ตอนอาลู่กลับไปยังรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
จวบจนน้องสาวคลานมาตรงหน้าให้เขากอด สติจึงได้กลับมา
นายท่านสามบอกว่าเขาดวงดี อาลู่เองก็ไม่รู้ว่าตนนั้นดวงดีหรือดวงซวยกันแน่ ก็แค่อยากให้น้องสาวได้เติบโตเท่านั้น แค่อยากจะมีชีวิตต่อ ไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนั้น
ทว่าเมื่อได้ยินเื่ที่นายท่านสามพูดต่อ เขาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองดวงดีอีกต่อไป
หลังจากนายท่านสามกำจัดเ้าก้างปลา ก็เพิ่งจะคิดได้ว่าค่าเช่าของเ้าก้างปลานั้นไม่มีใครมาจ่ายให้เสียแล้ว จึงได้ให้อาลู่มาแทนตำแหน่งนี้ และจ่ายค่าเช่าแทน แม้แต่ก้อนเงินที่น้องสาวกัดเล่นจนเปรอะน้ำลายไปหมดก็ยังต้องเข้าไปอยู่ในกระเป๋านายท่านสาม
ซ้ำนายท่านสามยังไม่กลัวว่าเขาจะคิดหนี ถึงอย่างไรเสียเขาก็ยังมีน้องสาว
อาลู่คิดไปคิดมาอยู่นาน ในที่สุดก็เข้าใจความหมายที่นายท่านสาม้าจะสื่อ
ทันใดนั้นเขารู้สึกโกรธอย่างไม่มีสาเหตุ.....ก่อนจะรู้สึกสงบลงครู่หนึ่ง.... ไม่ เขาก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ดี
ตอนแรกที่เขาเห็นต้าโกวมาจูงม้าไป เขาก็ยังคิดว่าทุกคนในค่ายจะมีม้าเป็ของตัวเอง ครั้นเหล่าปาพูดเื่การแบ่งชนชั้น เขาก็ยังไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งนัก
บัดนี้เพิ่งตระหนักได้ว่าที่ต้าโกวมาเอาม้าไปได้ ก็ย่อมมีราคาที่เขาต้องจ่าย
ม้าพวกนี้ล้วนเป็ของนายท่านใหญ่
ในค่ายแห่งนี้นายท่านใหญ่คือผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทว่าสมบัติส่วนตัวก็ย่อมเป็สมบัติส่วนตัว ย่อมต้องดูว่าคนคนนั้นมีความสามารถเท่าใด
ดังนั้นม้าและล่อในเรือนข้างนายท่านสามจึงมีไว้ให้คนอื่นเช่า
เมื่อเห็นอาลู่กลับมา เ้าอินทรีก็รีบปรี่บินเข้าไปหาด้วยท่าทางน้อยใจ
ขนของมันเพิ่งถูกดึงหายไปเพิ่มอีกหนึ่งเส้น เ้าทารกสองขานั่นขี้โกงนัก เขาเห็นอยู่แท้ๆ ว่ามันเพียงลำพังก็ล้มเ้าเด็กนี่ได้ ผลลัพธ์กลับไม่คาดคิดเลยว่าเ้าสี่ขานั่นจะแจ้นเข้ามาช่วย ทำเอามันนั้นแพ้ราบคาบอีกตามเคย
เห็นเ้านกทำท่าทางเช่นนั้นพร้อมร้องด้วยเสียงนกของมัน นี่เป็ครั้งแรกที่อาลู่รู้สึกสนิทสนมกับมันขึ้นมา จึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะมันทีหนึ่ง ในใจคิดว่าเสี่ยวอวี้นั้นไม่ต้องจ่ายค่าเช่า เป็สิ่งที่ฟ้าประทานมาให้เขา
ครั้นเมื่อเห็นเ้ามืดที่กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยพร้อมน้องสาวตนบนหลังนั้น ก็คิดขึ้นได้ว่าเ้ามืดเองก็เป็ของนายท่านใหญ่
“นายท่านสามกล่าวกระไรบ้าง” เหล่าปาเอ่ยปากถาม
“เขาตกลงแล้ว”
อาลู่บัดนี้รู้สึกซึมกะทือนัก
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ได้เข้าหน่วยลาดตระเวนนั้นไม่ง่าย ต้องวิ่งเร็ว ฉลาดเฉลียว และชำนาญการหลบซ่อน ร่างกายเ้าก็เกือบจะหายดีแล้ว ต่อไปก็ฝึกซ้อมให้มากเสียหน่อย”
อาลู่นั้นย่อมฟังคำของเหล่าปาแน่
เพียงแต่บัดนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเ้าก้างปลาจึงไม่ทะนุถนอมม้าของตนเลย บนตัวของมันมีแผลฉกรรจ์ก็ไม่สนใจ คงเป็เพราะรู้สึกว่ามันมิใช่ทรัพย์สินของตนจึงไม่ได้ดูแล
อาลู่ขี่เ้าก้างตามไปช่วยเหล่าปาเลี้ยงม้า เ้าอินทรีเสี่ยวอวี้ก็บินตามมาเช่นกัน
ปล่อยให้เฉินโย่วน้อยที่เพิ่งจะกินอิ่มกับเ้ามืดเล่นกันลำพัง
ในตอนแรกนั้นเป็เพราะเ้ามืดป่วยจึงต้องแยกมันออกจากฝูง ทว่าบัดนี้มันกลับทำตัวราวกับว่าตนนั้นเป็แม่นมของเฉินโย่วน้อย เมื่อเ้าม้ารู้สึกว่าทารกบนหลังตนเริ่มง่วงแล้ว มันก็จงใจเดินให้ช้าลง จนตัวมันไหวเอนคล้ายกับเปล เฉินโย่วน้อยได้นอนบนหลังเ้าม้าเช่นนี้ ไม่นานก็ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
เ้ามืดรู้ว่านางชอบอาบแดด มันจึงได้เลือกเดินช้าๆ อยู่บริเวณที่มีแดดส่อง แต่พระอาทิตย์ยามเหมันต์ยิ่งนานวันก็ยิ่งสาดแสงน้อยลง เพื่อทารกน้อยบนหลัง เ้ามืดจึงได้แต่เดินไล่ตามแสงตะวันที่สาดลงมา พลางเคี้ยวหญ้าไปด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงปากถ้ำแห่งหนึ่ง ทว่าเ้ามืดก็ยั้งฝีเท้าไว้ไม่ได้เดินเข้าไป ในใจรู้สึกว่าถ้ำแห่งนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงเพียงหยุดยืนดูอยู่หน้าถ้ำเท่านั้น
ในถ้ำนั้นแท้จริงแล้วมีเด็กสองคนแอบอยู่
ตรงปากถ้ำมีเส้นด้ายโปร่งแสงพันกันยุ่งเหยิงราวกับกับดัก
แสงสว่างนั้นสาดส่องแค่เพียงปากถ้ำราวหนึ่งเมตร ดังนั้นเมื่อเทียบความมืดและความสว่างกันแล้ว ก็ยิ่งทำให้ในถ้ำนั้นดูมืดมิดจนเห็นเพียงความมืด
“อาสวิน เ้าไม่ใช่บอกว่าโปรยหญ้าโหยวหมา แล้วเ้าม้านั้นจะตามเข้ามามิใช่หรือ ไฉนมันจึงหยุดนิ่งแล้วเล่า”
“อาสวินหรือจะให้ข้าแกล้งปลอมเสียงม้าล่อมันเข้ามาดี”
“อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นอาสวิน ข้าหิวจนใกล้จะตายอยู่แล้ว หากข้ายังไม่ได้กินอะไรอีก ข้าจะต้องหิวจนตายเป็แน่ หากข้าตายก็จะไม่มีใครแบกเ้า ไม่มีใครช่วยเ้าทำงานอีกแล้ว”
“อาสวิน.......”
“เงียบปากเสีย” เด็กน้อยข้างกายอาสวินโดนดุทีหนึ่ง น้ำเสียงนั้นแม้จะไม่ได้แฝงอารมณ์อะไร แต่กลับฟังแล้วหนักแน่นนัก
อาสวินนั้นหน้าซีดเซียว ร่างกายก็ผอมกะหร่อง ส่วนอาอู่ที่อยู่ข้างกายก็ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ถ้าเทียบกับสภาพของอาสวินก็นับว่าดีกว่ามากนัก เด็กหนุ่มนั้นร่างกายผ่ายผอมจนกระดูกปูดโปนชัดเจน ร่างกายก็บางราวกับโปร่งแสง ร่างผอมนั้นยิ่งขับเน้นให้หูที่กางทั้งสองข้างเด่นชัด จนบางคราเขาก็ดูคล้ายโครงกระดูกก็ไม่ปาน
เขาเพียงกล่าวสองคำนี้ อาอู่ก็พลันสงบปากทันที
“บนหลังเ้าม้ามีคน” อาสวินหลังจากกล่าวประโยคนี้จบก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เห็นได้ชัดว่าการสนทนาสำหรับเขานั้นช่างเป็เื่ที่สิ้นเปลืองแรงเหลือเกิน
เสี่ยวอู่ลองชะโงกออกไปสังเกตการณ์อย่างละเอียดอีกรอบ บนหลังเ้าม้านั้นมีคนจริงๆด้วย ซ้ำยังดูเป็เด็กจ้ำม่ำคนหนึ่ง
เฉินโย่วน้อยนั้นเป็เพราะแม่นางหลัวจึงทำให้สารอาหารของนางนั้นนับว่าดีนัก ยิ่งกว่านั้นยังมีเสี่ยวอวี้ เ้ามืด และเ้าก้างคอยช่วยนางล่าสัตว์ ดังนั้นการล่าหนูล่ากระต่ายป่าจึงไม่นับว่าเป็ปัญหาอะไร
ส่วนพวกเนื้อที่เหลือ เหล่าปาก็เอามาทำเป็เนื้อแห้ง
อาลู่ด้วยกลัวว่านางจะหิว จึงเตรียมของว่างใส่กระเป๋าให้นางทุกวัน เอาไว้ให้นางนั้นขบเคี้ยวในบางครา
เป็เช่นนี้เรื่อยมา เฉินโย่วน้อยจึงถูกเลี้ยงจนร่างน้อยๆ นั้นดูอ้วนจ้ำม่ำ นางนั้นเดิมทีองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้านั้นก็นับว่าไม่เลว เพียงแค่ผิวพรรณนางนั้นออกจะคล้ำไปเสียหน่อย บัดนี้จึงพูดได้ว่าเป็นางเด็กอ้วนตัวดำที่หน้าตาพริ้มเพราคนหนึ่ง
ในถ้ำมืดนั้นพลันมีเสียง “คร่อก...” ดังขึ้น ท้องของเด็กหนุ่มในถ้ำนั้นรองดังขึ้น
“ข้าหิวเหลือเกินอาสวิน ข้ารู้ว่าการแอบกินม้านั้นหากถูกพบเข้าก็มีแต่โทษตายสถานเดียว ทว่าหากข้าไม่กิน ข้าก็คงจะตายเช่นกัน” เสี่ยวอู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บัดนี้ดวงตาของเขาพร่ามัวเพราะความหิวเสียแล้ว
จากนั้นจึงยอมเปลืองแรงรัดผ้าคาดเอวตนให้แน่นขึ้น กระดูกซี่โครงนอกนั้นก็นูนปูดขึ้นมาจนเด่นชัด
เ้ามืดยามเดินจะโคลงไปโคลงมาเบาๆ สำหรับเฉินโย่วน้อยแล้วรู้สึกราวกับนอนอยู่บนเปล
ทว่าเ้ามืดอยู่ดีๆ ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน ทำให้ทารกน้อยนั้นต้องงัวเงียตื่นขึ้นมา
นางลืมตาขึ้น
นางเห็นว่าในถ้ำนั้นมีคนกำลังซุ่มแอบอยู่สองคน ด้านหน้าก็ยังมีเส้นใยพันกันยุ่งเหยิงคอยบังไว้
เ้ามืดนั้นใบหน้าแสดงออกชัดเจนว่าอยากจะเดินเข้าไปในถ้ำ
เฉินโย่วน้อยขมวดคิ้วมุ่น
แม้ความคิดนางจะยังไม่ซับซ้อนนัก แต่นางก็ยังพอแยกแยะอะไรดีอะไรเลวได้ นางรู้สึกว่าเ้าคนสองคนที่ซุ่มอยู่นั้น แววตายามมองเ้ามืดนั้นช่างดูคล้ายยามนางมองเลี่ยงเลี่ยง
แต่ด้วยเหตุใดเล่า ในเมื่อเ้ามืดนั้นไม่มีน้ำนมสักหน่อย
นางจึงได้แต่มองคนในถ้ำนั้นต่อด้วยความฉงน
“อาสวิน เ้าว่าเ้าเด็กนั่นจะมองเห็นเราไหม”
“มองไม่เห็น” อาสวินเหนื่อยจะอธิบาย ข้างนอกสว่าง ข้างในมืด แสงเช่นนี้โดยปกติย่อมไม่มีทางมองเห็นด้านใน ดังนั้นเขาจึงกล้าให้เสี่ยวอู่วางกับดัก แล้วเขาสองคนจึงมาซุ่มหลบอยู่ด้านหลัง
“เช่นนั้นเราจะทำเช่นไรดีเล่า เ้าเด็กนั่นอ้วนถึงเพียงนั้น ย่อมมีคนเลี้ยงดูเป็แน่” เสี่ยวอู่พลันรู้สึกยุ่งยากใจ ทว่าก็ไม่ใช่เพราะเขานั้นเกิดความปรานีขึ้นมา ทว่าเป็เพราะเด็กที่มีคนเลี้ยง ต่างกับเด็กในถ้ำเชลยอย่างพวกเขา หากพวกเขาจับตัวไปจริงๆ ย่อมต้องมีคนออกตามหาเป็แน่ มิใช่เช่นพวกเขาที่เป็ตายอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ
“ฝูงม้าก็มีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอด ไม่ง่ายเลยที่จะมีม้าอยู่ลำพัง” อาอู่นั้นอยากจะร้องไห้
ในเวลาเดียวกัน ทารกน้อยที่เดิมนอนอยู่บนหลังเ้าม้าก็พลันลุกขึ้น จากนั้นก็จับจ้องมาทางถ้ำ แล้วยกมือคู่น้อยขึ้นโบก
ทำเอาเสี่ยวอู่นั้นแทบใตาย
“ไม่มีทาง ข้าเคยลองมาแล้ว” อาสวินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
เด็กหนุ่มสองคนยังคงแอบซุ่มต่อ
ทว่าทารกน้อยนั้นก็ขี่ม้าหันหลังจากไปในที่สุด
เสี่ยวอู่มองเ้าม้าที่ค่อยๆ เดินจากไป เรี่ยวแรงในกายก็ราวเหือดหายไปจนไม่เหลือ
“เก็บด้ายพวกนั้นให้ดี” น้ำเสียงของอาสวินแห้งผาก
อาอู่แม้ไม่อยากจะขยับตัว แต่ก็ยังคงชินกับการฟังคำสั่ง จึงลุกขึ้นแล้วเก็บด้ายพวกนั้นเสีย ด้ายพวกนี้ก็เพราะมีมันอยู่ จึงทำให้พวกเขามีชีวิตรอดจนถึงวันนี้
เมื่อเก็บด้ายไปจนถึงปากถ้ำ เสี่ยวอู่ก็พลันไปสบตาเข้ากับที่ที่เ้าม้ายืนอยู่เมื่อครู่ บัดนี้มีชิ้นเนื้อวางอยู่สองชิ้น
เสี่ยวอู่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วว่าไม่มีคน ก็ค่อยๆ เก็บเนื้อสองชิ้นนั้นขึ้นมา แล้วจึงวิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ
“อาสวิน พวกเรามีอาหารแล้ว เมื่อครู่เ้าเด็กนั่นทำเนื้อตกไว้ถึงสองชิ้น”
ใบหน้าเปี่ยมด้วยความดีใจของอาอู่นั้นพูดไป พลางกลืนน้ำลายไป
“โครก...”เสียงท้องร้องดังขึ้นอีกครั้ง
อาสวินเมื่อมองเห็นว่าเนื้อแห้งนั้นมีสองชิ้น...
เสี่ยวอู่นั้นเก็บเนื้อแห้งมาได้ ก็รีบยัดเข้าปากตัวเองชิ้นหนึ่ง ส่วนอีกชิ้นที่เหลือก็รีบเอามาให้อาสวินอย่างไม่ลังเล
จากนั้นก็ลากอาสวินกลับเข้าถ้ำไป