บทที่ 107 สวี่จือจือผู้ปกป้องคนของตัวเองได้ออนไลน์แล้ว
กว่าพวกเขาจะมาถึงตลาด โจวเป่าเฉิงและอันฉินก็ยังตามไม่ทันพวกเขา ตลอดทางมานี้อารมณ์ของสวี่จือจือดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ใจของลู่จิ่งซานยังคงจดจ่ออยู่ที่ภาพตอนเธอสั่งสอนคู่สามีภรรยาโจวเป่าเฉิงอย่างไม่เกรงใจเมื่อกี้ หากบอกว่าไม่รู้สึกซาบซึ้งคงเป็เื่โกหก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึกต่อสวี่จือจือ
ก่อนจะเกิดเื่เขาตั้งใจจะคบหากับเธออย่างจริงจัง หวังจะจับมือกันใช้ชีวิตตลอดไป แต่ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้!
หากถามว่าเขารู้สึกเสียใจไหม?
ไม่ เขาไม่เสียใจ!
ในสถานการณ์เช่นนั้น เขายังคงพุ่งเข้าไปช่วยโดยไม่ลังเล
ถึงแม้จะใกล้ถึง่ปีใหม่ที่ทุกวันที่ลงท้ายด้วยหนึ่งและห้าจะมีตลาด แต่ในยุคที่ข้าวของขาดแคลนเช่นนี้ ผู้คนที่มาจับจ่ายในตลาดก็ยังคงหนาแน่น
ลู่ซือหยวนไม่มีรายได้จากสถานีขนส่งแล้ว แต่่นี้เธอเริ่มตามมาขายของในตลาด ซึ่งก็นับเป็ทางออกหนึ่ง
“คุณอยากซื้ออะไร?” สวี่จือจือถามเขา พอเห็นเขาไม่ตอบเธอก็หยิบกระดาษออกจากกระเป๋า เป็รายการที่เธอเขียนไว้เมื่อวานว่าวันนี้ต้องซื้ออะไรบ้าง แล้วพูดต่อ “ถ้าคุณรู้สึกเบื่อ เดี๋ยวฉันจะเข็นคุณไปฝากไว้กับพี่หยวนหยวน”
“ไม่ไป” ลู่จิ่งซานตอบสั้นๆ สองคำ
สวี่จือจือบ่นในใจ พลางกลอกตาเงียบๆ
นายน้อยจะไปไหนก็ไปตามใจเลยแล้วกัน
แต่เมื่อเธอเล็งของที่อยากซื้อ ลู่จิ่งซานกลับควักเงินจ่ายให้ก่อนอย่างรวดเร็ว
สวี่จือจือ “…” จ่ายเงินไวเกินไปแล้ว
“คุณเอาเงินมาจากไหน?” สวี่จือจือทำหน้าบึ้งตึง “ฉันยังไม่ได้ต่อราคาเลย คุณจะรีบจ่ายทำไม?”
นายน้อยของจริงเลย!
“ตอนออกจากบ้าน คุณย่าให้ผมมา” ลู่จิ่งซานตอบ
“เอาเงินมาให้ฉัน” สวี่จือจือยื่นมือ
ลู่จิ่งซานไม่ลังเล มอบเงินให้เธอทันที
ยี่สิบหยวนเชียว!
สวี่จือจือเหลือบมองลู่จิ่งซานด้วยสายตาดุๆ ลู่จิ่งซานถูกมองจนรู้สึกงงงวย จากนั้นเขาก็เห็นภรรยาตัวน้อยของตัวเองต่อราคากับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดอย่างดุเดือด
เด็กสาวพูดจายิ้มแย้มเสมอทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดู แต่ตอนต่อราคานั้นไม่ยอมอ่อนข้อเลย
มีหลายครั้งที่ลู่จิ่งซานคิดว่าพ่อค้าคงไม่ยอมขายให้ แต่สุดท้ายก็ขายให้เธออยู่ดี
ไม่เพียงเท่านั้นแม่ค้ายังพูดกับลู่จิ่งซานด้วยความอิจฉา “น้องสาวของนายนี่เก่งจริงๆ เลยนะ”
น้องสาว? ลู่จิ่งซานขมวดคิ้ว
ในใจรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร
“เขาไม่ใช่พี่ชายฉันค่ะ” สวี่จือจือเก็บของอย่างคล่องแคล่ว พร้อมรอยยิ้ม “เขาเป็คนรักของฉัน”
คนรัก?
คุณยายที่ขายของมองสวี่จือจือด้วยความเสียดายเล็กน้อย
หญิงสาวดีๆ แบบนี้ทำไมถึงไปแต่งงานกับคนพิการล่ะ?
สวี่จือจือไม่ได้อธิบาย มันไม่จำเป็
เมื่อเห็นร้านขายผ้าอยู่ข้างๆ เธอก็เข็นลู่จิ่งซานไปทันที “ไปซื้อผ้าให้คุณกัน”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเลือกผ้า ผู้ชายคนหนึ่งเข็นรถลากที่มีตู้ไม้ขนาดใหญ่และเก้าอี้สองสามตัวค่อยๆ เดินมาทางพวกเขา
อาจเพราะใกล้สิ้นปีมีคนแต่งงานเยอะ รถลากจึงเต็มไปด้วยของใช้
“พี่สะใภ้” สวี่จือจือย่อตัวถามผู้หญิงที่ร้าน “ผ้าขาวนี่ขายยังไงคะ?”
ผู้หญิงคนนั้นอุ้มเด็กที่หลับอยู่ เด็กหญิงที่อยู่ข้างๆ รีบหยิบผ้าขาวที่เธออยากดูมาให้อย่างว่านอนสอนง่าย
“ลูกสาวคุณน่ารักจังค่ะ” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผ้านี่ฉันทอเอง” หญิงคนนั้นพูดอย่างเขินๆ “สาม…สองเหมาต่อหนึ่งฉื่อ ถ้าเธอเอา ฉันจะให้เธอ…”
สองเหมา?
สวี่จือจือเลิกคิ้ว ผ้าทอได้เรียบร้อย ไม่มีด้ายหลุดรุ่ย
สองเหมาไม่ต้องใช้คูปอง แถมผ้ายังทอแน่น ราคานี้สมเหตุสมผลแล้ว
ลู่จิ่งซานคิดว่าเธอจะต่อราคา แต่กลับได้ยินสวี่จือจือพูดว่า “ฉันเอาหมดเลยค่ะ”
กำลังจะควักเงิน จู่ๆ ก็มีคนะโ “ระวัง!”
ทันใดนั้นสวี่จือจือเห็นตู้ไม้จากรถลากล้มลงมาทางพวกเขา
ตู้ไม้ยุคนี้เป็ไม้แท้ทั้งใบ ถ้าถูกทับไม่พิการก็เจ็บหนักแน่
สวี่จือจือก้มมองเด็กหญิงข้างๆ หลับตาลงแล้วโน้มตัวไปกอดเด็กไว้ในอ้อมแขน
“ไอ๊หยา…ชนคนแล้ว”
“รีบหลบสิ!”
มีคนกรีดร้อง สวี่จือจือกอดเด็กหญิงไว้แน่น
เธอหลบได้อยู่แล้ว แต่ด้านหลังคือผู้หญิงขายผ้าที่อุ้มลูกอยู่ ถ้าเธอหลบ ตู้จะทับสองแม่ลูกคู่นั้น
เธอจึงหันหลังไปกอดเด็กหญิงไว้แน่น เปิดหลังตัวเองรับแรงกระแทก แต่ความเจ็บที่คาดไว้กลับไม่มา
“์!”
“เก่งมาก!”
“นั่งรถเข็นด้วยนะ”
สวี่จือจือหันกลับไป ก็เห็นตู้หยุดอยู่ห่างจากศีรษะเธอราวยี่สิบเิเ แล้วสายตาก็ประสานกับแววตาลึกซึ้งของลู่จิ่งซาน
เขายกมือทั้งสองรับตู้หนักนั้นไว้ได้ ใบหน้าแดงก่ำ เส้นเืที่มือปูดโปน
ไม่รู้ใคระโ “ทุกคนมาช่วยกันเร็ว!” ผู้ชายหลายคนรีบวิ่งมาช่วยยกตู้ลงพื้น
“คุณเป็อะไรไหม?” สวี่จือจือใ รีบไปจับมือลู่จิ่งซาน “ให้ฉันดูหน่อย”
“ผมไม่เป็ไร” ลู่จิ่งซานดึงมือกลับ มองชายเข็นรถด้วยสายตาเ็า “ตู้แบบนี้ควรผูกเชือกให้ดี”
ชายเข็นรถสะดุ้ง แล้วซับเหงื่อที่หน้าผาก “ใช่แล้ว…ใช่แล้ว…” พูดเสียงสั่นๆ
เขาใไม่น้อย ถ้าตู้ทับคนขึ้นมา…เขาไม่กล้าคิด
“ตู้ใหญ่ขนาดนี้” สวี่จือจือไม่ยอมง่ายๆ ลุกขึ้นพูดด้วยความโมโห “คุณรู้ไหมว่ามันฆ่าคนได้!”
“ผมแค่…” คิดว่าแค่ระยะสั้นี้เีผูก แต่ก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม “เด็กข้างๆ มันวิ่งมาชนรถผม…”
“โทษเด็กคนนั้นงั้นสิ?” สวี่จือจือตะคอก “คุณลากของใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่คิดบ้างเลย? คนบนถนนเยอะแยะ
รู้ไหมคะว่าเขาเป็ใคร?” สวี่จือจือชี้ลู่จิ่งซาน “วันนี้โชคดีที่เขาไม่เป็อะไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คุณรับผิดชอบไหวไหม?
ไม่ไหว” สวี่จือจือยิ่งโมโห “คุณเป็คนที่ไหน?”
“จะทำอะไร?” ชายหนุ่มถาม
“ทำอะไรเหรอ?” สวี่จือจือพูด “ถ้าผู้ชายของฉันกลับไปแล้วมีอะไรไม่สบาย ฉันจะไม่ตามหาคุณเหรอ?”
“เขา…เขาไม่เป็ไรนี่” ชายหนุ่มพูดเบาๆ
“ไม่เป็ไรเหรอ?” สวี่จือจือโกรธ “งั้นคุณลองมาใช้สองมือรับตู้หนักๆ แบบนี้ให้ฉันดูสิ” เธอพูดพลางจะลากชายหนุ่มไปลอง
“ผม…ทำไม่ได้” ชายหนุ่มพูดอ้อมแอ้ม ตู้ใบนี้ตอนยกขึ้นรถยังต้องใช้สามสี่คน
“คุณก็รู้ว่าไม่ได้” สวี่จือจือตวาด “ทำไม่ได้แล้วยังกล้าลากตู้ใหญ่แบบนี้โดยไม่ผูกเชือก ยังเดินโชว์ไปมา ยังไม่สำนึกอีก
“คนแบบคุณน่ะ ควรส่งไปสถานีตำรวจให้ปรับปรุงตัวซะบ้าง”
ลู่จิ่งซานมองเธอนิ่งๆ
.............................