ภารกิจส่งจดหมายที่เ้าเมืองเทียนเฉินมอบให้ในครั้งนี้ก็เหมือนกับภารกิจค้นหาร่องรอยของทหารประจำเมืองที่เขาเคยมอบให้เย่เทียนเซี่ยในตอนนั้น ดูๆไปแล้วเหมือนจะง่าย แต่จริงๆแล้วอันตรายมาก เพราะบนเส้นทางนั้นระยะเวลาในการเดินทางและความล่าช้าจากสภาพอากาศยังถือเป็เื่รอง แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ......... เส้นทางที่จะข้ามผ่านแผนที่นี้จะต้องเต็มไปด้วยอันตรายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีเส้นทางเกินกว่าครึ่งที่ต้องข้ามผ่านดินแดนของมอนสเตอร์เลเวล 40 ขึ้นไป และยังมีดินแดนของมอนสเตอร์เลเวล 50, 60……….80, 90 ด้วย ไม่ว่าจะเป็ที่ไหนก็สามารถฆ่าผู้เล่นคนใดก็ตามที่อยู่ใน่เวลานี้ได้ในพริบตาทั้งสิ้น
ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ภารกิจที่ใครก็ทำได้
เย่เทียนเซี่ยต้องไปซื้อม้าเหงื่อโลหิตที่สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุดสักตัว และยังต้องไปซื้อน้ำยาต่างๆมาเพิ่มด้วย........ เพราะเขามีเหยาเหยา ดังนั้นเขาจึงจำเป็ต้องซื้อน้ำยาฟื้นฟูพลังเวทย์ไปมากหน่อย จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านแล้วนั่งเคาะโต๊ะอยู่กลางห้องรับแขกเพื่อคิดคำนวณแผนการที่เขาจะทำในวันพรุ่งนี้เงียบๆ
เวลาสิบวัน........... เมื่อมาคิดๆดูแล้ว เวลาที่ให้มาจัดการในสิ่งที่จำเป็ต้องทำนี่มันช่างขัดแย้งกันจริงๆ
แบบนี้......... ซากหมื่นกระดูก
ความพ่ายแพ้ในครั้งก่อนทำให้เขาต้องรอถึงวันมะรืนถึงจะสามารถเข้าไปในซากหมื่นกระดูกอีกครั้งได้ เวลาแบบนี้มันยากนานเกินไปสำหรับเขา แม้ว่าในบรรดาภารกิจระบบทั้งสามนี้คนที่สามารถทำภารกิจสองในสามให้สำเร็จได้ก่อนเป็คนแรกของโลกล้วนเป็ชื่อของเขาทั้งสิ้น แต่..........นั่นไม่ได้แสดงว่าเขาจะสามารถนิ่งนอนใจได้ว่าภายใน่เวลานี้จะมีเขาเพียงคนเดียวที่เป็ผู้เล่นที่สามารถทำภารกิจเ่าั้ให้สำเร็จได้
ดังนั้นเขาจะต้องทำภารกิจซากหมื่นกระดูกให้สำเร็จให้ได้ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ทุกวันที่ล่าช้าความเป็ไปได้ที่จะถูกประเทศอื่นๆแย่งทำภารกิจพันธมิตรสำเร็จได้ก่อนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน
จากตอนที่เขาได้ยินการปลดล็อคภารกิจระบบทั้งสาม เขาก็ตัดสินใจไปแล้วในตอนนั้นว่าเขาจะเป็ผู้ที่ทำภารกิจทั้งสามให้สำเร็จเป็คนแรกให้ได้......... ไม่อย่างนั้นคงน่าเสียดายพร์และคุณสมบัติอันแข็งแกร่งของเขาที่ห่างชั้นกับเหล่าผู้เล่นธรรมดาแน่นอน
แล้วก็ยังมีอีกเื่นึงก็คือกลุ่มการค้าเดือนเจ็ดของหลิ้วชีเยว่.......... หลิ่วชีเยว่เคยพูดเอาไว้แล้วว่าเธอ้าจัดงานประมูลเพื่อเปิดสมาคมการค้าอย่างเป็ทางการ ส่วนเื่เวลานั้น............ เมื่อเลเวลโดยเฉลี่ยของผู้เล่นใกล้จะแตะเลเวล 15 จึงจะถือเป็เวลาที่เหมาะสมที่สุด
“เทียนเซี่ย ฉันไปกับนายได้หรือเปล่า?” ซูเฟยเฟยที่นั่งอยู่ข้างๆเขาพูดออกมาเสียงเบา
“ทางที่ดีอย่าไปดีกว่า มันอันตรายยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้............ แล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่การต่อสู้กับมอนสเตอร์ แต่เป็การหลบหนีเป็หลัก คนยิ่งน้อยยิ่งดี” เย่เทียนเซี่ยพูดออกไปตามจริง
“อื้ม!” ซูเฟยเฟยตอบรับจากนั้นเธอก็คิดอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมา “ใกล้จะเที่ยงแล้ว งั้นฉันออกไปทำกับข้าวก่อนแล้วกัน อย่าลืมมากินข้าวให้ตรงเวลาล่ะ........... น้องเฉินซิน อย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลาด้วยนะ”
“ค่ะ บ๊ายบายพี่เฟยเฟย” เฉินซินบอกลาซูเฟยเฟยอย่างมีมารยาท
หลังจากที่ซูเฟยเฟยจากไปเย่เทียนเซี่ยก็หันมาพูดกับเฉินซิน “เฉินซิน เธอก็ออฟไลน์ไปก่อนเลยก็ได้นะ........... น้องสาวของเธอน่าจะรอเธออยู่”
“ฉัน.......... อืม พี่เซี่ยเทียน แล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ” เฉินซินพูดออกมา จากนั้นเธอก็เสริมอีกประโยคขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ฉันจะไม่แอบอู้แน่นอนค่ะ”
ตอนนี้เวลาที่เฉินซินออนไลน์นั้นค่อนข้างมากกว่าเมื่อก่อน แต่เวลาเที่ยงเธอจำเป็ต้องออกไป เพราะเธอต้องดูแลน้องสาวที่กำลังป่วยของเธอ อีกทั้งบางครั้งเมื่อเธอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก เธอก็จะรีบจากไปอย่างรวดเร็ว เย่เทียนเซี่ยเดาได้ลางๆว่ามันคืออะไร แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะไปละลาบละล้วง สิ่งที่เขาสามารถช่วยเธอได้ก็น่าจะมีแค่สิ่งนี้เท่านั้น ส่วนเื่อื่นๆคงต้องขึ้นอยู่กับตัวของเธอเอง
ก๊อกๆ............
ก๊อกๆๆๆๆๆ.....................
เมื่อเฉินซินจากไปเสียงเคาะประตูด้านนอกก็ดังขึ้นมา และเสียงเคาะประตูนั้นก็ทำให้เย่เทียนเซี่ยแปลกใจเล็กน้อย
ไม่มีเสียงแจ้งเตือน........... ทำไมไม่มีเสียงแจ้งเตือน?
ใน World of Fate ถ้าเวลามีคนจะเข้ามาในบ้านของตัวเองทุกครั้งล้วนต้องมีเสียงแจ้งเตือนว่า “ XXXX ขอเข้าไปค่ะ” ดังขึ้นมาทันที แต่ครั้งนี้สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงเคาะประตูที่เหมือนกับในโลกแห่งความจริง ทว่าเขากลับไม่ได้ยินเสียงแจ้งเตือน
หรือว่าจะเป็ NPC? NPC จะมีอำนาจทำแบบนี้ได้เหรอ สิ่งที่เย่เทียนเซี่ยคิดออกมีแค่เ้าเมืองเทียนเฉินส่งคนมากระตุ้นเขาถึงหน้าบ้านเื่ที่มอบหมายให้เขาไปส่งจดหมายเท่านั้น เพราะเ้าเมืองเทียนเฉินรู้แน่ชัดว่าเขาอยู่ที่ไหน
เมื่อเดินออกไปจากห้องโถงจนมาถึงประตูใหญ่ด้านหน้า ทันทีที่มือของเขาัักับบานประตู ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก
ทันทีที่กวาดสายตามองผ่านไปตรงหน้าของเขามีเพียงผู้คนและสิ่งก่อนสร้างของเมืองเทียนเฉินเท่านั้น ไม่มีใครยืนอยู่หน้าประตูเลยแม้แต่คนเดียว........... แต่ทันใดนั้นเยเทียนเซี่ยก็ก้มหน้าลงต่ำ........... และตอนนั้นเองม่านตาของเขาก็หดตัวลงจนเล็กเกือบเท่ารูเข็ม
“เสี่ยวซี!” เขาทรุดตัวลงก่อนจะเอามือวางไว้บนไหล่ของเด็กหญิง เธอยังคงนิ่งเงียบไร้เสียงและมีดวงตาที่ปิดสนิทอยู่เหมือนเดิม............. เธอยังคงมีท่าทางเหมือนกับตอนที่เขาพบเธอเป็ครั้งแรก
เธอเหมือนภูติพรายที่เดินออกมาจากโลกแห่งจินตนาการ เมื่อวานความใที่มาพร้อมกับสายฝนของเขายังคงไม่หายไป วันนี้เธอก็ใช้วิธีที่ทำให้เขายากจะยอมรับและแทบไม่อยากเชื่อสายตามาปรากฏตัวตรงหน้าเขาอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เธอทำในครั้งนี้มันกำลังสั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของเขาอย่างรุนแรง
เขาเคยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสี่ยวซีแล้ว เพราะฉันนั้นบนร่างของเธอมีอะไรและไม่มีอะไร เขาล้วนรู้ดี........... บนร่างของเสี่ยวซีไม่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อเกมใดๆทั้งสิ้นแน่นอน
เธอ................มาที่นี่ได้ยังไง?
“พี่..........ชาย............”
ใบหน้าของเด็กหญิงเงยขึ้นมาแล้วเรียกเขาออกมาเสียงเบา แล้วเย่เทียนเซี่ยก็ได้ยินความอ่อนล้าและความเหน็ดเหนื่อยจากน้ำเสียงของเธอ ดวงตาของเขาจ้องมองลงไปที่ใบหน้าของเธอ จากนั้นเขาก็พบว่าใบหน้าของเธอนั้นซีดขาวราวกับคนเป็ไข้............. เหมือนกับกำลังไม่สบายอย่างหนักเลยทีเดียว
หัวใจของเย่เทียนเซี่ยกระตุกขึ้นมาทันที เขาไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้ แต่กลับรีบถามบางอย่างออกไปอย่างร้อนรน “เสี่ยวซี เธอเป็อะไรหรือเปล่า?”
“พี่...........ชาย............”
เธอเรียกเขาออกมาเสียงเบาอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างของเสี่ยวซีก็สั่นสะท้านจากนั้นเธอก็ทรุดลงบนไหล่ของเย่เทียนเซี่ย......... ตามมาด้วยร่างของเธอที่นิ่งสนิทไป แล้วร่างเนื้อของเธอก็กลายเป็ร่างโปร่งแสงก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับสายหมอก
เย่เทียนเซี่ยยังคงตกตะลึงอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ แม้ว่าเขาจะเคยเห็นห้วงเวลาแห่งโชตชะตาตามติดเข้ามาใน World of Fate และเห็นกั่วกัวปรากฏตัวขึ้นมาในโลกจริง แต่เขาก็ไม่เคยใและตื่นตะลึงเท่าตอนนี้มาก่อนเลย......... นี่เหมือนกับความรู้สึกที่ไม่ใช่ความจริงและภาพลวงตาที่สั่นคลอนและล้มล้างการรับรู้ของเขาไปจนหมด
ห้วงเวลาแห่งโชคชะตา...............
กั่วกัว...........
เสี่ยวซี..................
เซียนเอ๋อร์ สิ่งที่เธอนำมาให้ฉันทำไมถึงได้เหลือเชื่อขนาดนี้
ั้แ่ครั้งแรกที่เราพบกัน ทั้งๆที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่เธอกลับกอดฉันอย่างแแ่แล้วะโวันเกิดของฉันออกมาได้อย่างแม่นยำ เธอบอกฉันว่าพวกเราเกิดในวันเดือนปีและเวลาเดียวกัน.......... การพบกันของเราเหมือนกับเทพนิยายที่แสนเลือนราง เพียงแต่การอยู่ด้วยกันนานหลายปีทำให้ฉันค่อยๆลืมไปอย่างช้าๆ.......... และการจากไปของเธอกลับทำให้เื่ราวเทพนิยายที่ฉันลืมไปแล้วก้าวไปสู่ตำนานที่เป็ยิ่งกว่าภาพลวงตา.......
เซียนเอ๋อร์ จริงๆแล้วเธอเป็ใครกันแน่............ เธอพาพวกเขามาอยู่ข้างกายฉัน นั่นมันเป็เพราะอะไรกันแน่
แต่อย่างน้อยฉันก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็มนุษย์ธรรมดา เธอทำให้ฉันรู้ว่าบนโลกใบนี้คงจะมีนางฟ้ากับเทพธิดาอยู่จริงๆ........... ั้แ่ตอนที่ฉันยังเป็เด็ก ฉันมักจะบอกว่าเธอคือนางฟ้าจาก์ จริงๆแล้ว..........นั่นไม่ได้เป็แค่ประโยคชื่นชมที่ออกมาจากจิตใจส่วนลึกของฉันหรอกนะ.........
เธอจากฉันไปแบบนี้ คงเพราะมีปัญหาร้ายแรงมากมายสินะ......... ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจจริงๆ หัวใจของเธออ่อนโยนถึงขนาดนั้น เธอเอาใจฉันเหมือนกับฉันเป็เด็กทารกที่เพิ่งเกิด ไม่ว่าฉันจะถูกเข็มทิ่มจากความไม่ระวังหรือสำลักเวลากินน้ำ เธอก็จะรู้สึกเ็ปอยู่เป็เวลานาน........... เธอที่เป็แบบนั้นจะยอมให้ฉันเสียใจได้ยังไง เธอจะยอมจากฉันไปได้ยังไง........ เธอจะทำให้ฉันเสียใจได้ยังไง
ต่อให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หัวใจของฉันก็บอกฉันว่าการที่เธอจากไปนั่นก็เพื่อให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง เพื่อพวกเรา เธอถึงได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง.........เซียนเอ๋อร์ ฉันจะไม่เศร้าอีกแล้ว ฉันจะรอเธอกลับมาเงียบๆ ขอเพียงแค่เธอกลับมา ไม่ว่าเื่อะไรฉันก็ยอมทั้งนั้น ทุกอย่างที่เธอมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็กั่วกัว เสี่ยวซี หรือห้วงเวลาแห่งโชคชะตา ล้วนเป็สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของฉันทั้งนั้น...........
ไม่รู้ว่าเขาชะงักอยู่อย่างนั้นนานเท่าไร เย่เทียนซี่ยค่อยๆยืนขึ้นมาจากพื้นก่อนจะปิดประตูแล้วออฟไลน์ออกไป
เมื่อเย่เทียนเซี่ยลืมตาขึ้นมาเขาก็มองไปที่ข้างๆตัวเขาเป็อย่างแรก เสี่ยวซียังนอนขดตัวอยู่ข้างๆเขาอย่างเงียบๆโดยไม่กระกุดกระดิกเลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าเขาจะลุกขึ้นเธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเลย
เมื่อมองเสี่ยวซีที่อยู่ข้างกาย เย่เทียนเซี่ยก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงไปก่อนจะเรียกเธอออกมาเบาๆ “เสี่ยวซี เสี่ยวซี?”
ไม่มีการตอบรับใดๆทั้งสิ้น ลมหายใจของเสี่ยวซียังคงแ่เบาและราบเรียบ แต่ใบหน้าของเธอกลับซีดขาวราวกับกำลังป่วยเหมือนที่เย่เทียนเซี่ยเพิ่งเห็นตอนอยู่ในโลกแห่งเกมเมื่อกี้
“นี่ๆๆ นายท่าน ไม่ต้องเรียกเธอแล้วล่ะ ตอนนี้เธอ้านอนหลับ ต้องนอนหลับมากๆๆๆ” กั่วกัวปรากฏตัวออกมาแล้วพูดอยู่ข้างหูของเย่เทียนเซี่ย
“เมื่อกี้เสี่ยวซีทำอะไร? กั่วกัว เธอรู้ใช่ไหม?” เย่เทียนเซี่ยหันไปมองกั่วกัวแล้วถามออกมา กั่วกัวคือคนที่เซียนเอ๋อร์พามาอยู่ข้างกายเขา เสี่ยวซีเองก็เป็คนที่เซียนเอ๋อร์มอบให้เขา............ เมื่อคิดไปถึงปฏิกิริยาแปลกประหลาดของกั่วกัวเมื่อคืน.......... เด็กผู้หญิงสองคนนี้อาจจะรู้จักกันมาก่อนก็ได้?
“อั๊ยหยา! กั่วกัวเป็เด็กดีขนาดนี้ แล้วก็อยู่กับนายท่านตลอดไม่เคยห่างนายท่านไปเลย เพราะงั้นกั่วกัวไม่รู้หรอกเ้าค่ะ” กั่วกัวเบ้ปาพูดออกมา
“งั้นเธอรู้ได้ยังไงว่าเสี่ยวซีต้องนอนนานๆ?”
“เพราะเธอเหนื่อยมาก.........ต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูไม่ใช่เหรอเ้าคะ?”
“เหนื่อย? ใช้เวลานาน?”
“ไม่รู้สิเ้าคะ บางทีอาจจะเดือนนึง บางทีอาจจะปีนึง........” กั่วกัวครุ่นคิดแล้วพูดออกมาอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
หนึ่งเดือน...........หนึ่งปี?
ทำไมมันถึงได้นานขนาดนั้น.......... จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเสี่ยวซีกันแน่? แล้วเมื่อกี้ทำไมเธอถึงปรากฏตัวใน World of Fate ได้ แล้วยังวิธีที่เธอเพิ่งจะหายตัวไปนั่นอีก............
หรือว่าเธอจะเหมือนกับกั่วกัวที่สามารถไปมาสองโลกได้อย่างอิสระ?
“..........กั่วกัว เธอบอกความจริงฉันมาเถอะ ก่อนหน้านี้เธอเคยเจอเสี่ยวซีมาแล้วใช่ไหม?” เย่เทียนเซี่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ย๊า! ไม่ใช่เลยเ้าค่ะ! ก่อนหน้านี้กั่วกัวไม่เคยเจอเสี่ยวซีมาก่อนเลย.........เหอะ! นายท่าน ดวงตาของท่านแปลกมากเลยนะเ้าคะ ไม่เชื่อกัวกัวเหรอเ้าคะ.......... ย๊า! กั่วกัวเป็คนที่ซื้อสัตย์ที่สุดเลยนะเ้าคะ กั่วกัวไม่เคยพูดโกหกเลยสักครั้ง ถ้าก่อนหน้านี้กั่วกัวเคยเจอเสี่ยวซีมาก่อนขอให้กั่วกัวไม่ได้กินอมยิ้มอีกตลอดไปเลย!” กั่วกัวเม้มปากแน่นแล้วพูดสาบานออกมา จากนั้นเธอก็พูดต่อด้วยเสียงเบาๆ “เฮ้อ เป็คำสาบานที่น่ากลัวจริงๆ คนเขาไม่เคยเจอเสี่ยวซีมาก่อนจริงๆนี่นา”
เย่เทียนเซี่ยมองกั่วกัวด้วยดวงตาแปลกๆสักพักจากนั้นเขาก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของเสี่ยวซีอย่างระวังแล้วค่อยๆเดือนออกไปจากห้องอย่างเงียบๆก่อนจะปิดประตูลง
หลังจากวุ่นวายอยู่เป็เวลานานซูเฟยเฟยก็เตรียมอาหารเที่ยงเสร็จสักที อาหารสี่อย่างกับซุปหนึ่งอย่างที่พิถีพิถันมากๆทำให้กั่วกัวที่มองอยู่น้ำลายหยดติ๋งๆไม่ยอมหยุด อาหารของวันนี่มีชามและช้อนเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างละอัน.........เพื่อเตรียมไว้ให้เสี่ยวซี ทำไมถึงเป็ช้อนน่ะเหรอ........ก็เพราะเสี่ยวซีใช้ตะเกียบไม่เป็ยังไงล่ะ
“เทียนเซี่ย เสี่ยวซีล่ะ?” ซูเฟยเฟยถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วนั่งลงบนโต๊ะอาหาร สำหรับผู้หญิงส่วนมากการทำอาหารก็คือความทรมานอย่างหนึ่ง แต่สำหรับผู้หญิงส่วนน้อยเพียงไม่กี่คน การทำอาหารคือความเพลิดเพลิน และซูเฟยเฟยเองก็มีแนวโน้มที่จะเป็กลุ่มคนส่วนหลังนั่นด้วย แต่ความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์นี้ก็มีกุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าทำให้ใคร
“เธอหลับอยู่น่ะ พวกเรากินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวสักพักฉันจะไปป้อนเธอเอง” เย่เทียนเซี่ยพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น
“อืม งั้นพวกเรากินกันก่อนแล้วกัน เอ๋? ทำไมซุปหมันเหมือนจะลดลงไปหน่อยนึงเลยล่ะ........ เทียนเซี่ย นายแอบกินงั้นเหรอ”
เมื่อมองกั่วกัวที่ยืนอยู่บนเข่าของตัวเองแล้วกำลังเลียมุมปากอย่างพอใจเย่เทียนเซี่ยก็ได้แต่แสดงใบหน้าไร้เดียงสาออกไป เมื่อกินอาหารเที่ยงจนเสร็จซูเฟยเฟยก็เลื่อนชามที่แบ่งเอาไว้ให้เสี่ยวซีไปตรงหน้าเย่เทียนเซี่ย “เทียนเซี่ย นายเอานี่ไปป้อนเสี่ยวซีเถอะ ร่างกายเด็กกำลังโต ไม่ควรอดอาหารแค่เพราะว่าอยากนอน........ รีบไปเร็ว ฉันจะเก็บโต๊ะแล้ว”
เย่เทียนเซี่ยยกยิ้มแล้วถือชามเล็กๆนั่นขึ้นมาก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เขาเปิดประตูเข้าไปแต่เย่เทียนเซี่ยก็ต้องพบกับความตะลึงเมื่อเสี่ยวซีที่กั่วกัวบอกว่าต้องนอน “นานมากๆ” ในเวลานี้ไม่ได้นอนอยู่อีกต่อไป แต่เธอกลับลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง และเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาเธอก็หันหน้ามานิ่งๆก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “พี่ชาย..........หิวจัง........”
เย่เทียนเซี่ยชะงักไปสักพัก จากนั้นเขาก็รีบเดินไปข้างเตียงแล้วนั่งลงข้างๆตัวเธอก่อนจะพูดออกไปอย่างอ่อนโยน “มาสิ นี่เป็อาหารเที่ยงที่พี่เฟยเฟยทำนะ อร่อยมากเลย........ เสี่ยวซีอ้าปากสิ เดี๋ยวกินซุปก่อนสักหน่อยนะ”
เสี่ยวซีอ้าปากน้อยๆออกอย่างเชื่อฟังจากนั้นเย่เทียนเซี่ยจึงใช้ช้อนตักซุปเนื้อขึ้นมาแล้วป้อนเข้าปากเธอ เย่เทียนเซี่ยมองเธอกลืนมันลงไปเบาๆก่อนจะอ้าปากออกมาอีกครั้ง..........
ชามข้าวและกับข้าวชามเล็กๆถูกเสี่ยวซีจัดการจนหมด จากนั้นเธอก็ค่อยๆขยับตัวเข้ามาหาเย่เทียนเซี่ยแล้วหลับลงไปอีกครั้ง เธอดูจะเหนื่อยมากจริงๆ แต่ที่กั่วกัวพูดก็ไม่ได้เกินจริงไปเลยสักนิด เพราะต่อมาเสี่ยวซีก็ไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลยหากไม่ใช่เวลากินข้าว และเธอก็เป็เช่นนั้นอยู่นาน เธอจะมีความสุขอยู่กับการที่เย่เทียนเซี่ยคอยป้อนข้าวเธอทีละคำๆเหมือนดูแลเด็กทารก ส่วนเวลาอื่นๆส่วนใหญ่เธอก็จะเอาแต่นอน แม้ว่าเธอจะตื่นขึ้นมาในบางครั้ง แต่เธอก็มักจะรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เสมอ