อาลู่ไม่อยากแบกน้องสาวไปเจอนายท่านสาม
เมื่อเทียบกันแล้วเขายังเลือกที่จะเชื่อใจเ้ามืด เ้าก้างและเสี่ยวอวี้มากกว่า
เ้ามืดนั้นชื่นชอบน้องสาวเขามาโดยตลอด เ้าก้างยามไปเตร็ดเตร่กับเ้ามืดก็เชื่อฟังเ้ามืดมาก ส่วนเสี่ยวอวี้ เ้านกที่เพิ่งมาใหม่ แม้มันจะโดนน้องสาวรังแกอย่างไม่เป็ธรรมเสมอมา ทว่ายามมีสัตว์ตัวอื่นเข้ามาใกล้ มันก็ออกแรงคอยกางปีกไล่ตะเพิดพวกสัตว์เ่าั้ให้ล่าถอยไปตลอด
แท้จริงแล้วในความคิดของเ้านกนั้นเห็นว่าเ้าพวกสองขานี่คือเพื่อนเล่นของมัน มีเพียงมันเท่านั้นที่รังแกได้ ส่วนสัตว์ตัวอื่นอย่าได้คิดฝัน
แม้ว่าเพียงผ่านไปแค่สองวันเ้านกก็ถูกเ้าทารกสองขาดึงขนเข้าอีกเส้นหนึ่งเสียแล้ว ทว่ามันก็ยังคงมีความคิดว่าเหล่าผู้าุโในเผ่าก็ดูแลเ้าพวกสองขาหัวล้านเช่นนี้ แต่ช่างน่าเสียดายที่เ้าทารกสองขานี่ไม่ค่อยจะฟังคำสั่งมันนัก แต่ถึงกระนั้นชาวนกอินทรีอย่างพวกมันนั้นอายุยืนยาวนัก ฉะนั้นมันย่อมมีเวลามากพอจะอมรมเ้าทารกสองขานี่หรอก
ส่วนเ้าเด็กหนุ่มสองขา มันกลับรู้สึกชอบพอนัก ซ้ำบนร่างกายเ้าเด็กหนุ่มนี่ยังมีบางสิ่งที่ทำให้มันรู้สึกสนิทสนมเหลือเกิน
เผ่าพันธุ์อินทรีนั้นแม้จะมีอายุยืนยาว แต่จำนวนในเผ่ากลับน้อยนัก ไม่ใช่เพียงว่าเ้าลูกนกในเผ่ามันนั้นมาเกิดได้ยากยิ่ง ทว่าเป็เพราะพวกมันมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงจนถึงชีวิต นั่นคือเมื่อยามราตรีมาเยือน เหล่านกอินทรีอย่างพวกมันนั้นมักจะคลุ้มคลั่งได้ง่าย
ราวกับมีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากฟ้าดินกำลังเรียกหาพวกมันจนทำให้ปวดหัวแทบจะะเิ ซ้ำยังรู้สึกฉุนเฉียวเสียอยากจะเอาหัวโขกฟ้าโขกดินเสียให้ได้
เหล่าาุโในเผ่าส่วนใหญ่ก็จากโลกไปด้วยวิธีนี้ ‘โขกศีรษะตาย’ โดยพวกมันจะหาหน้าผาสักที่ จากนั้นจึงกระหน่ำพุ่งศีรษะเข้าชน
ส่วนพวกอินทรีเด็กนั้นก็ไม่รู้ด้วยเหตุใด ราวกับยิ่งโตขึ้นอาการนี้ก็จะยิ่งหนักขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นพวกมันจึงชอบอาศัยอยู่กันบนูเาหิมะ ที่แห่งนั้นสงบกว่าที่อื่น นอกจากนั้นยังมีเ้าพวกหัวล้านให้ไปเล่นสนุกด้วย ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้พวกมันมาอยู่บนูเาหิมะคือ เสียงสวดมนต์ของพวกหัวล้าน สำหรับพวกมันแล้วยามพวกมันได้ยินเสียงสวดมนต์นั้นราวกับพวกมันได้รับการปลอบประโลม แม้จะไม่อาจบรรเทาได้ทั้งหมด แต่ก็ยังดีเสียกว่าทนกับอาการปวดหัว
ทว่าเ้าเด็กหนุ่มสองขาอาลู่นี้สามารถบรรเทาอาการทั้งหมดของมันได้ มันจึงตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับเ้าเด็กหนุ่มนี่ชั่วคราว
ถึงอย่างไรเสียมันก็ยังอยู่ใน่ออกบินหาประสบการณ์ เหล่าผู้าุโก็ไม่ได้บอกว่ามันต้องกลับไปเมื่อใด
ปกติแล้วเหล่าอินทรีที่ออกมาด้านนอกนานแล้ว ก็มักจะบินกลับไปยังูเาหิมะอยู่ดี เพราะด้านนอกนั้นอึกทึกเกินกว่าพวกมันจะรับไหว
แต่ไหนแต่ไรมาสถานการณ์ของพวกมันก็มักจะเป็เช่นนี้
ในที่สุดก็เจอคนที่จะบรรเทาความเ็ปของพวกมันได้ทั้งหมดเสียที ถึงขนาดที่มันได้ยินเสียงนั้นครั้งแรกก็พลันหลับไปทันที
เ้าเด็กหนุ่มสองขานี่ยังแอบตั้งชื่อให้มันอีก อยู่ดีๆ ก็เรียกมันว่าเสี่ยวอวี้ มันรู้สึกไม่ชอบชื่อนี้เอาเสียเลย ฟังแล้วไม่น่าเกรงขามเลยสักนิด เพียงแต่ยามเ้าเด็กนี่เรียกชื่อมัน ท่าทีก็จะเปลี่ยนเป็อ่อนโยนเป็พิเศษ มันจึงตัดสินใจว่าจะไม่ถือสาเ้าเด็กนี่ก็แล้วกัน
เสี่ยวอวี้ตกลงกับตัวเองว่าระยะนี้จะตามติดเ้าเด็กหนุ่ม แล้วคอยสั่งสอนเ้าทารกไปด้วย
ดังนั้นตอนที่อาลู่เอ่ยปากว่า “พวกเ้าช่วยกันดูแลอาโย่วให้ดี ข้าออกไปข้างนอกเพียงครู่เดียว เดี๋ยวก็กลับมา”
เสี่ยวอวี้ได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนตัวลอย สยายปีกขึ้นตบอกตัวเองทันที
ทางเ้ามืดก็ร้องตอบขึ้นทีหนึ่ง
ส่วนเ้าก้างดูดีใจไม่เบาที่เด็กหนุ่มจะพามันไปด้วย
เหล่าปานั้นตอบอย่างรำคาญ “รีบไปเสีย มีข้าอยู่ทั้งคน ไม่มีทางปล่อยให้เ้าตัวเล็กเป็อะไรหรอก”
อาลู่จึงขึ้นหลังเ้าก้างหายลับเข้าไปทางปากถ้ำ
ทั้งคนและม้ายามนี้นับว่าได้ร่วมผ่านความเป็ความตายมาด้วยกัน ผนวกกับได้อยู่ร่วมกันมาหลายวันจึงเข้าใจกันยิ่งขึ้น จนรู้สัญญาณลับของกันและกัน
อาลู่ยามออกจากถ้ำ ก็พบกับแม่นางหลัวพอดี
เมื่ออาลู่แหงนหน้ามองก็เห็นนายท่านสาม แม้จะไม่สะดุดตานัก แต่อาลู่ก็ยังมองเห็นเพราะสายตาเขานั้นดีกว่าใคร
นายท่านสามนั้นอยู่ในเรือนราวกับตั้งใจรออยู่
เขามองเห็นสีหน้าของนายท่านสามได้ชัดเจน ช่างอ่อนโยนนัก
หลัวอู๋เลี่ยงเห็นเด็กหนุ่มบนหลังม้า บัดนี้ท่วงท่าของเขาดูสง่างามไม่เบา
เ้าเด็กหน้าซีดร่างผอมกะหร่อง รักษาตัวแค่ระยะเดียว ก็ดูคมสันขึ้นไม่เบา
“มีชีวิตอยู่ย่อมดีกว่าจริงๆ”
แม่นางหลัวกล่าวเบาๆ ใบหน้าไม่ปรากฏแม้แต่รอยยิ้ม
ยามอยู่ด้านนอกนั้นนางแทบไม่เคยยิ้ม
อาลู่พยักหน้าตอบเบาๆ ไม่ได้หันมองแม่นางหลัวแม้แต่น้อย เร่งออกเดินทางต่อ เพื่อไปหานายท่านสาม
เพราะนายท่านสามนั้นคิ้วราวกับโดนคมมีดปาดหายไปกว่าครึ่ง จึงเป็เหตุให้ทุกคนเรียกเขาว่า นายท่านสามคิ้วบาก บัดนี้ผมเผ้าที่เขามัดไว้หลวมๆ ได้คลายออกจนบางส่วนลงมาปรกหน้า โดยเฉพาะปอยหนึ่งที่ร่วงลงมาบดบังคิ้วที่บากหายไปของเขา ทำให้ดูแล้วมีกลิ่นอายบุรุษเ้าสำราญไม่เบา
“าแหายดีรึยัง”
อาลู่พยักหน้าขืนๆ ตอบ แม้นายท่านสามนั้นจะมองดูแล้วอ่อนโยนเพียงใด ยามอยู่ต่อหน้าเขาก็ยังรู้สึกมวนท้องอยู่ดี
“เ้าอายุยังน้อย ร่างกายก็ไม่เลว” นายท่านสามพูดแล้วก็ตบไหล่เด็กหนุ่มสองสามที
อาลู่รู้สึกว่ามือเขาช่างเย็นเยียบ
ยามเขาเข้ามาในห้องนายท่านสาม เขาไม่ได้นั่งอยู่หน้าโต๊ะราวกับเขียนอะไรบางอย่างอยู่ ทว่าเขานั้นรู้ว่านายท่านสามก่อนหน้านี้จะต้องเขียนอักษรอยู่เป็แน่ เพราะชายแขนเสื้อเขานั้นยังคงมีคราบหมึกปรากฏอยู่ ซ้ำยังเป็รอยใหม่ที่เพิ่งเปื้อน
ทว่าบัดนี้นายท่านสามกลับกำลังป้อนอาหารม้าอยู่
ในเรือนแห่งนี้มีม้าอยู่หกตัว ล่ออีกสี่ตัว และอาวุธพวกดาบและมีดอีกกองใหญ่
อาลู่รู้สึกใเล็กน้อย แม้เหล่าปาจะเคยเล่าให้เขาฟังว่านายท่านสามในตอนแรกนั้นยังไม่ใช่นายท่านสาม เป็เพียงบัณฑิตที่โดนเหล่าโจรจับมาบนูเาแห่งนี้เท่านั้นเพียงแต่บัณฑิตคนอื่นนั้นกลับใกลัวจนตายกันหมด เหลือเพียงเขาที่นับว่าผิดแผกจากคนอื่น เขาไม่เพียงมีชีวิตรอด ทั้งยังใช้ชีวิตอย่างออกรสออกชาติ เหล่าโจรในค่ายนั้นถนัดแต่เื่การจี้ปล้น ไม่มีผู้ใดจะถนัดเื่การเงินจนถึงขั้นเรียกได้ว่าย่ำแย่ ด้วยเหตุนี้นายท่านสามจึงได้ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาได้
อาลู่นั้นไม่อาจมองชายคนที่กำลังป้อนไชเท้าให้เ้าม้า กับชายคนที่โยนคนลงสระกระดูกเมื่อคืนก่อนเป็คนเดียวกันได้จริงๆ
“นายท่านสาม ข้าอยากเข้าร่วมกับหน่วยลาดตระเวน”
อาลู่จับทางชายตรงหน้าไม่ถูก จึงเลือกจะกล่าววัตถุประสงค์ของเขาตรงๆ
“เข้าหน่วยลาดตระเวน” นายท่านสามทำท่าไตร่ตรองครู่หนึ่ง มือก็ยังคงป้อนอาหารม้าต่อ
อาลู่ไม่กล้ามองหน้านายท่านสาม ได้แต่มองท่าทางเขายามให้อาหารม้า มองเ้าม้าอ้าปากกัดหัวไชเท้าในมือนายท่านสามจนแทบถึงโคน หากมันยังกัดต่อ คงได้กัดเข้ากับมือนายท่านสาม เห็นเช่นนั้นเหงื่อเย็นก็ค่อยๆ ไหล
“หน่วยลาดตระเวนก็ไม่เลว ระยะนี้นับวันก็ยิ่งปล้นชิงยากขึ้น อากาศวิปริตแปรปรวน คาราวานที่ผ่านมาก็น้อยลง ยากนักที่จะผ่านมาสักขบวน พวกค่ายพยัคฆ์ขาวข้างๆ ก็ยังมาแย่งอาหาร หากว่าเ้านั้นสืบข่าวสำคัญมาได้จริงๆ ก็นับว่าสร้างคุณงามความดีไม่น้อย”
จวบจนเห็นเ้าม้ากัดลงบนนิ้วนายท่านสามจริงๆ นายท่านสามก็เพียงดีดมันเบาๆ เ้าม้าก็พลันหดคอกลับไป
ส่วนอาลู่ก็ยังคงพยักหน้าตามเคย
“เ้ารู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงยอมให้เ้ากับน้องสาวตามขึ้นเขามา ทั้งยังยอมให้เ้ามาแทนตำแหน่งเ้าก้างได้”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา อันที่จริงเขาเองก็อยากรู้เช่นกัน
“ยามที่ข้าเจอเ้าในเช้าวันนั้น ข้ากำลังพาหน่วยลาดตระเวนมาช่วยกันจัดการศพพี่น้องของเราที่มีทั้งโดนฟันจนเละ ทั้งโดนสัตว์ป่ากัดกินจนเหลือเพียงกระดูก ทว่าเ้าเด็กที่ยังไม่ใช่แม้กระทั่งชายหนุ่ม ซ้ำยังมีทารกกลับยังสุขสบายดีอยู่ข้างแม่น้ำ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“จับเ้าขึ้นมาบนเขาแล้ว เ้าก็ไม่เพียงแค่ยังมีชีวิตรอด ตามที่ข้ารู้มา แม้กระทั่งเ้าาาม้าที่ป่วยหนักเมื่อได้อยู่กับเ้าก็หายดีเสียแล้ว ออกปล้นครั้งนี้ เ้าก็สร้างคุณประโยชน์ครั้งใหญ่ แม้จะได้รับาเ็สาหัสมา เ้าก็ยังรอดมาได้... กระทั่งคนที่เ็าเช่นนางก็ยังชอบพวกเ้าสองพี่น้อง.....”
ทว่าประโยคสุดท้ายนั้น อาลู่กลับฟังไม่ชัดนัก
เพียงรู้สึกว่าบัดนี้ นายท่านสามนั้นดูมีแววระทมทุกข์
เ้าม้าที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อได้กินไชเท้าก็ดีใจ ร้องเสียงแหลมขึ้นทีหนึ่ง
นายท่านสามตบหลังอาลู่อีกครั้ง
“เ้าคือคนดวงดี ข้านั้นดวงไม่ดีนัก จึงได้ชอบคนดวงดี”
อาลู่เมื่อได้ยินนายท่านสามพูดเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก ปกติเขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็คนดวงดี และไม่เคยถูกใครชมเช่นนี้มาก่อน แม้เขาจะมีความคิดเป็ผู้ใหญ่กว่าวัย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็แค่เด็กคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็โดนชมเช่นนี้ จึงรู้สึกเขินจนไม่เป็ตัวเองอยู่สักหน่อย
เขายังได้ยินนายท่านสามกล่าวต่อว่า “ม้านั้นข้าแค่ให้เ้าก้างปลาเช่าไป เ้าก้างปลาทุกครั้งที่กลับมาก็จะแบ่งส่วนจากการปล้นให้ข้าครึ่งหนึ่งเสมอ ตอนนี้เ้าม้านั่นก็ยกให้เ้าก็แล้วกัน แต่ข้าเห็นแก่เ้าที่ยังต้องเลี้ยงน้องสาว เ้าแบ่งให้ข้าหนึ่งในสามส่วนก็พอ”
อาลู่ “......”