โหยวเสี่ยวโม่แยกยาออกมาสี่สิบห้าเม็ดยื่นให้เขา
อาจารย์จ้าวดูที่บันทึก ยาเซียนตันขั้นหนึ่งทั้งเก้าสิบเม็ดล้วนหลอมสำเร็จจนหมด เป็สถิติใหม่อีกแล้ว แต่เขาอึ้งอยู่ชั่วขณะ เพราะถึงสถิติความสำเร็จในการหลอมยาขั้นหนึ่งจะสูง แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็พิเศษ
ตอนรับของ อาจารย์จ้าวยื่นถุงเก็บของให้เขาใส่ยาเซียนตัน
ถุงเก็บของมีขนาดแค่ห้าลูกบาศก์เิเ ถุงเก็บของขนาดเล็กนี้ สำนักเทียนซินมีอยู่ถมเถ ฉะนั้นศิษย์ทุกคนในสำนักจะได้รับคนละหนึ่งใบ
เนื่องจากเมื่อวานศิษย์พี่ฟางไม่อยู่ ถึงได้ไม่มีเวลามาแจกให้
ถึงแม้พื้นที่จะเล็ก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย ทว่าท่าทางของโหยวเสี่ยวโม่ตอนได้รับถุงเก็บของไม่ได้ดีใจอะไรเมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่น เพราะเขาเองก็มีแผนที่คิดไว้อยู่แล้ว แต่กับอาจารย์จ้าว กลับคิดว่าเขามีท่าทางสุขุมดี
จากนั้นโหยวเสี่ยวโม่ก็ขอหญ้าเซียนที่ใช้หลอมให้ได้จำนวนหนึ่งร้อยเม็ดไป
อาจารย์จ้าวไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด จากนั้นจัดแจงหญ้าเซียนให้เขาทันที เขาไม่ใช่ศิษย์คนแรกที่ขอยืมเตาหลอม ศิษย์ที่เพียรพยายามบวกกับมีสมองล้วนทำแบบเดียวกัน
จากนั้นโหยวเสี่ยวโม่ก็ไปยื่นเื่ขอลงเขากับศิษย์พี่อู่อย่างราบรื่น
ตกดึกอันเงียบสงัด โหยวเสี่ยวโม่จัดแจงเอาเตาหลอมที่ยืมมาจากห้องหินออกมา และหยิบหญ้าเซียนสำหรับการหลอมยาหนึ่งร้อยเม็ดออกมาวางบนโต๊ะ
ที่เขายืมเตาหลอมกลับมา เพราะเขา้าใช้เวลา่กลางคืนในการหลอมยา แต่ต่างกันกับที่เขาหลอม่กลางวัน ครั้งนี้เขาจะลองหลอมยาที่ลดความอันตรายลง
เพราะว่าคุณภาพของหญ้าเซียนถูกจำกัด ต่อให้เขามีพร์แค่ไหน ก็ไม่สามารถเพิ่มระดับคุณภาพตัวยาได้ ฉะนั้นจะทำได้แค่ลงมือกับการหลอมร้อน เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้ยา
เมื่อตอนกลางวัน จากที่เขาลองสังเกตพวกศิษย์พี่ ่ระหว่างที่หลอมยา ส่วนมากพวกเขาสามารถหลอมร้อนได้เพียงรอบหรือสองรอบเท่านั้น ไม่สามารถทำได้เยอะกว่านั้น ตัวยาที่หลอมออกมานั้นลดผลข้างเคียงในการใช้ยาได้แค่ร้อยละห้าสิบ แต่ยังคงเหลือผลข้างเคียงในการใช้ยาถึงร้อยละยี่สิบ
เขาจึงมีความคิดที่ว่า ถ้าลองหลอมร้อนอีกสักรอบสอบรอบ จะสามารถลดอันตรายในการใช้ยาลงได้อีกไหมนะ
เขาไม่กล้าทดลอง่กลางวัน เลยกลับมาลองตอนกลางคืน
เมื่อวางเตาหลอมไว้บนโต๊ะ หย่อนหญ้าเซียนสามต้นลงไป แบ่งเป็ ผลเหมยดิน หญ้าเหมันต์ และหญ้าเซียนสามชนิดนี้สามารถหลอมออกมาเป็เม็ดยาที่เรียกว่า ยาผสานลมปราณ
ยาผสานลมปราณนั้นใช้กับนักฝึกตนโดยเฉพาะ
โดยทั่วไปนักฝึกตนที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกจะเป็แค่คนธรรมดา ฉะนั้นหนทางการเป็คนธรรมดาไปสู่นักฝึกตนนั้นต้องผ่านการเปิดเส้นชีพจร และการเปิดเส้นชีพจรนั้นต้องอาศัยพลังปราณจากดินฟ้าอากาศ ถ้าไม่มีผู้เก่งกล้าวิชามาช่วย ก็ต้องพึ่งการซื้อยาผสานลมปราณนี้
ยาผสานลมปราณสามารถรวบรวมพลังลมปราณได้ในระยะสั้น พลังลมปราณนี้สามารถทะลวงเส้นชีพจรของพวกเขา แต่เพราะยาผสานลมปราณเป็แค่ยาเซียนตันขั้นหนึ่ง ปราณที่รวบรวมมาไว้นั้นมีจำกัดและมีอันตรายสูง ฉะนั้นคนทั่วไปถ้าไม่สิ้นไร้หนทาง จะไม่เลือกใช้ยาผสานลมปราณแน่
โหยวเสี่ยวโม่เองก็รู้ถึงจุดนี้ ทั้งยังรู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้ยาผสานลมปราณนี้ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีผลเสียในการใช้สูง
ถ้าเกิดใช้อย่างประมาท จะนำไปสู่การแตกซ่านของพลังปราณในร่างกาย ผลลัพธ์นั้นไม่มีใครแบกรับไหว
แต่ถ้าลดอัตราความเสี่ยงในการใช้ได้ ผลลัพธ์ก็ย่อมแตกต่าง
ยาผสานลมปราณคุณภาพต่ำนั้นกำจัดการดูดพลังปราณ แต่ถ้าใช้หลายๆ เม็ด และความอันตรายต่ำ ตัวเลือกของผู้คนย่อมเปลี่ยนไป ถึงตอนนั้น เขาค่อยขายยาพวกนี้ออกไป น่าจะขายได้ราคาที่ดีกว่านี้
แต่ว่านี่เป็เพียงความคิด ความเป็ไปได้นั้นต้องรอดูผลลัพธ์หลังจากการหลอมยาผสานลมปราณ
โหยวเสี่ยวโม่หย่อนหญ้าเซียนทั้งสามชนิดลงในเตาหลอม เริ่มขั้นตอนการหลอมยา
หญ้าเซียนที่กำลังถูกหลอม และขจัดสิ่งสกปรกออก จากนั้นโยนเข้าหลุมก้นเตาซ้ำไปซ้ำมา จนถึงตอนท้ายความยากยิ่งเพิ่มขึ้น การใช้พลังยิ่งเยอะขึ้น
ตอนกลางวัน โหยวเสี่ยวโม่หลอมยาเม็ดหนึ่งใช้เวลาไม่ถึงห้านาที แต่พอเพิ่มการหลอมร้อนสองรอบ กลับใช้เวลาเพิ่มเป็เท่าตัว
ถึงแม้จะใช้เวลานานไปหน่อย แต่อัตราความเสี่ยงของยาก็ลดลงจริงๆ
ไม่แน่ใจว่าเพราะอัตราความเสี่ยงลดลงหรือเปล่า หรือสีเม็ดยาสีฟ้าอ่อนๆ นั้นมันเข้มขึ้นจากเม็ดก่อนหน้า ถ้าเทียบกันก็จะเห็นความแตกต่างได้
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ค่อยถนัดการแยกอัตราความเสี่ยงสูงต่ำนัก เมื่อหลอมเม็ดแรกเสร็จ ก็เริ่มเม็ดสองต่อ จวบจนคืนนั้นทั้งคืนเขาหลอมได้ทั้งหมดห้าสิบเม็ด ครึ่งหนึ่งในนั้นหลอมร้อนแค่รอบเดียว ซึ่งจะใช้ยื่นกลับไปยังสำนัก
ตอนกลางวันเขาก็ยังคงฝึกฝนที่ห้องหินต่อ หลอมได้ร้อยเม็ดเหมือนเมื่อวาน พอตกกลางคืน ไม่หลับไม่นอน จนท้ายสุดก็ทันหลอมยาชุดแรกได้สำเร็จจนได้
พอวันที่สอง เขาก็เก็บข้าวของเรียบร้อย เตรียมตัวลงเขา