ท่ามกลางความมืด มีเงาดำๆ ราวกับิญญาเคลื่อนตัวผ่านแวบไป
มีดผ่าลงมาอีกครั้ง!
จุดแดงๆ ตำแหน่งที่ 2 พลันหายวับไปกับความมืด การหายวับครั้งนี้รวดเร็วประหนึ่งจุดสีแดงนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
การลงมีดครั้งที่ 2 ผ่าถูกตรงกลางอีกครั้ง!
หลินเยว่ยกมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บในมือขึ้นอีกครั้ง จังหวะการหายใจของเขายังคงช้าและยาวนานเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังธูปดอกที่ 3 อย่างแน่วแน่ เขาปรับตำแหน่งและระยะห่างระหว่างตัวเขาและธูปเล็กน้อย เมื่อเท้าจรดลงกับพื้น ทันใดนั้นเขาก็ลงมีดครั้งที่ 3 ทันที
จุดแดงๆ ตำแหน่งที่ 3 พลันกระจายออกมาอย่างกะทันหัน กลายเป็สะเก็ดดาวเล็กๆ หลายดวงแตกกระจายออกมา เป็ความสว่างพร่างพรายประหนึ่งดอกไม้ไฟ แต่ทว่าเมื่อความสว่างนี้ผ่านไปก็เหลือแต่เพียงการดับสูญตลอดกาล
จุดแดงๆ ตำแหน่งที่ 3 พลันหายไป!
การลงมีดครั้งที่ 3 ผ่าถูกตรงกลางอีกครั้ง!
……
การลงมีดครั้งที่ 4 ผ่าถูกอีกครั้ง!
……
การลงมีดครั้งที่ 5 ผ่าถูกอีกครั้ง!
หลังจากหลินเยว่ผ่าธูปครั้งที่ 5 จิตของเขายังคงสงบนิ่งและไม่รู้สึกยินดียินร้าย ดวงตาของเขาดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับสิ่งใดๆ แต่ก็ดูเหมือนกับกำลังจดจ่อกับจุดแดงๆ ตำแหน่งที่ 6 อย่างเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง
จุดแดงๆ ตำแหน่งที่ 6 ยังไม่ทันได้อวด่เวลาที่สว่างรุ่งโรจน์ที่สุด ก็ดับหายไปกับความมืดในยามค่ำคืน
ผ่าถูกทั้ง 6 มีด!
หลินเยว่ลงมีดทั้งหมดหกครั้งและโดนธูปทั้งหมดหกครั้ง ผลงานครั้งนี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ท่านฉางไท่กำหนดไว้แล้ว แต่เขายังมีโอกาสอีก 4 ครั้งในการลงมีด และในการลงมีดใน 4 ครั้งที่เหลือนี้ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าผลของมันจะเป็อย่างไรกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเขาจะผ่าถูกทั้งหมดหรือว่าจะผ่าไม่โดนทั้ง 4 ครั้ง แต่ตอนนี้ผลงานของหลินเยว่ก็ถือว่าบรรลุผลสำเร็จแล้ว
หลังจากผ่าธูปทั้ง 6 ดอกแล้ว หลินเยว่ยังไม่ได้หลุดออกมาจากภาวะจิตสงบนิ่ง เขายังคงมองสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน สายตายังคงเ็าไร้ความรู้สึก แต่กลับดูมีจิติญญาอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเปิดไฟและเก็บสิ่งของทุกอย่างให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงเก็บมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บเข้าที่ ถอดเสื้อผ้าออกแล้วล้มตัวลงนอนทันที
เขาต้องพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สนามรบในวันพรุ่งนี้!
เช้าตรู่วันถัดมา ท่านเฮ่อฉางเหอถูกปลุกจนตื่นด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ เมื่อมองหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเขาจึงรู้สึกงุนงง ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกขุ่นเคือง เมื่อเขารับสายจึงเอะอะโวยวายใส่อีกฝ่ายทันที
“กว่าผมจะได้มีเวลาพักผ่อนสักวันมันก็ไม่ง่ายเลยนะ แล้วคุณโทรศัพท์หาผมทำไมล่ะ? จะเล่นไพ่ เล่นหมากรุก หรือตกปลา ผมก็ไม่ไปทั้งนั้นแหละ เชิญคุณเล่นตามสบายเถอะ”
“ฮ่าๆ ใครมาหาเพื่อนเล่นกับคุณกันล่ะ คุณรู้ไหมว่าวันนี้เป็วันอะไร?” น้ำเสียงที่หนักแน่นสดใสดูมีชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ดังผ่านโทรศัพท์ออกมา ซึ่งก็เป็เสียงจากท่านฉางไท่ที่หลินเยว่เพิ่งมีโอกาสเจอเพียงครั้งเดียวนั่นเอง
ท่านเฮ่อฉางเหอหยุดคิดไปชั่วขณะและพูดขึ้น “วันนี้ไม่ได้เป็วันอะไรทั้งนั้นแหละ คุณไม่ต้องพูดหลอกผมเลย หากคุณไม่มีเหตุผลดีๆ มาอธิบายว่าทำไมถึงต้องโทรศัพท์มาก่อกวนผมแต่เช้า ผมจะบุกไปบ้านคุณแล้วถล่มหลังคาบ้านคุณให้กระเจิงเลยล่ะ”
“คุณไม่รู้ว่าวันนี้เป็วันอะไรจริงๆ หรอ?” น้ำเสียงของท่านฉางไท่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ไม่เห็นรู้อะไรเลย ไม่ใช่วันเกิดคุณ ไม่ใช่วันเกิดผม และก็ไม่ได้เป็วันสำคัญอะไรทั้งนั้นแหละ คุณบอกตรงๆ มาเลยดีกว่าว่าโทรหาผมมีธุระอะไร” ท่านเฮ่อฉางเหอเริ่มหมดความอดทนจริงๆ เพราะเขาอยากไปนอนต่อเสียแล้ว
เนื่องจากหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เขาต้องตื่นเพื่อไปสอนหลินเยว่แต่เช้าทุกวัน โชคดีที่วันนี้หลินเยว่ขอลาหยุดหนึ่งวัน เขาจึงมีโอกาสพักผ่อนนานขึ้นอีกหน่อย แต่คาดไม่ถึงว่าเพื่อนรักเก่าแก่กลับโทรมาขัดจังหวะการนอนฝันหวานของเขา ในความฝันเขากำลังกอดเหลนของเขาเลยนะ ยังกอดไม่จุใจก็ถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกจนตื่นจากความฝัน!
“ถ้าอย่างนั้นผมจะใบ้ให้นิดนึง หนึ่งเดือนก่อนคุณพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาที่บ้านผมบอกให้ผมสอนเขา เหตุการณ์นี้คุณคงยังไม่ลืมหรอกมั้ง”
“ไม่ลืมสิ แต่ว่าเหตุการณ์นี้มันเกี่ยวกับเื่ที่ว่าวันนี้เป็วันอะไรตรงไหนกันล่ะ? คุณอธิบายให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมจบเื่นี้กับคุณง่ายๆ แน่ๆ!”
“คุณคงไม่ได้จำไม่ได้จริงๆ หรอกนะ? หนึ่งเดือนแล้ว จนถึงวันนี้ก็เป็วันที่ครบหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว?”
“คุณคงไม่ได้กินยาผิด ไปกินยาออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทแทนยานอนหลับหรอกนะ? หนึ่งเดือนก็คือหนึ่งเดือนแล้วไงล่ะ คุณจะพูดย้ำทำไม ครบหนึ่งเดือนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ? ไม่สิ!” ท่านเฮ่อฉางเหอพลันรู้สึกตัว เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียงและพูดใส่โทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตาแก่อย่างคุณคงไม่ได้คิดเสียใจทีหลังหรอกนะ เสียใจที่ตอนนั้นไม่ได้รับเขาไว้เป็ลูกศิษย์ ผมขอบอกคุณเลยนะ บนโลกนี้ไม่มียาแก้เสียใจที่พลาดโอกาสไปหรอก ตอนนั้นเป็คุณที่ไม่รับเขาไว้เอง ตอนนี้เขาเป็ลูกศิษย์ของผมแล้ว หากคุณคิดจะแย่งลูกศิษย์จากผม ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย! ตอนนี้หลินเยว่ตัดใจเื่การเรียนการแกะสลักแล้ว คุณก็ตัดใจจากเขาได้เลย!”
“เขาเป็ลูกศิษย์ของคุณ?” ท่านฉางไท่รู้สึกประหลาดใจที่หลินเยว่เป็ลูกศิษย์ของอีกฝ่าย
“ทำไมล่ะ? ใหรอ? เด็กหนุ่มคนนั้นมีพร์ดีทีเดียว โชคดีที่คุณไม่้าเขา ผมก็เลยได้รับไว้เอง ผมเล่าให้คุณฟังหน่อยก็ได้นะ หนึ่งเดือนมานี้ เขาศึกษาการพิสูจน์เครื่องเคลือบจากผมทุกวัน ตอนนี้เขาก็เรียนรู้ไปจากผมประมาณ 60 – 70% แล้วล่ะ แล้วเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็คนดีอย่างที่ทุกคนต้องยอมรับด้วย มีอยู่วันหนึ่งมีสาวน้อยคนหนึ่งเดือดร้อนเื่เงิน ้าเงินนำไปรักษาคุณย่าของเธอ เขาเอาเงินเก็บทั้งหมดของตัวเองสองแสนหกหมื่นหยวนไม่ตกไม่หล่นแม้กระทั่งหยวนเดียวมอบให้กับสาวน้อยผู้นั้น การกระทำแบบนี้หากเป็คนธรรมดาทั่วๆ ไปคงทำไม่ได้หรอก เป็ยังไงล่ะ? อิจฉาล่ะสิ? ฮ่าๆ......”
ท่านเฮ่อฉางเหอหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ เพราะั้แ่เด็กพวกเขาทั้งสองต่างไม่เคยยอมแพ้กันมาตลอด วันๆ เอาแต่เทียบกันไปเทียบกันมา แต่ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกันสักเท่าไร ผลสุดท้ายก็ออกมาพอๆ กันเสมอ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายในเื่ลูกศิษย์ได้แล้ว แต่ก่อนมีเพียงหลานชายของเขาคนเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้มีคนที่มีความสามารถอย่างหลินเยว่เพิ่มขึ้นมาอีกคน อีกฝ่ายก็พ่ายแพ้หลุดลุ่ยจนไม่มีโอกาสมาเทียบกับเขาได้เลย จึงทำให้ท่านเฮ่อฉางเหอรู้สึกภาคภูมิใจเป็อย่างมาก
“อืม นิสัยอย่างนี้ก็หาได้ยากจริงๆ นั่นแหละ” ท่านฉางไท่ก็พูดรำพึงกับตัวเองผ่านสายโทรศัพท์
“คุณพูดอะไรนะ? แต่ความจริงคุณไม่ต้องอิจฉาผมหรอก เพราะเื่พวกนี้มันเป็โชคชะตาฟ้าลิขิต พอมีอายุเยอะแบบพวกเราแล้วคุณก็ต้องเชื่อในโชคชะตานะ แต่ว่าหลี่ชิงเมิ่งสาวน้อยคนนั้นน่ะก็ไม่เลวเลย คุณก็ฝึกเธอดีๆ ล่ะ ให้เธอได้เป็ผู้รับ่ต่อ ถึงแม้ว่าเธอจะสู้หลินเยว่ไม่ค่อยได้ แต่เธอก็ดีกว่าคนทั่วๆ ไปไม่น้อยแล้วนะ คุณต้องรู้จักพอใจบ้าง ไม่ต้องคิดแต่จะมาขโมยลูกศิษย์ของผมหรอก”
“หึ! คุณอย่าเหลิงนักเลย อย่าคิดว่าตัวเองมีหลานดีๆ แล้วจะแน่สักแค่ไหน หลานของผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลานของคุณเลย ก็แค่ว่าไม่ชอบการแกะสลักเท่านั้นแหละ ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้น คุณก็อย่าลำพองใจไปก่อน จะตกเป็ของใครก็ยังไม่แน่หรอกนะ วางใจได้ ถึงเวลาที่คุณจะร้องไห้ผมจะขายกระดาษทิชชูให้คุณสักห่อ แล้วจะลดราคาให้ 20% ด้วยนะ หึ! นี่เป็เพราะเห็นว่าพวกเราเป็เพื่อนกันมานานถึงได้ลดราคาให้เป็พิเศษ” เมื่อท่านฉางไท่มีสติกลับคืนมาจึงรีบโต้กลับทันควัน
“หมายความว่าอย่างไร?” ท่านเฮ่อฉางเหอได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็อึ้งไปชั่วขณะ
“ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างไรหรอก หากวันนี้มีเวลาก็มาที่บ้านผมสิ ถึงเวลานั้นผมจะให้คุณเห็นว่าลูกศิษย์แสนดีของคุณมีความสามารถขนาดไหน”
“คุณคงไม่ได้หลอกให้ผมไปที่นั่นเพื่อเล่นหมากรุกหรอกนะ?” เห็นได้ชัดว่าท่านเฮ่อฉางเหอถูกอีกฝ่ายเล่นตลกมาหลายต่อหลายครั้ง เขาจึงต้องระมัดระวังตัวบ้าง
“คุณอยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา ผมไม่ได้บังคับคุณเลย แต่ถ้าต่อไปรู้สึกเสียใจทีหลังก็อย่ามาโทษกันว่าผมไม่ได้เตือนคุณก่อน!” พูดจบท่านฉางไท่ก็วางสายทันที
ท่านเฮ่อฉางเหอได้ยินเสียงวางสาย “ตู๊ดๆ” แล้วจึงรีบวางสายบ้าง ในใจของเขารู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยปกติ เขาจึงฉุกใจขึ้นมา เพราะคำพูดของอีกฝ่ายแฝงความนัยบางอย่าง ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจรีบไปบ้านของอีกฝ่ายเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขารีบลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งลงไปชั้นล่าง
“คุณปู่คะ คุณปู่รีบร้อนขนาดนี้จะไปทำอะไรหรือคะ? ไม่ทานอาหารเช้าก่อนหรือ?” เฮ่อหลันเยว่ที่กำลังทานอาหารเช้าจึงถามท่านเฮ่อฉางเหอที่ลงมาจากชั้นบนอย่างรีบร้อน
“อ้อ ไม่ทานแล้วล่ะ ไม่ทันแล้ว ปู่จะไปทานข้าวที่บ้านคุณปู่ฉางของหนูน่ะ จะไปทานให้เขาจนเลยล่ะ!” ท่านเฮ่อฉางเหอพูดจาแฝงด้วยความโมโห
“ไปบ้านคุณปู่ฉางหรอคะ?” ดวงตาของเฮ่อหลันเยว่กลอกไปมาทันที เธอรีบวางขนมปังลง แล้วเช็ดริมฝีปาก ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาอ้อนคุณปู่ของเธอ “หนูไปด้วยนะคะ หนูไม่ได้เจอคุณปู่ฉางมาตั้งนานแล้วค่ะ”