อวี๋มู่สวมเสื้อผ้าให้เยี่ยจิ่วหลานเสร็จสรรพ เขาลุกขึ้นและกำลังจะกลับห้อง แต่เดินไปได้สองก้าวก็ถูกระบบเรียกไว้ก่อน
[โฮสต์ คุณไม่สังเกตเหรอว่าตอนนี้เขาลุกขึ้นไม่ได้?] ระบบเอ่ย [เขาคงอยู่ในรูปกายของงูที่ถูกอินทรีจิกกัดร่วมหนึ่งร้อยปี ตอนนี้าแทั่วร่างเขายังไม่หายสมบูรณ์ เป็่ที่อ่อนแอบอบบางและ้าการดูแลมากที่สุด คุณไม่อาศัยจังหวะนี้รีบเพิ่มคะแนนความประทับใจ แถมยังหนีไปไกลขนาดนั้นทำไมกัน!]
อวี๋มู่: อ่อ
[…] ระบบปาดน้ำตาเงียบๆ ในใจร้องบอกว่านี่ไม่ใช่โฮสต์คนนั้นที่คอยพูดคุยเล่นตลกกับตัวเองอีกแล้ว!
อวี๋มู่หันกลับไป ภาพที่มองเห็นคือเยี่ยจิ่วหลานที่มีสีหน้าเขินอาย กำลังใช้แขนยันขาให้ลุกขึ้น แต่ทำอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ
อวี๋มู่ไม่พูดไม่จาโน้มตัวลง แล้วอุ้มอีกคนขึ้นมา
เยี่ยจิ่วหลานตัวแข็งไปชั่วขณะ เขาตัวเกร็งให้อวี๋มู่ และไม่กล้าขยับเขยื้อน
“อา อาจารย์ ข้า...เดินเอง...”
อวี๋มู่ขัดคำพูดเขา แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เ้าคนเดียวไม่ไหว”
“…” เยี่ยจิ่วหลานเขินอายจนหน้าแดงมีเืฝาด แต่พอได้ยินคำนี้ถึงกับเปลี่ยนเป็ซีดขาวลงทันใด เขาเม้มปากแน่น และหดตัวอยู่ในชุดที่หลวมโคร่ง มือประสานกันเพื่อคำนับอย่างเงียบๆ
อาจารย์พูดถูก เขายังอ่อนแอเกินไป
ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิ์ทำเป็กล้าหาญ
อวี๋มู่ไม่ทันรู้ตัวว่าคำพูดของเขานั้นทำร้ายผู้อื่น ตอนนี้เขาพูดจาที่นับวันจะยิ่งกระชับและความหมายครอบคลุม จี้เข้าตรงจุด และเ็าสุดขีด แทบจะคล้ายกับร่างเดิม
*
สวนป่าไผ่นี้มีขอบเขตไม่เล็ก อวี๋มู่วางเยี่ยจิ่วหลานไว้บนเตียงในห้องที่อยู่ด้านข้างห้องของเขา ใช้วิชาส่งเสียงไปเรียกหลิงเฟิงให้เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับเยี่ยจิ่วหลานไว้ จากนั้นอวี๋มู่ก็นั่งลงบนโต๊ะไม้ในห้องนี้ แล้วหยิบขวดยาที่เหมาะสมกับการใช้รักษาอาการาเ็ของเยี่ยจิ่วหลานออกมาตั้งเรียงราย
อยู่มาจนถึงอายุปูนนี้ แทบจะเป็คลังสมบัติล้ำค่าเคลื่อนที่ก็ว่าได้
เขาหยิบของล้ำค่าในวงแหวนเก็บของออกมาอันแล้วอันเล่า หากปล่อยออกไปคงถูกเหล่านักฝึกตนบนแดน์แย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนี้เขาอยากจะแบ่งประเภทของยา ผลไม้ปราณ และอาวุธลับต่างๆ เพื่อจะเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับเยี่ยจิ่วหลานนั้นไม่ง่ายเลย
เขาเลือกอย่างเงียบๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ขณะที่อวี๋มู่หันไปมองที่เตียงอีกหน ก็พบว่าเด็กน้อยนั้นผล็อยหลับไปแล้ว
เยี่ยจิ่วหลานขดตัวเองเป็วงกลม บนร่างกายยังคงสวมเสื้อตัวใหญ่เกินตัวตัวเดิมที่อวี๋มู่ห่มให้ มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมา แล้วยังมีผมที่ยาวเกินไปบังไปครึ่งหนึ่ง ทำให้อวี๋มู่มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน
อวี๋มู่เดินเข้าไป แล้วเขี่ยผมของเขาออก เมื่อััถึงเนื้อตัวเย็นเฉียบ เขาก็ใเล็กน้อย
เขานึกได้ว่าเดิมทีงูนั้นเป็สัตว์ที่กลัวความหนาวเย็น และตัววายร้ายก่อนหน้านี้ก็กลัวความหนาวเช่นกัน ซึ่งจุดนี้มีความคล้ายกัน
ตอนนี้กำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศในเรือนนั้นหนาวเย็น เพียงแต่สำหรับปรมาจารย์ที่ฝึกฝนขั้นสูงแล้ว ความหนาวแค่นี้เขาแทบไม่รู้สึก
ตัวเขาไม่รู้สึก แต่เยี่ยจิ่วหลานกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน เพราะดูจากท่าทางการนอนที่เขาซุกไปหาทางที่อบอุ่น ซึ่งก็คืออวี๋มู่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงเขา
จวบจนใบหน้านั้นเข้าใกล้มือของอวี๋มู่ที่ยันเตียงไว้ เด็กน้อยถึงเผยสีหน้าที่พอใจออกมา แล้วกอดมือของเขาจนหลับสนิทไป
อวี๋มู่จ้องใบหน้าของเยี่ยจิ่วหลานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดึงผ้าห่มมาห่มให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ร่ายคาถาอากาศอุ่นในห้อง ก่อนจะค่อยๆ ผละมือที่ถูกจับไว้ออกมา แล้วลุกเดินจากไป
อวี๋มู่กำลังคาดคะเนในใจว่าเขาควรจะถามหาข้อมูลการเลี้ยงงูเหลือมจากระบบดีหรือไม่
*
หลิงเฟิงนั้นรออยู่ด้านนอกแล้ว
อวี่มู่มอบหมายเื่เยี่ยจิ่วหลานกับเขาอย่างเรียบง่าย เมื่อหลิงเฟิงได้ยินเื่ที่เขาตอบตกลงการปิดผนึกพลังห้าส่วนนั้น ก็ถึงกับใยกใหญ่ พลันเอ่ยคัดค้านทันที
อวี๋มู่ปรายตามองเขา เขาจึงน้อมรับ
แต่ก็ไม่วายเอ่ยถามด้วยความไม่ยินดี “อาจารย์ เยี่ยจิ่วหลานเป็เพียงปีศาจงูต่ำต้อย พวกเราไม่เคยข้องเกี่ยวกับเผ่าปีศาจอสูรมาก่อน แล้วไยท่านจึงทำเพื่อเขาถึงขั้นนี้? ”
“ถึงขั้นนี้? ” อวี๋มู่ที่มีท่าทางสูงส่งเ็าเอ่ยขึ้น “ก็แค่พลังห้าส่วน ปิดผนึกไปก็เท่านั้น”
“...” หลิงเฟิงส่ายศีรษะอย่างหน่ายใจ พลางเอ่ยในใจว่าอาจารย์ของตนนั้นจิตใจกว้างใหญ่เหลือเกิน
ตอนนี้แดน์นั้นสงบมาช้านาน คนทั่วไปต่างดูออกว่าองค์จักรพรรดิเริ่มหลงระเริงในอำนาจ หมายแดน์ให้อยู่ในกำมือของตน
ด้วยลักษณะอำนาจเช่นนี้ ทำให้สำนักกระบี่ใต้หล้าของพวกเขาจึงกลายเป็ภัยร้ายในสายตาของจักรพรรดิ
เหล่านักฝึกตนน้อยใหญ่ในสำนักกระบี่ใต้หล้าเคารพปรมาจารย์แห่งใต้หล้าแต่เพียงผู้เดียว สำหรับคำสั่งของจักรพรรดิก็ทำไปแบบขอไปที
จักรพรรดิเองก็รับรู้ถึงจุดนี้ หนึ่งพันปีมานี้เขาก็เริ่มปราบปรามสำนักกระบี่ใต้หล้า และแอบทำเื่ลับหลังไว้ไม่น้อย แต่เพราะเกรงกลัวอวี๋มู่จึงไม่เคยกล้าวางอำนาจจักรพรรดิต่อหน้า
มาวันนี้ที่อวี๋มู่ตอบรับปิดผนึกพลังห้าส่วนเอง จึงทำให้จักรพรรดิยิ่งได้ใจ ถึงขั้นเริ่มนึกเสียใจว่าห้าส่วนนั้นดูน้อยเกินไปหรือเปล่า
“ในเมื่ออาจารย์ยืนกรานเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นให้ศิษย์ไปที่ลานลงทัณฑ์พร้อมกับท่านด้วยเถิด”
หลิงเฟิงรู้ว่าพลังของอวี๋มู่นั้นยากแท้หยั่งถึง แต่ก็ยังกังวลใจว่าหากอวี๋มู่ไปคนเดียว จักรพรรดิกับจักรพรรดินีอาจจะอาศัยจังหวะลงมือกับอาจารย์ได้
“อืม” อวี๋มู่รับรู้ได้ว่าหลิงเฟิงนั้นเป็ห่วงเขาจากใจจริง จึงไม่ได้ปฏิเสธ
รอจนวันที่ออกเดินทาง อวี่มู่เปิดประตูออกมาตอนรุ่งสาง ก็เห็นเยี่ยจิ่วหลานมายืนอยู่หน้าประตูห้องเขา อีกฝ่ายคำนับเขาแล้วเอ่ย “อาจารย์ ข้าก็อยากไปกับท่านด้วย”
เพียงแค่ห้าวัน าแบนร่างกายของเยี่ยจิ่วหลานก็ดีขึ้นมากแล้ว เพราะการฟื้นฟูโดยนักโอสถจากเรือนสมุนไพร ตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในชุดลูกศิษย์สำนักสีขาวพระจันทร์ตัดกับสีเทาอ่อน และมีกระบี่ขั้นกลางแบบยาวที่อาจารย์มอบไว้ให้ประจำกาย ผมยาวรวบตึงเป็หางม้า ลู่ยาวลงไปจนถึงท่อนขา ยืนอกผาย ใบหน้าโดนเด่น อยู่ตรงสวนหย่อมช่างดูคล้ายกับภาพทิวทัศน์
อวี๋มู่มองเขา และกำลังจะบอกปฏิเสธ แต่ระบบกล่าวขึ้นเสียก่อน
[โฮสต์ครับ นี่เป็โอกาสดีมากนะ ที่จะทำให้เขารู้สึกว่าคุณทำเพื่อเขา แบบนี้คะแนนความประทับใจก็จะเพิ่มขึ้นง่ายๆ ไม่ใช่เหรอครับ?]
อวี๋มู่พยักหน้า คำพูดที่หลุดออกจากปากเปลี่ยนเป็ “ได้”
เมื่อทั้งสามคนไปถึงลานลงทัณฑ์ จักรพรรดิกับจักรพรรดินีก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว ใบหน้าของจักรพรรดินีเชิดสูงปิดบังสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นไม่มิด
อวี่มู่เอ่ยในใจว่าเทียบกับมารดาของเยี่ยจิ่วหลานแล้ว จักรพรรดินีกลับดูเหมือนอสรพิษมากกว่าเสียอีก
ลานลงทัณฑ์มีรูปร่างห้าเหลี่ยม ทุกมุมมีเสาหินสูงสิบเมตรตั้งอยู่ บนนั้นเต็มไปด้วยอักษรจารึก เหมือนกับตอนนั้นที่อวี๋มู่เคยเห็นในเจดีย์เจิ้นเยาที่ไว้ใช้กักขังเฟิงอวี้
มองไปให้ความรู้สึกน่าเกรงกลัว
หลิงเฟิงขมวดคิ้วแน่น ฝ่ายเยี่ยจิ่วหลานกัดฟันแน่น ส่วนมือข้างลำตัวก็กำแน่นเช่นกัน ใจของเขาจมอยู่กับการกล่าวโทษตัวเองและความรู้สึกผิดที่มีต่ออวี๋มู่
หลายวันมานี้ที่สำนักกระบี่ใต้หล้า เขากระจ่างแล้วถึงสถานะของปรมาจารย์แห่งใต้หล้าในแดน์ว่าเป็เช่นไร
อีกฝ่ายนั้นเก่งกาจและเป็เลิศบนแดน์ ห่างชั้นกับตัวเองราวฟ้ากับดิน
ตอนนี้ คนเฉกเช่นเขากลับยอมปิดผนึกพลังอันสูงส่งลงครึ่งหนึ่ง และยังอาจเป็การเปิดช่องให้จักรพรรดิและจักรพรรดินีฉวยโอกาสที่จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจอีกด้วย
ขณะนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถอย่างที่สุด
เขาเกลียดตัวเองที่เป็เช่นนี้
ดังนั้นเขาต้องแข็งแกร่ง แม้ว่าต้องทุ่มเทเท่าไรก็ยอม!
อวี๋มู่ไม่ได้รับรู้เลยว่าลำพังเพียงแค่ตัวเองปิดผนึกพลัง ก็แทบบีบให้เด็กน้อยเกือบเป็บ้า เขาเดินเข้าไปยังใจกลางแท่นหินอย่างสบายๆ แล้วขออนุญาตบัญชา์ในการปิดผนึกพลังห้าส่วน เมื่อลานลงทัณฑ์เชื่อมกับบัญชา์ ชั่วขณะท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี ความมืดครึ้มเข้าปกคลุม สายฟ้าสีฟ้าหมุนวนอยู่รอบโซ่ลงทัณฑ์ พลังที่แผ่ซ่านออกกว้างนั้นจู่โจมอย่างน่าหวาดกลัว หลิงเฟิงรีบปล่อยปราณคุ้มกัน คอยป้องกันตัวเองและเยี่ยจิ่วหลานที่อยู่ข้างๆ
ทั้งสองเบิกตาดูปรมาจารย์ชุดขาวที่ยืนอยู่ตรงกลางแท่นหินในท่าทีสบายๆ ด้วยหัวใจบีบคั้น แววตาสะท้อนถึงความกังวล
รอจนสายฟ้าเงียบสงบลง และเมฆครึ้มสลายตัว บนร่างกายของอวี๋มู่ยังคงไร้ซึ่งฝุ่นผง ราวกับว่าคนที่ถูกสายฟ้าฟาดเมื่อครู่ไม่ใช่ตัวเขา
จักรพรรดิกับจักรพรรดินีฉายแววฉงนสงสัย
หลังจากเห็นสัญลักษณ์สีฟ้าอ่อนขนาดครึ่งนิ้วตรงกลางหน้าผากของอวี๋มู่ ถึงค่อยโล่งอก
พอมีสัญลักษณ์นั่น ต่อไปหากไม่ใช่บัญชา์ที่ปลดผนึกให้กับอวี๋มู่ เวลาที่เหลืออีกยาวนานแรมปีของเขาก็คงมีพลังเพียงห้าส่วน
เมื่อคิดเช่นนี้ จักรพรรดิก็ชักกระบี่ยาวออกมา แล้วเอ่ยกับอวี๋มู่ “ปรมาจารย์จะกรุณาให้เกียรติกับข้า ประลองกันสักตั้งได้หรือไม่? ”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
