่อคำภรรยาที่ ตระหนี่ขี้เหนียวเกินไป ที่ตาเฒ่าจางด่าทอเขาก็สมควรแล้ว
จางอวิ๋นถามว่า “ท่านพ่อเ้าคะ มิเช่นนั้นก็เชิญหมอเทวดาน้อยมาตรวจดูอาการเจ็บป่วยของแม่ข้าสักหน่อยเป็อย่างไรเ้าคะ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้