“ใครไม่ได้ดังใจกัน” โม่เสวี่ยถงหดมือกลับมา ชำเลืองมองค้อนควักใส่ทีหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ไหวเลยจริงๆ ชอบพูดให้คนเข้าใจผิดอยู่เรื่อย... ยังดีที่นางไม่มีอารมณ์จะเถียงกับเขาตอนนี้
“ว่าแต่... ท่านอ๋องมาอยู่ที่นี่ไม่กลัวใครจะพบเข้าหรือ”
ข่าวว่ายามนี้เซวียนอ๋องถูกลอบสังหารได้รับาเ็ถูกหามส่งกลับไปจวนอ๋องแล้ว แต่ยามนี้เขากลับพาตนเองมาชมพลุไฟที่นี่ หากถูกใครพบเข้าความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงคงปิดไม่มิด เมื่อครู่ก่อนที่นางจะสลบไป ได้ยินเขาออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น ยิ่งได้ัักับเขามากเท่าไร นางก็ยิ่งพบว่าเขาไม่ธรรมดาเลย
เขาเป็แค่องค์ชายแปดที่ไม่รู้จักถูกผิดดีชั่ว รักแต่การเสพสุขมัวเมาคาวโลกีย์จริงๆ หรือ
ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่ แต่นางไม่เชื่อ ชายชุดดำสี่คนล้วนกำยำล่ำสันและเป็ยอดฝีมือ แต่เขาเพียงคนเดียวสามารถต้านคนเ่าั้ได้ทั้งหมด ตอนนั้นหากไม่ใช่ว่าเขาหันกลับมาช่วยนางก็คงไม่ต้องมีแผลที่หลังมือเช่นนี้ ความสามารถสูงส่งขนาดนั้น คำสั่งที่เด็ดขาดถึงเพียงนั้น... ดูไม่เหมือนตัวเขายามปรกติแม้แต่น้อย
แล้วแบบไหนถึงจะเป็ตัวตนที่แท้จริงของเขา หรือว่าทั้งหมดล้วนเป็ตัวตนของเขาทั้งสิ้น สายตาลังเลสงสัยจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่รู้ตัว ในเมืองหลวงแห่งนี้นอกจากไป๋อี้เฮ่าผู้มีรูปโฉมงดงามดุจจันทร์กระจ่างกลางเวหา ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมกับเขาได้อีก
แต่ในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านก็มีอันตรายมากมายซ่อนอยู่ภายใต้รูปโฉมงดงาม ไม่ต่างอะไรกับไป๋อี้เฮ่า
นางพยายามย้อนนึกไปถึงศึกชิงบัลลังก์เมื่อชาติภพก่อน แต่ต้องจนใจ เพราะหลังจากแต่งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นแล้วตนเองก็ถูกปิดหูปิดตา ยามนั้นนางอยู่แต่ในเรือนหลัง จึงแทบไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับเื่เหล่านี้เลย ตอนนี้เมื่อคิดถึงชาติก่อนก็รู้สึกอนาถใจ นางเป็ถึงฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อ ในจวนนอกจากสาวใช้ประจำตัวไม่กี่คนก็ไม่มีคนสนิทอื่นๆ อีก ไม่มีใครที่อยู่ข้างนอกจะมาส่งข่าวได้ ชีวิตเหมือนถูกขังอยู่หลังกำแพงสูง แต่นางก็ยังเพียรหลอกตัวเองว่านั่นคือความสุข
“ในจวนยามนี้คงวุ่นวายไม่เบา แต่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เปิ่นหวางเจ็บหนักจนหมดสติ คนเ่าั้ยังคิดจะพบเปิ่นหวางอีกหรือ” น้ำเสียงของเขาดึงความคิดของนางกลับคืนมา ท้องฟ้าที่พราวพร่างไปด้วยหมู่ดาราคล้ายพาให้นางมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน ดีที่นางรู้สึกตัวไว จึงรั้งอารมณ์ด้านมืดของตนเองเก็บเอาไว้ แล้วคิดแก้ปัญหาของเฟิงเจวี๋ยหร่านก่อน
“หากผู้มาเยี่ยมเยียนเป็บ่าวจากจวนต่างๆ ย่อมไม่มีปัญหาอันใด แต่ท่านไม่กลัวว่าฉู่อ๋องกับเยี่ยนอ๋องจะมาเยี่ยมพระอนุชาที่แสนดีด้วยตนเองหรือ หากพบว่าเ้าตัวไม่อยู่ คราวนี้จะแก้ตัวว่าอย่างไรเล่า”
โม่เสวี่ยถงยิ้มหวานหยาดเยิ้ม พลางยื่นมือไปกดจอกสุราที่เขากำลังจะยกขึ้นดื่ม “ท่านอ๋องได้รับาเ็อยู่ควรดื่มให้น้อยหน่อยจะดีกว่าเพคะ”
เฟิงเจวี๋ยหร่านพลิกมือกลับมาหมายจะคว้ามือนางไว้ แต่นางชักมือหลบไปก่อน ดวงตาคู่งามของเขาปริ่มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าก็มิได้ดื่มต่อ กลับรินน้ำชาดื่มเอง ก่อนชำเลืองมองโม่เสวี่ยถง แล้วเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามกระเซ้าเย้าแหย่
“เ้าเป็ห่วงข้าหรือ”
คนผู้นี้นี่จริงๆ เลย... เื่สำคัญไม่ถาม ใส่ใจแต่เื่อะไรก็ไม่รู้ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้นางหน้าแดงเห่อร้อนขึ้นมา จึงถลึงตาขู่ฟอดไปทีหนึ่ง “ท่านอ๋อง...”
“วางใจเถอะหน่า พระเชษฐาผู้แสนดีทั้งสองพระองค์ของข้าวันนี้ล้วนติดธุระ เมื่อครู่เ้าไม่เห็นหรือไงว่าเสด็จพี่ใหญ่ของข้าไปเดินเล่นเป็เพื่อนคุณหนูรองสกุลหลิงอยู่ ได้ยินมาว่าเสด็จพี่สามเป็คู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่กับคุณหนูรองสกุลหลิงผู้นี้ ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาเลยเชียว...” เฟิงเจวี๋ยหร่านดวงตาวับวาว
ความหมายก็คือ เขาเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว? แต่เขาก็อยู่กับตนเองตลอดเวลา ไม่เห็นจะออกคำสั่งอะไรเลย นอกเสียจากครั้งที่เรียกเฟิงเยวี่ยให้ออกไปตามหาคุณชายหลี่ผู้นั้น หรือว่าเขาเตรียมการเื่นี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว โม่เสวี่ยถงหันไปมองเขาด้วยความสงสัย ดูท่าทางแล้วก็ไม่เหมือนคนพูดจาเหลวไหล
“ทำไม? ไม่เชื่อหรือ หาไม่แล้วเ้าคิดว่าข้าจะพามาชมละครสนุกอันใดเล่า ละครของพี่สาวเ้าเมื่อครู่เป็แค่ของแถมที่ข้ามอบให้ แต่สิ่งที่จะได้รับชมต่อไปนี้ต่างหากที่เป็ละครโรงใหญ่อย่างแท้จริง รับรองว่าเ้าไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต” เห็นสีหน้าเป๋อเหลอของนางแล้วเฟิงเจวี๋ยหร่านก็อารมณ์ดียิ่ง ไม่ว่านางจะแสดงสีหน้าแบบไหน ขอแค่ไม่สวมหน้ากากใดๆ ต่อหน้าเขา เขาล้วนยอมรับได้ทั้งสิ้น พร้อมบอกกับตนเองว่าชอบสีหน้าที่แท้จริงของนางแบบนี้เป็ที่สุด
ยามที่พบกันครั้งแรกเขารู้สึกว่านางน่าสนใจดี เด็กผู้หญิงอายุน้อยหน้าตาน่ารัก ดวงตาใสแจ๋วเหมือนหยดน้ำบริสุทธิ์ สวมชุดเป็สาวใช้ ท่าทางกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย แอบหลบอยู่ในมุมมืดตรงทางเชื่อม สีหน้านางขาวซีดคล้ายจะเป็ลมอยู่รอมร่อ แต่ยังทำเข้มแข็ง แววตาดื้อดึงไม่ยอมคนแบบนั้นทำให้ตนเองอดใจไม่ได้ต้องหยุดเท้าลง...
เขาสะบัดศีรษะเบาๆ พยายามข่มหัวใจที่กำลังเต้นระรัว
เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มเ้าเล่ห์ก่อนลุกขึ้น เดินไปที่ประตูแล้วออกคำสั่งกับคนข้างนอก จากนั้นก็มีเสื้อคลุมกันลมตัวใหญ่สองตัวถูกส่งเข้ามา เฟิงเจวี๋ยหร่านรับไว้แต่ไม่เรียกใครมาปรนนิบัติ เขาเก็บไว้เองตัวหนึ่ง แล้วเดินเข้ามาดึงโม่เสวี่ยถงให้ลุกขึ้น จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมอีกตัวให้อย่างพิถีพิถัน เมื่อผูกสายรัดทั้งหลายเรียบร้อยดีแล้วก็ดึงหมวกคลุมลงมา
ทั้งตัวถูกห่ออย่างหนาแน่นภายใต้ชุดคลุมกันลม ที่จริงนางก็หยิบชุดคลุมมีหมวกแบบเดียวกันนี้มาด้วย แต่ชุดคลุมตัวนี้เป็แบบธรรมดาไม่หรูหรางดงาม กลางคืนอากาศหนาวผู้คนบนท้องถนนต่างสวมเสื้อคลุมแบบนี้กันทั้งสิ้น จึงไม่นับว่าสะดุดตา
เฟิงเจวี๋ยหร่านเอื้อมมือมาจูงโม่เสวี่ยถงพาเดินออกไปที่ประตู
“พวกเราจะไปไหนกันหรือ” เห็นเขาทำตัวลับๆ ล่อๆ โม่เสวี่ยถงจึงกระตุกเสื้อคลุมของเขาแล้วเอ่ยถาม
“ไปดูละครไง” เฟิงเจวี๋ยหร่านยักคิ้วพร้อมใช้นิ้วเขี่ยกลางฝ่ามือของโม่เสวี่ยถงเบาๆ จนนางรู้สึกจั๊กจี้คิดจะสะบัดมือเขาออก แต่พอมาถึงหน้าบันไดที่มีผู้คนมากมายนางก็ไม่กล้าแสดงกิริยาแบบนั้นออกมาจริงๆ ยามนี้ทั้งสองจูงมือกันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว หากเอะอะอันใดออกไปจะเป็การดึงดูดสายตาผู้คน นางมาเพื่อดูละครไม่ใช่มาเล่นละครให้ผู้อื่นดู
เฟิงเจวี๋ยหร่านต้องรู้ความกังวลของนางถึงได้กล้ารุกรานตามอำเภอใจแบบนี้ล่ะสิ!
เชื่อเขาเลย... ขนาดอยู่ระหว่างทำภารกิจสำคัญยังแอบทำตัวเกเรแบบนี้ได้อีก
“หลีกทางหน่อย” แม้ว่าพวกเขาไม่คิดจะร้องขอทาง แต่ไม่หมายความว่าผู้อื่นจะไม่คิด หากมิใช่ว่าเพราะเฟิงเจวี๋ยหร่านหันกลับมาโอบนางไว้แน่น ป่านนี้นางคงถูกคนที่ขึ้นมาจากข้างล่างสองสามคนชนล้มไปแล้ว
คนขึ้นลงบันไดมีเยอะมาก มีผู้ที่วิ่งขึ้นมาก่อนสองสามคน คนที่เดินอยู่หน้าสุดพลางร้องะโเสียงแหลมเป็คนรับใช้ผู้หนึ่งที่แต่งกายงดงาม หากไม่โก่งคอออกมาเสียงแหลมแบบนั้นก็ไม่เป็ที่สนใจของผู้คน บุรุษที่อยู่ตรงกลางเป็ชายหนุ่มสวมอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้าปักดิ้นเงินลายเมฆา คาดสายคาดเอวหยกที่มีหัวเข็มขัดประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าขลิบเงิน มวยผมครอบเกี้ยวหยกงามประณีตทำให้เขาดูหรูหราสูงส่ง เครื่องหน้าคมสัน ดวงตาตาเรียวดั่งตาหงส์ แม้สีหน้าจะดูราบเรียบ แต่เบื้องลึกในดวงตากลับดูเป็คนมุทะลุดุดัน
เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังจะรีบเดินขึ้นไป บ่าวชายที่อยู่หัวแถวก็ผลักคนออกไปด้านข้างอย่างไม่เกรงใจ แล้วหันไปพูดกับผู้ที่อยู่ด้านหลังอย่างพินอบพิเทา “นายท่าน เดินระวังนะขอรับ ระวังเท้าด้วย”
ท่าทางวางอำนาจใหญ่โตแบบนี้ แม้ไม่รู้จักก็รู้ได้ว่าผู้มาต้องเป็คนในตระกูลสูง ไหนเลยจะมีใครกล้าไปคิดเล็กคิดน้อยกับท่าทางของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ติดตามมาด้วยสองคนซึ่งอยู่ด้านหลังก็เป็ผู้คุ้มกันรูปร่างกำยำล่ำสัน แค่ดูก็รู้ว่าอย่าเข้าไปหาเื่จะเป็การดีที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ารนหาที่
คนสองสามคนที่ถูกชนจนเกือบล้มได้แต่ถลึงตาใส่ด้วยความโมโห แต่ไม่กล้าพูดอะไร
ขณะนั้นประตูห้องรับรองที่สามจากด้านซ้ายซึ่งอยู่ตรงกับบันไดถูกเปิดออก ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวกระจ่างเดินออกมาจากด้านใน ปรายตามองกลุ่มคนที่กำลังเดินผ่านมาก็ถอยหลังไปสองก้าวเพื่อให้ทาง ใบหน้างดงามประหนึ่งหยกเผยรอยยิ้มบางๆ ดวงตาดั่งหยกนิลดูสงบนิ่งคล้ายเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาจนชิน
ยามนี้โม่เสวี่ยถงช้อนตามองกลุ่มคนที่วิ่งชนคนขึ้นไป ดวงตาวาววับของนางสบกับดวงตาอ่อนโยนที่ฉายแววยิ้มคู่นั้นพอดี สีหน้าพลันตื่นตะลึง จิตใต้สำนึกสั่งให้นางก้มหน้าลงทันที เพื่อหลบเลี่ยงจากสายตาที่คล้ายว่าสามารถมองทะลุผ่านไปถึงหัวใจคนคู่นั้น แล้วหันไปซบหน้าที่อ้อมอกของเฟิงเจวี๋ยหร่านทันที
เฟิงเจวี๋ยหร่านรับรู้ได้ถึงความผิดปรกติของโม่เสวี่ยถง พอมองตามสายตาของนางไปก็เห็นใบหน้าของบุรุษชุดขาว เขามองเรียบๆ แค่ปราดเดียวก็เอื้อมมือมาตบหลังของนางเบาๆ อย่างปลอบประโลม
“ใครกัน ในเมืองหลวงยังกล้าทำตัวโอหังถึงเพียงนี้ ดูสิเบียดซะกระเด็นไปหมด น้องชาย ภรรยาของเ้าเป็อย่างไรบ้าง เป็อะไรมากหรือไม่” คนผู้หนึ่งช่วยดึงคนที่ถูกเบียดล้มลงไปขึ้นมา แล้วหมุนตัวหันมาถามเฟิงเจวี๋ยหร่านอย่างใส่ใจ
แล้วมองสตรีที่ตัวสั่นงันงกอยู่ในอ้อมอกของเฟิงเจวี๋ยหร่าน เห็นได้ชัดว่าใอย่างยิ่ง
“ไม่เป็ไร ให้นางพักสักครู่ก็หาย” เสียงของเฟิงเจวี๋ยหร่านฟังดูเหมือนกำลังวิตกกังวล กึ่งประคองกึ่งโอบกอดพาโม่เสวี่ยถงเดินลงบันไดช้าๆ คอยลูบหลังปลอบประโลมท่าทางเป็ห่วงเป็ใย พวกเขาสองคนมุ่งออกไปด้านนอก แม้ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่จะดูไม่ธรรมดา แต่สวมเสื้อคลุมทับไว้อย่างมิดชิดจึงดูไม่แตกต่างจากแเื่ทั่วไป
ยามนี้พวกเขากลับออกไปด้านนอก ตรงข้ามกับทิศทางของผู้คน
ไป๋อี้เฮ่าที่อยู่ชั้นบนของหอสูงรั้งสายตาที่จ้องโม่เสวี่ยถงไปยังทิศทางที่พวกเขาเดินไป ริมฝีปากผลิยิ้มอ่อนโยน ยกมือขึ้นโบก สาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งก็ออกมาจากห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่ บนถาดที่นางถือมีน้ำชาวางอยู่ถ้วยหนึ่ง
แววตาของเขานิ่งลึกโดยพลัน
…
โม่เสวี่ยถงไม่กล้าหันกลับไป นางไม่คิดว่าจะเจอไป๋อี้เฮ่าในสถานที่แบบนี้ ขณะที่เฟิงเจวี๋ยหร่านบอกว่าจะพามาชมละครสนุก แต่หากถามว่าใครที่ทำให้นางรู้สึกกดดันมากที่สุดก็คงต้องตอบว่าเป็ไป๋อี้เฮ่าอย่างไม่ต้องสงสัย แค่คิดถึงผลงานของเขาที่ทำไว้ในชาติก่อน คิดถึงภาพยามที่เขายืนเด่นเป็สง่าอยู่หน้าเหล่าทหาร คิดถึงการเข่นฆ่าผู้คนนับไม่ถ้วนนางก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
มงกุฎจักรพรรดิของเขาสังเวยด้วยชีวิตและเืเนื้อของผู้คน
ถึงเขาจะเคยช่วยนางมาแล้วหลายครั้ง คราที่นางป่วยหนักจนไปถึงหน้าประตูผีแล้ว เขาก็ยังไปดึงนางกลับมาได้ ปรกติเวลาเจอกัน นอกจากครั้งแรกที่นางเห็นรังสีสังหารผุดออกมาจากดวงตาของเขาอย่างชัดเจน เขาก็มักจะแสดงท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนเสมอ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยนึกถึงเื่เล่าเกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งเป็ดั่งตำนานที่ไม่มีวันถูกทำลายลงได้เมื่อชาติก่อน
แต่เมื่อครู่โม่เสวี่ยถงััถึงรังสีสังหารได้จริงๆ รอยยิ้มของเขาดูสูงศักดิ์สง่างาม แม้ว่าจะอยู่ไกลขนาดนั้น ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายประหนึ่งเทพเซียน แต่นางเป็คนมีประสาทััไว ภายใต้เบื้องลึกดวงตาที่งามสง่ามีรังสีเย็นเยียบมืดลึกจนหยั่งไม่ถึงก้นบึ้ง ทั้งที่กำลังยิ้ม ดวงตาก็ทอประกาย แต่รอยยิ้มกลับดูห่างเหิน ทั้งยังซ่อนความเ็าที่ชวนให้หนาวสะท้านถึงกระดูก
สิ่งนี้ทำให้นางนึกถึงเื่ราวที่เล่าขานเกี่ยวกับตัวเขาในชาติก่อน จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้นางหลบเลี่ยงจากสายตาของเขาโดยเร็ว
เพื่อไม่เป็การเผยพิรุธและทำให้เฟิงเจวี๋ยหร่านต้องเสียแผน นางจึงซบหน้าลงที่อกของเขา แสร้งทำเป็ใจากกลุ่มคนที่วิ่งชนขึ้นมา
หลังจากทั้งสองเดินออกไปก็พบว่าที่หน้าประตูมีรถม้าจอดรออยู่ เฟิงเจวี๋ยหร่านประคองโม่เสวี่ยถงขึ้นรถแล้วค่อยคลายอ้อมแขน ทั้งยังช่วยเปิดหมวกที่คลุมศีรษะออก จึงเห็นว่านางหน้าแดงก่ำ มีเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด ลมหายใจถี่กระชั้น เหมือนคนได้รับความตื่นตระหนก แต่ท่าทางแบบนี้กลับดูน่ารักเป็ที่สุด เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วช่วยคลายเชือกผูกที่คอให้นางอย่างอ่อนโยน
“พวกเราจะไปที่ใดหรือเพคะ ไหนบอกว่าจะพาไปดูเื่สนุกมิใช่หรือ” โม่เสวี่ยถงสูดหายใจเฮือกใหญ่สองครั้ง รู้สึกได้ว่ารถม้าเคลื่อนออกไปแล้ว จึงถามอย่างประหลาดใจ ได้ยินเฟิงเจวี๋ยหร่านเอ่ยถึงฉู่อ๋องกับเยี่ยนอ๋องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็นึกว่าอีกฝ่ายคงพาไปดูเื่สนุกของพวกเขาสองคนกระมัง ก่อนหน้านี้ได้ยินฉู่อ๋องกล่าวว่าจองห้องพิเศษไว้ที่นี่ ไม่ใช่ว่าควรรอชมอยู่ที่นี่หรอกหรือ ไฉนต้องออกมาด้วยเล่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้