คนที่ผ่านความยากลำบากนั้นดวงแข็งนัก โดยเฉพาะเด็กไร้พ่อแม่ที่แข็งแรงเสียยิ่งกว่าวัชพืช
อาลู่ที่บนร่างกายยังมีรอยถูกแทง พักผ่อนอยู่เพียงสิบวันก็กลับมาหายดีดังเดิม
สิบวันที่ผ่านมานี้ สำหรับเขานับแต่จำความได้ นี่คือ่ที่สุขสบายที่สุดในชีวิต ลืมตามาก็มีอาหารมาป้อน วันทั้งวันก็ไม่ต้องทำอะไรแค่นอนอาบแดดก็พอแล้ว
เด็กหนุ่มรู้ว่าตนนั้นช่างโชคดีเหลือเกิน
เขาได้ยินเหล่าปาเล่าว่าโดยปกติคนที่ได้รับาเ็เช่นเขาก็มักจะถูกทิ้งไว้ในถ้ำเชลยให้ต่อสู้กับดวงชะตาตัวเองว่าจะแข็งพอจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ทว่ายามถูกส่งเข้าถ้ำเชลยแล้ว มีโอกาสรอดชีวิตหนึ่งถึงสองส่วนนั้นยังนับว่าเป็ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่แห่งนั้นหากจะเรียกว่านรกก็คงจะไม่ผิดนัก
แม้จะรู้ว่ากระดูกส่วนใหญ่บนูเากระดูกก็มาจากที่นี่ ทว่าูเากระดูกกองเล็กที่ทุกคนร่วมกันคารวะนั้นก็มาจากถ้ำเชลยด้วยเช่นกัน
ที่แห่งนั้นมีสระกระดูกเล็กๆ เมื่อโยนคนลงไป ไม่นานนักกระดูกขาวสะอาดก็จะค่อยๆ ลอยขึ้นมาเอง กระดูกนั้นก็ขาวราวกับมีคนมาขัดสี
อาลู่นั้นมีเหล่าปาคอยดูแล ยิ่งกว่านั้นแม่นางหลัวยังคอยมาหาที่นี่ทุกวัน จึงไม่มีใครกล้ามารังควานเขาชั่วคราว ทำให้เขารู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
บัดนี้ข้างกายยังมีนกเพิ่มมาอีกตัวหนึ่ง นกที่เหล่าปาเองก็ไม่มั่นใจว่าเป็นกศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ แม้ใบหน้าของมันนั้นจะดูคล้ายมนุษย์ดังลักษณะของนกศักดิ์สิทธิ์ แต่กระทั่งทารกน้อยอย่างเฉินโย่ว มันก็ยังตบตีไม่ใช่ชนะ ไม่ต่างอะไรกับไก่ป่วยตัวหนึ่งสักนิด
ทีแรกก็เริ่มจากโดนม้ากระทืบจนาเ็ ต่อมาก็โดนเฉินโย่วรังแก ยามนางเห็นมันแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาก็จะขยุ้มขนมันระบายโทสะ
ทั้งที่ปีกมันก็ดูจะหายดีแล้วแท้ๆ ทว่าก็ยังหน้าหนาดึงดันจะรั้งอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม
แม้มันจะตะกละอย่าบอกใครก็แล้วไปเถอะ มันยังชอบรังแกผู้น้อย หวาดกลัวผู้ใหญ่
ทางนั้นโดนเฉินโย่วกับเ้ามืดจัดการเสียอเนจอนาถ ทางนี้มันก็หมุนกายมารังแกเ้าก้างต่อ ม้าที่ร่างกายมีแต่าแอย่างเ้าก้าง จึงต้องมาคอยระวังภัยว่าเ้านกตัวใหญ่นี่มันจะซุ่มโจมตีมาเมื่อไร
สองวันก่อนหน้านั้นเป็เพราะอาลู่ขยับตัวไม่ได้จึงต้องยอมให้เ้านกเพี้ยนนี่อยู่ด้วย รอจนผ่านไปหลายวันที่ร่างกายเขาพอจะขยับได้ เ้านกก็ตามติดเขาทุกฝีก้าวราวกับเงาเสียแล้ว หรือต่อให้มันทำทีราวกับจะบินจากไป ทว่าไม่นานนักมันก็จะบินกลับมา
ยิ่งกว่านั้นเ้านกตัวนี้ เพื่อจะพิสูจน์ตัวว่ามันนั้นมีประโยชน์กว่าเ้าม้าสองตัวและเ้าเด็กสองขานั่นนัก บางครั้งมันจึงคาบกระต่ายป่าหรือหนููเากลับมาด้วย
เมื่อเป็เช่นนี้ อาหารใน่นี้จึงนับว่าไม่เลวนัก
อาลู่จึงไม่ได้ไล่เ้านกนี่ไป ซ้ำยังถึงขั้นตั้งชื่อให้มันว่า ‘อวี้’
อาลู่นั้นไม่ได้บอกใครว่าชื่อท่านแม่ของเขาก็มีคำว่าอวี้อยู่ ส่วนเื่วันที่ออกปล้น เขาก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเช่นกัน โดยเฉพาะเื่ที่เขาเจอท่านแม่ ยิ่งไม่อาจเล่าว่ามีดเล่มที่ปักอยู่ในท้องเขาก็เป็ท่านแม่ที่มอบให้
เ้านกชอบฟังเสียงจากวงกลมที่เด็กหนุ่มเป่ามาก
แทบจะทุกเย็น อาลู่จะต้องหยิบเ้าวงกลมขึ้นมาเป่า จากตอนแรกที่เริ่มเป่าก็เป่าได้เพียงเสียงลมเบาๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาสามารถเป่าเป็ทำนองดนตรีที่เหล่าคนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้าชอบขับร้องกัน ทำนองยามเป่าจากวงกลมเหล็กนี่ฟังดูแล้วก็เสนาะหูไม่เบา
เหล่าปาบัดนี้อยู่ข้างกระท่อมไม้ของอาลู่ กำลังสร้างกระท่อมไม้ขึ้นอีกหลัง
ท่อนไม้มากมายวางเรียงกัน
อาลู่ก็ไม่แน่ใจนักว่าเหล่าปาลากมาจากที่ใด
เหล่าปาแม้จะเป็ชายหลังค่อม ทว่าเรี่ยวแรงนั้นกลับไม่แพ้ใคร ท่าทางของเหล่าปายามสร้างกระท่อมนั้นก็ดูราวกับว่าคุ้นเคยกับงานไม้เป็อย่างดี ด้วยเพราะคนปกตินั้นไม่มีทางรู้ว่าจะต้องทำประกอบคานเช่นไรให้มันตรงเสมอกัน
กระท่อมน้อยของเหล่าปา ภายนอกนั้นดูเหมือนเขาจะใช้เพียงไม้ผุๆ พังๆ มาสร้างกระท่อม ทว่าอาลู่กลับเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าปาไม่นานนักก็ประกอบคานและเสาให้เป็กระท่อมตั้งขึ้นมาได้โดยลำพัง
เหล่าปานั้นเรียกได้ใช้ความฉลาดสร้างกระท่อมมากกว่าใช้แรง มองท่อนไม้ที่ต้องใช้ชายฉกรรจ์หลายคนช่วยกันยกจึงจะตั้งขึ้นได้ ทว่าไม่รู้ว่าเหล่าปานั้นทำเช่นไรจึงแค่ดันเบาๆ ท่อนไม้นั้นก็ตั้งขึ้นเสียแล้ว ซ้ำยังตั้งอย่างมั่นคงไม่มีทีท่าว่าจะเอนล้ม
อาลู่ลองผลักมันดูตั้งหลายทีก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ในใจก็นึกสงสัยว่าช่างไม้มากฝีมือเช่นเหล่าปานั้นเหตุใดจึงได้มาเลี้ยงม้าอยู่ในค่ายแห่งนี้
ทว่าอาลู่ก็ไม่ได้ถามออกไป
เพราะเขาเองก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าปานัก กลายเป็คนงานคนหนึ่งในค่ายแห่งนี้เช่นกัน
หากเป็เมื่อก่อน ต่อให้ตีเขาให้ตาย เขาก็ไม่มีทางคิดว่าตัวเองจะกลายมาเป็หนึ่งในกองโจรแห่งทุ่งหญ้า
เหล่าปาเพียงเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในกระท่อมหลังนี้ได้ไม่นาน กระท่อมก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นเสียแล้ว กระท่อมหลังนี้มีทั้งเหล่าปา อาลู่ เฉินโย่วน้อย เ้าม้าอีกสองตัว และเ้านกเพี้ยนอีกตัวหนึ่ง
ทุ่งหญ้าที่เคยเงียบงัน บัดนี้ทุกวันล้วนเต็มไปด้วยความครื้นเครง โดยเฉพาะเ้าเฉินโย่วน้อย ที่ทำอย่างไรก็ไม่อาจสงบเสงี่ยมได้
บัดนี้นางเริ่มหัดพูดแล้ว ทุกวันจึงพูดแต่อือๆ อาๆ ไม่หยุด บางครั้งก็ฟังได้ความ บางครั้งฟังอย่างไรก็ฟังไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดอะไร
ทว่านางกลับดูชอบใจนัก
อาลู่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองพักมาพอสมควรแล้ว ก็ตัดสินใจไปช่วยงานเหล่าปาต่อ
แท้จริงแล้วหากไปเข้าร่วมการปล้นแล้วงานประเภทใช้แรงงานก็ไม่จำเป็ต้องทำอีก วันปกติก็อยู่ในค่ายไม่ต้องทำงานอะไร เพียงแค่ดูแลร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกปล้นครั้งต่อไปก็พอ
ทว่าอาลู่ก็ยังตระหนักได้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
เพียงแค่เริ่มเดินไหว เขาก็ไม่ช่วยเหล่าปาดูแลม้าทันที
อาลู่ไม่ได้เปลี่ยนม้าตัวใหม่ ในค่ายมีกฎว่ายามออกปล้นสามารถขี่ม้าได้ตัวหนึ่ง และม้าตัวนี้จะเป็ของผู้ขี่จวบจนมันสิ้นชีพ เ้าของเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนม้าตัวใหม่ได้ เว้นเสียแต่จะสามารถปล้นม้าตัวใหม่มาได้
จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าใครก็สามารถม้าได้ อาลู่นั้นมีสิทธิ์ม้าเพียงเพราะเขาเข้าไปแทนตำแหน่งของเ้าก้างปลา จึงได้รับม้าต่อจากเขา
คนอื่นตามปกตินั้นต้องเข้าร่วมการปล้นแล้วดูผลงานก่อน หากทำผลงานได้ไม่ดีนักก็ทำได้เพียงแต่เดินเท้าไปช่วยขนย้ายของ หรือเป็กองหลังเท่านั้น
มีเพียงแต่ต้องทำผลงานได้โดดเด่นเท่านั้นจึงจะได้รับม้า
เรียกได้ว่าในกองโจรนั้นมีการแบ่งชนชั้นและสถานะ
กลุ่มที่ได้ขี่ม้านั้นนับว่ามีสถานะสูงสุด ยามออกปล้นก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมากที่สุด เป็กองหน้าที่ต้องโผเข้าไปโรมรันลงมีดลงดาบฆ่าฟัน ยามแบ่งข้าวของที่ปล้นมาได้จึงเป็กลุ่มที่ได้ส่วนแบ่งมากที่สุด
รองลงมาคือกลุ่มที่ขี่ลา ล่อ หรือวัว กลุ่มนี้รับหน้าที่คอยขนทรัพย์สินที่ปล้นมาได้ ความเสี่ยงก็ลดลงครึ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับส่วนแบ่งที่ได้น้อยกว่ากลุ่มแรก
สุดท้ายคือกลุ่มที่ไม่มีอะไรเลย อาศัยแค่สองเท้าในการเดินทาง กลุ่มนี้คนในค่ายแห่งนี้จะเรียกว่าพวกอัฐิ ด้วยยามออกปล้นก็จะส่งคนเหล่านี้ออกไปเบี่ยงเบนความสนใจ ถึงยามต้องต่อสู้ เหล่าคนในค่ายก็ไม่ได้สนใจความปลอดภัยของคนเหล่านี้ ถึงยามฆ่าคมหอกคมมีดล้วนไม่มีตาบางคราจึงเผลอฆ่าคนกลุ่มนี้อยู่เป็ประจำ
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากกลุ่มนี้ อาลู่นั้นนับว่าราวกับโชคหล่นทับ
เหล่าปาเมื่อเห็นอาลู่มีชีวิตกลับมา ก็เอาแต่ชี้แนะเด็กหนุ่มๆ สารพัด สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยชี้แนะอะไรนั้นเพราะในใจเขาเองก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะรอดกลับมาได้
บัดนี้จึงหวังเพียงให้เด็กหนุ่มนั้นได้มีชีวิตยืนยาวขึ้นเท่านั้น
“เ้าเป็คนที่นายท่านสามพาขึ้นเขามา หากร่างกายปกติแล้วก็ไปหาเขาเสีย”
อาลู่พลันคิดถึงภาพลักษณ์ของนายท่านสามยามอยู่ในค่าย เขาก็นับว่าเป็คนสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง ยามเหล่าปาพูดถึงนายท่านสาม ก็ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
ทว่าเมื่อคืนก่อนอาลู่กลับเห็นกับตาว่าคนที่โยนเ้าก้างปลาลงไปในสระกระดูกคือนายท่านสาม เพียงแต่เขานั้นหวาดกลัวอยู่ในใจจนไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง
นายท่านสามนั้นย่อมต้องเป็คนที่สุดยอดคนหนึ่งอย่างแน่นอน ฟังจากที่เหล่าปาเล่าว่าคนในค่ายแห่งนี้ล้วนแต่ไร้อาลัยไร้ความรู้สึก ยามพี่น้องจากไป สิ่งที่พวกเขาคิดเป็สิ่งแรกกลับไม่ใช่ความเสียใจ หากแต่เป็การคิดหาวิธีว่าจะเอาทรัพย์สินของพี่น้องที่จากไปมาเป็ของตนได้อย่างไร ส่วนพี่น้องที่ได้รับาเ็ก็ไม่ต้องเปลืองสมองคิดรักษา เพียงแค่จับโยนเข้าถ้ำเสียก็สิ้นเื่ ในสถานที่โหดร้ายเช่นนี้จึงไม่แปลกนักที่นายท่านสามจะได้รับคำชมว่าเป็คนดีคนหนึ่ง
ส่วนคนที่เป็คนดีโดยเนื้อแท้นั้น บัดนี้คงเหลือแต่เพียงกระดูกที่โดนเหยียบย่ำจนเป็ผุยผงเสียแล้ว
“อื้อ ประเดี๋ยวข้าจะไปหานายท่านสาม” ถึงอย่างไรอาลู่ก็ยังยินดีทำตามคำชี้แนะของเหล่าปา
ท่านอาปานั้นมีชีวิตอยู่มานานกว่าเขา
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มฟังเข้าใจแล้ว เหล่าปาก็เอ่ยปากต่อ “นายท่านสามชื่นชอบแม่นางหลัว ยามเ้าจะไปหาเขาก็อุ้มเ้าตัวเล็กไปด้วย”
อาลู่ได้ยินเหล่าปาพูดเื่นี้ขึ้นมาก็พลันหน้าถอดสี ถึงขั้นเพียงครู่เดียวเขาก็ปะติดปะต่อเื่ราวได้มากมาย
ทว่าครู่ต่อมาเขาก็โดนเหล่าปาตบศีรษะเข้าทีหนึ่ง
“เ้าอย่ามาทำเป็ตาบอด คนทั้งค่ายนี้มีใครบ้างไม่ชอบแม่นางหลัว เ้าสัตว์ป่าพวกนี้ยามเมามายก็เอาแต่ะโชื่อแม่นางหลัวทั้งนั้น”
“นายท่านใหญ่มิใช่โปรดปรานแม่นางหลัวมากหรือ ท่านอาปา”
อาลู่รู้ว่านายท่านสามนั้นน่ากลัวราวกับอสรพิษที่แอบซุ่มอยู่ ทว่านายท่านใหญ่นั้นน่ากลัวราวกับพยัคฆ์ในที่แจ้งที่ราวกับว่าจะกระโจนเข้ามาขย้ำเราจนตายเมื่อใดก็ได้ ทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความดุร้ายกำจายออกมาจนทำให้ผู้คนนึกหวาดกลัว จนเกิดความรู้สึกว่า ไม่ว่าขวัญกล้าเทียมฟ้าเท่าใดก็ไม่อาจไปมีเื่กับเขาได้
“นายท่านใหญ่...นายท่านสาม เ้าจะถามมากไปไย ข้าเคยได้ยินว่าเขาตกรางวัลด้วยอนุของตนให้เหล่าพี่น้องในค่ายพวกนั้นผลัดกันหรรษากับแม่นางน้อยนั่นถึงสามวันสามคืนเต็มๆ เชียว”
เหล่าปาพูดจบก็เหมือนจะทอดถอนใจออกมา แต่ก็เหมือนว่าจะไม่
ส่วนอาลู่นั้นก็ใเสียจนนิ่งงัน
แม่นางหลัวนั้นพาดผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหม่มาอีกแล้ว คราวนี้นั้นเป็ขนจิ้งจอกหิมะที่ขนขาวดุจหิมะจริงๆ ผนวกกับลำคอขาวระหง แต่แผ่นหลังที่ตั้งตรงดุจพู่กันกำลังยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมใบหน้าอมยิ้ม
เสียงใสๆ ของทารกน้อยก็พลันดังขึ้น “เลี่ยงเลี่ยง ฉวย”
ใบหน้างามได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง ทำให้นางนั้นดูงดงามหยาดเยิ้มเสียยิ่งกว่าเดิม