“ผมไม่เป็อะไร เธอออกไปเดินเล่นข้างนอกเป็เพื่อนผมหน่อยได้ไหม?”
“ตอนนี้เนี่ยนะ?” ฉินเหยาเหยามองสีของท้องฟ้าด้านนอก ตอนนี้เป็เวลาสองทุ่มแล้ว
“ใช่ ตอนนี้” หลินเยว่พยักหน้า
“ก็ได้” สีหน้าของหลินเยว่ทำให้ฉินเหยาเหยารู้สึกกังวลจริงๆ เธอกลัวว่าเขาจะเป็อะไรไป ดังนั้น เธอจึงตอบรับคำชวนของเขา
ขณะที่เดินก้าวข้ามประตู แสงจันทร์เย็นสดชื่นทำให้ความรู้สึกอึดอัดในใจของหลินเยว่ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“พวกเราไปไหนกันหรอ?” ฉินเหยาเหยาถามขึ้น
“เดินเล่นไปเรื่อยๆ ละกัน” ระหว่างที่พูด หลินเยว่ก็กุมของบางอย่างในกระเป๋าของตัวเอง
ฉินเหยาเหยามองหลินเยว่ราวกับ้าค้นหาความจริงบางอย่าง แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พวกเขาทั้งสองคนก็เดินเล่นอย่างช้าๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ แต่ไม่มีใครเริ่มพูดสักคำ ต่างคนต่างปล่อยให้แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนตัวพวกเขา
พวกเขาเดินเล่นเป็ระยะทางไกลพอสมควรจนฉินเหยาเหยารู้สึกทนไม่ไหว เธอจึงทำลายความเงียบขึ้นมา “หลินเยว่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกฉันหน่อยได้ไหม”
น้ำเสียงของฉินเหยาเหยาสั่นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอต้องใช้การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดถึงสามารถถามประโยคนี้ออกมาได้
หลินเยว่ถอนหายใจอย่างอึดอัดและเหนื่อยใจ เขาเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมดให้ฉินเหยาเหยาฟัง
เมื่อฉินเหยาเหยาได้ยินเื่ราวทั้งหมดจากหลินเยว่แล้ว น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว
“ผมคิดวนเวียนมาตลอดว่าหากวันนี้ิอีหรานไม่ได้มาที่หรงเล่อเซวียน แล้วจุดจบของเหตุการณ์นี้มันจะกลายเป็อย่างไร?” หลินเยว่พูดขึ้นพร้อมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
เมื่อฉินเหยาเหยาได้ยินประโยคนี้ เธอจึงยกมือขึ้นกุมมือของหลินเยว่ทันทีพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหตุการณ์สมมติมันไม่ได้มีเยอะแยะหรอกนะ ความทุกข์ความสุขที่เกิดขึ้นจากการพบกันหรือลาจากพวกนี้คุณทำอะไรไม่ได้มากหรอก แค่คุณสามารถช่วยคนคนหนึ่งไว้ได้ก็ถือว่าดีมากๆ แล้วล่ะ อย่าคิดมากอีกเลย”
หลินเยว่พยักหน้าและพูดตอบเธอ “ตอนนี้ผมไม่ได้เป็อะไรแล้วล่ะ เดินต่อกันเถอะ”
พวกเขาทั้งสองต่างจับมือเดินต่อไปทางด้านหน้า ไม่มีใครยอมจะปล่อยมือออกก่อน บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้สนใจในจุดนี้ หรือบางทีพวกเขาอาจจะรู้ดีแต่กลับไม่อยากปล่อยมือออกจากกัน
เพียงไม่นานนัก พวกเขาก็เดินผ่านตู้เอทีเอ็มแห่งหนึ่ง หลินเยว่ปล่อยมือฉินเหยาเหยาอย่างเสียดาย เขาเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าตู้เอทีเอ็ม สอดบัตรของตนเองเข้าไป และหยิบสลิปที่เขาโอนเงินเมื่อตอนกลางวันออกมา
ฉินเหยาเหยามองแผ่นหลังของหลินเยว่ ใบหน้างามของเธอเกิดอาการเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ที่มือของเธอยังคงมีร่องรอยความรู้สึกอันแสนอบอุ่นเมื่อสักครู่ทิ้งไว้อยู่
หลินเยว่กดหมายเลขบัญชีตามสลิปใบนั้น และกดจำนวนเงิน 340,000 หยวน หลังจากนั้นเขาก็กดยืนยันด้วยสีหน้าหนักแน่น
หลินเยว่เก็บเงินไว้เพียงเงินที่เขาควรจะมีในตอนแรก นั่นก็คือ 260,000 หยวนเท่านั้น เขาโอนเงินที่ได้จากการขายหยกก้อนนั้นทั้งหมดให้กับบิดาของิอีหราน เพราะเงินส่วนนี้ไม่ใช่เงินของเขา แต่เป็เพียงเงินที่์ยืมมือของเขาเพื่อส่งเงินก้อนนี้มอบให้กับครอบครัวที่แสนดีของิอีหรานเท่านั้นเอง
ฉินเหยาเหยาเห็นการกระทำทั้งหมดของหลินเยว่ สายตาของเธอจึงจับจ้องเขาด้วยความชื่นชมและแฝงไปด้วยความรัก
ผู้ชายแบบนี้สิถึงจะเป็ผู้ชายที่สุดยอดมาก!
หลังจากโอนเงินเสร็จแล้ว หลินเยว่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าเขาได้ทำในสิ่งที่สมควรทำเรียบร้อยแล้ว
“ไปกันเถอะ จะกลับบ้านหรือว่าจะเดินเล่นต่อ?” หลินเยว่ถามฉินเหยาเหยาที่ยืนรอเขาอยู่ข้างๆ
“เดินต่ออีกหน่อยละกัน” ฉินเหยาเหยาตอบ
หลินเยว่พยักหน้า เวลานี้ สายตาของเขาดูมีความตื่นเต้นกับอะไรบางอย่างอยู่ นี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาออกมาเดินเล่นด้วยกันในยามค่ำคืน
ขณะที่เดินเล่นต่อในครั้งนี้ พวกเขาก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม ไม่มีใครพูดสักคำ แต่ทว่ากลับกลายเป็ว่ายิ่งบรรยากาศเงียบมากเท่าไร กลับให้ความรู้สึกคลุมเครือเป็พิเศษมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้หลินเยว่ก็เดินเข้าใกล้ฉินเหยาเหยามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว ส่วนฉินเหยาเหยารู้ตัวว่าหลินเยว่พยายามเดินเข้าหาเธอ แต่ทว่าเธอก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มีเพียงใบหน้างามแดงขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นเอง เนื่องจากพวกเขาเดินเล่นท่ามกลางความมืดจึงทำให้ไม่มีใครได้ชื่นชมใบหน้างามที่กำลังเขินอายนี้เลย
หลินเยว่ตัดสินใจจะรุกเธอบ้างแล้ว ตัวเขาเป็ผู้ชายเต็มตัวเช่นนี้ ก็ย่อมทำตัวแมนๆ ขึ้นมาบ้าง เขาต้องแสดงออกให้มากสักหน่อย
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น ถือโอกาสตอนที่ฉินเหยาเหยายังไม่ทันตั้งตัว เขาจึงคว้ามือของอีกฝ่ายกุมไว้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาจึงรอดูปฏิกิริยาของฉินเหยาเหยา ดูว่าเธอจะทำอย่างไร เขาเตรียมพร้อมรับทุกคำตอบของเธอ เวลาแห่งการรอคอยย่อมยาวนานเสมอ ถึงแม้จะเป็่เวลาแค่ 1 วินาที แต่การรอคอยนี้ก็อาจจะให้ความรู้สึกยาวนานราวกับ 1 ศตวรรษ เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้น “ตึกๆ” ของตัวเองอย่างชัดเจน มันดูเหมือนว่าจะกระแทกทะลุออกมาจากหน้าอกเลยทีเดียว
เมื่อฉินเหยาเหยาถูกหลินเยว่จู่โจมเช่นนี้ เธอก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรอย่างกะทันหัน จิตใต้สำนึกของเธอคิดอยากจะดึงมือตัวเองกลับออกมา แต่ทว่าหลินเยว่กลับกุมไว้อย่างแน่นมาก เธอจึงทำเป็สะบัดอยู่สักครู่แล้วก็ยอมปล่อยลงไปตามเดิม
เมื่อฉินเหยาเหยามีสติกลับคืนมา เธอก็ก้มหน้าด้วยความเขินอาย ใบหน้าเธอรู้สึกร้อนจัดราวกับมีเปลวไฟแผดเผา
ตอนที่ฉินเหยาเหยาพยายามสะบัดมือออกนั้น หลินเยว่ก็รู้สึกเครียดมากเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงกุมมือของอีกฝ่ายไว้อย่างแ่า แต่เมื่อเธอหยุดการสะบัดมือออกแล้ว หลินเยว่ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในใจของเขาเต็มไปด้วยความดีใจและมีความสุข
ความสัมพันธ์แบบเพื่อนระหว่างพวกเขาที่เสมือนมีกระดาษบางๆ กั้นอยู่นั้นก็ถูกทำลายลงไปในเวลานี้ แต่ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากหนุ่มโสดสนิทที่อายุยี่สิบกว่าๆ อย่างหลินเยว่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อนเลย สำหรับเขาแล้วการจับมือกันถือว่าเป็การพัฒนาความสัมพันธ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ส่วนฉินเหยาเหยา ความจริงตอนสมัยเรียนเธอก็มีคนตามจีบมากทีเดียว แต่เธอกลับไม่เคยคบหากับใครมาก่อน เธอไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เช่นกัน
พวกเขาทั้งสองจับมือกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวานละมุน พวกเขาค่อยๆ เดินจับมือไปตามท้องถนนอย่างมีความสุข
เวลานี้ พวกเขาทั้งสองก็ยังไม่มีการพูดคุยกันเช่นเคย พวกเขาเดินจับมือเงียบๆ จนถึงบ้านที่พวกเขาเช่าด้วยกัน ต่างคนต่างมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน หลังจากนั้นจึงพูดราตรีสวัสดิ์แล้วก็กลับเข้าสู่ห้องส่วนตัวของตนเอง
“เย่!”
เมื่อเขามาอยู่ในห้องของตนเอง หลินเยว่ก็ร้องะโเสียงดัง เขาปลดปล่อยความตื่นเต้นและความสุขที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมา
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉินเหยาเหยาที่พัฒนาขึ้นในวันนี้ทำให้เขามีพลังมากกว่าปกติ ดังนั้น เขาจึงจุดธูป ปิดไฟ ผ่าธูป... เขาผ่าธูปเป็เวลา 6 ก้านธูปถึงได้รู้สึกเหนื่อยและนอนหลับลง
ฉินเหยาเหยาได้ยินเสียงร้องะโดังขึ้นมาจากทางห้องของหลินเยว่ ใบหน้างามของเธอจึงแดงขึ้นทันที เธอย่นจมูกและส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ หลังจากนั้นจึงกอดหมอนกลิ้งไปมาพร้อมหัวเราะขึ้นมาบ้าง และบางจังหวะยังกดหน้าลงไปบนหมอนเสียด้วย
เวลา 6 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด แต่ความรู้สึกพิเศษระหว่างกันกลับเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอน่เวลาที่พวกเขาทานข้าวด้วยกัน พวกเขามักจะสบตาส่งยิ้มให้กันอยู่ตลอด ถึงแม้ไม่มีการพูดจาแต่การกระทำเหล่านี้ก็ปรากฏอย่างสม่ำเสมอ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น
พรุ่งนี้ก็จะถึงวันที่หลินเยว่ได้นัดไว้กับท่านฉางไท่ เขารู้สึกมั่นใจกับการทดสอบในวันพรุ่งนี้เป็อย่างมาก
เมื่อ 5 วันก่อนเขาได้เปลี่ยนธูปขนาดใหญ่เป็ธูปขนาดเล็กแล้ว และเมื่อ 3 วันก่อนเขาก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้มีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บในการผ่าธูป และ 3 วันต่อมาซึ่งก็คือวันนี้ เขาก็เกือบจะสามารถมีจิตใจและการกระทำหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับมีดแกะสลักเล่มนี้ ถึงแม้ว่าจะขาดไปเพียงนิดเดียว แต่เขาก็ยังรู้สึกมั่นใจว่าวันพรุ่งนี้เขาจะสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้สำเร็จ
คืนนี้จะเป็คืนสุดท้ายในการเตรียมตัว
หลินเยว่จุดธูป 6 ดอกและวางธูปเหล่านี้แยกไว้ตามตำแหน่งต่างๆ ในห้องของเขา หลังจากนั้นเขาก็ปิดม่านลงอย่างมิดชิดและปิดไฟ เขามองจุดแดงๆ ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด สมาธิค่อยๆ รวมเป็หนึ่งเดียว กล้ามเนื้อบนใบหน้าค่อยๆ ผ่อนคลาย สายตาจากที่ดูนุ่มนวลก็ค่อยๆ กลายเป็เฉียบคมมากขึ้น ราวกับว่าเบื้องหน้าของเขามีแต่ความว่างเปล่า แต่ก็ดูเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขาเอง จิตของเขาค่อยๆ สงบนิ่ง ไม่ว่อกแว่ก
เสียงต่างๆ ภายในห้องก็ค่อยๆ เงียบสงบตามหลินเยว่ไปด้วย เหลือเพียงเสียงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ และยาวนานของเขาเท่านั้น
ขณะที่เขาเพิ่งสูดลมหายใจเข้า หลินเยว่พลันออกมีด ทันใดนั้น เกิดลมหนาวพัดขึ้นท่ามกลางความมืดแล้วพัดผ่านไปอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเป็จิติญญาที่ไร้เสียงไร้ร่องรอยท่ามกลางยามราตรี
ยกมีดขึ้น ผ่ามีดลงมา
ท่ามกลางความมืด จุดแดงๆ ตำแหน่งที่หนึ่งพลันหายไปทันที
การลงมีดครั้งที่ 1 เขาผ่าธูปโดนตรงกลาง!
ลดมีดลงมา ยกมีดขึ้นอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าการลงมีดครั้งแรกจะผ่าโดนตรงกลาง แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของหลินเยว่มีความว่อกแว่กแต่อย่างใด การลงมีดครั้งที่สองจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง