ทั้งสำนักเทียนซิน ในทุกๆ เดือนมีคนลงเขาไม่น้อย ส่วนทัพอื่นๆ โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้ แต่ลำพังทัพพิภพก็มีศิษย์ลงเขาถึงห้าคน
ในห้าคนนี้ สองคนได้รับมอบหมายให้ลงไปซื้อของ อีกสองคนลงไปเยี่ยมที่บ้าน เพราะจากบ้านมาหนึ่งปีแล้ว พวกเขาต่างมีครอบครัว
ในส่วนครอบครัวของ ‘โหยวเสี่ยวโม่’ เขาเคยถามกับศิษย์พี่ที่มาด้วยกัน คำตอบที่ได้คือ เขากำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก แม่ที่ดูแลเขาจนถึงเจ็ดขวบได้จากไปเพราะความลำบากตรากตรำ ต่อมาเขาก็พักอยู่กับญาติซึ่งมีทั้งท่านลุงและท่านน้าหญิง แต่ก่อนที่จะย้ายมายังสำนักเทียนซินได้ขออาศัยกับท่านน้าหญิง
ครอบครัวท่านน้าหญิงอยู่ในหมู่บ้านดอกท้อ เป็หมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งมีชื่อเสียงเื่ดอกท้อ
ตอนอายุสิบเจ็ด ่ที่ครอบครัวท่านน้ากำลังหาเื่ไล่เขาออกจากบ้านนั้น สำนักเทียนซินก็ประกาศรับศิษย์ที่หมู่บ้านดอกท้อพอดี
ประวัติช่างเรียบง่าย โหยวเสี่ยวโม่เดาได้เลยว่า ครอบครัวท่านน้าคงไม่มีใครชอบขี้หน้าเขาแน่นอน
แต่พอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างโหยวเสี่ยวโม่กับครอบครัวท่านน้าไม่ดีเท่าไรนัก เขาก็โล่งอก
สายสัมพันธ์ไม่ดีก็เท่ากับว่าไม่มีใครยินดีถ้าเขากลับไป อีกอย่างก็ไม่ต้องเสี่ยงความแตกเื่ที่ิญญาไม่ใช่คนเดียวกัน อีกทั้งถ้ากลับไปเขาก็ไม่รู้จะรับมือกับครอบครัวนี้อย่างไรอยู่ดี
ที่สำคัญคือ หมู่บ้านดอกท้ออยู่ที่ไหน ครอบครัวท่านน้าหน้าตาอย่างไร เขายังไม่รู้เลย หากกลับไปแล้วเจอครอบครัวท่านน้าแต่ดันจำไม่ได้ ตรงนั้นที่อันตรายของแท้
ศิษย์ทัพพิภพที่ลงเขามีเพียงห้าคน อาจารย์ขงเหวินกลัวว่าอาจจะเจออันตราย จึงได้ขอร้องอาจารย์โม่กู่แห่งทัพ์มาช่วยดูแล
อาจารย์โม่กู่เองได้พาศิษย์ลงไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ ในกลุ่มนี้เขามีตำแหน่งสูงสุด การที่เขาช่วยดูแลศิษย์ทั้งหมดถือเป็เื่ปกติ เพราะต่างเป็ศิษย์สำนักเทียนซินทั้งนั้น
นอกจากศิษย์แขนงโอสถแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ยังได้ยินว่าศิษย์แขนงการต่อสู้ก็จะไปด้วย
ศิษย์แขนงโอสถถึงแม้มีความสามารถสูงในการหลอมยา แต่ความสามารถด้านการต่อสู้ต่ำ ฉะนั้นทุกครั้งที่มีนักหลอมโอสถระดับสูงลงเขาจะต้องมีศิษย์แขนงการต่อสู้อารักขาด้วย และอาจารย์ที่ลงเขาครั้งนี้ก็คืออาจารย์โม่กู่
โหยวเสี่ยวโม่กับศิษย์คนอื่นรออยู่ตรงตีนเขาประมาณครึ่งชั่วยามกว่าพรรคพวกอาจารย์โม่กู่จะมา ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาแต่ไกล ถึงจะเคืองแต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
เทียบกับบรรยากาศในกลุ่มพวกเขาห้าคน อีกกลุ่มนั้นช่างครึกครื้นยิ่งนัก หนุ่มสาวพากันพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก อย่างกับว่าการลงเขาครั้งนี้เป็การท่องเที่ยว
ทว่าในกลุ่มนั้นคนที่เป็จุดสังเกตมากที่สุดไม่ใช่อาจารย์โม่กู่ แต่เป็หญิงสาวที่มีศิษย์หนุ่มๆ รายล้อมอยู่ตรงกลาง
โหยวเสี่ยวโม่เห็นจึงสบถ พรหมลิขิตนี่ช่างน่าฉงนนัก
หญิงสาวก็คือศิษย์น้องเล็กที่เขาพบสองครั้งก่อนหน้านี้ที่หอคัมภีร์ ก่อนนี้เขาก็เดาไว้ว่าน่าจะเป็คนของทัพ์ แล้วก็ใช่จริงเสียด้วย แต่ครั้งนี้ไม่เห็นศิษย์พี่ใหญ่ท่านนั้น
หลังรวมตัวกัน อาจารย์โม่กู่ไม่ได้กล่าวอะไร และไม่ได้พูดถึงเื่มาสาย คนทั้งกลุ่มก็เริ่มลงเขา
สำนักเทียนซินตั้งอยู่ระหว่างแนวยอดเขาชิงเยา ว่ากันว่าผู้ริเริ่มของสำนักเทียนซินได้สร้างขึ้นมาให้เป็ฐานที่ตั้งของสำนักเทียนซิน ต่อมาสำนักเทียนซินได้กลายมาเป็สำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนหลงเสียง และมีพื้นที่กว้างขวางแผ่ออกไป ฉะนั้นจึงมีเขาชิงเยาเป็ใจกลาง พื้นที่นับร้อยลี้โดยรอบล้วนเป็ของสำนักเทียนซิน
จุดหมายของพวกเขาในครั้งนี้คือตัวเมืองที่ไกลออกไปร้อยลี้ เป็เมืองที่ใหญ่และใกล้กับสำนักที่สุด ในทุกเดือนสำนักเทียนซินจะมาจับจ่ายซื้อของที่เมืองนี้
เนื่องด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร พอลงจากเขา ก็ต้องใช้นกขนส่งเป็ยานพาหนะ
นกขนส่งของสำนักเทียนซินมีหนึ่งร้อยตัว ถูกฝึกมาเพื่อการขนส่งโดยเฉพาะ รูปร่างสูงราวห้าถึงสิบเมตร ประเด็นหลักคือใช้บริการแขนงโอสถ เพราะเหล่านักหลอมโอสถนั้นไม่เหมือนนักฝึกตนที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็สามารถเดินเหินกลางอากาศได้
นกขนส่งบางตัวนั่งได้ห้าคน พอดีกับพวกโหยวเสี่ยว จึงถูกจัดแจงให้นั่งด้วยกัน บรรยากาศเงียบงัน ช่างแตกต่างกับพวกข้างหน้าโดยสิ้นเชิง
ความเร็วของนกขนส่งนั้นไวยิ่งนัก ระยะทางร้อยลี้ใช้เวลาบินแค่ห้านาที
หลังจากนั้นนกขนส่งสามตัวก็ร่อนลงยืนผืนที่ว่าง โหยวเสี่ยวโม่สังเกตพื้นลานกว้างโดยรอบเป็เรือนหญ้าฟางเตี้ยๆ และมีนกขนส่งส่วนหนึ่งถูกเลี้ยงอยู่ด้านใน
ดูก็รู้เลยว่าน่าจะเป็จุดรวมพลที่สำนักเทียนซินสร้างไว้เป็พิเศษ
เมื่อะโลงจากหลังนกขนส่ง โหยวเสี่ยวโม่ก็เดินตามคนกลุ่มใหญ่ เบื้องหน้ามีใครบางคนเดินมาที่ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ
เขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็คนที่เขาแอบได้ยินความลับ ศิษย์พี่ใหญ่ ‘เซียวเกอเก่อ’นั่นเอง หลังจากนั้นเขาพึ่งได้รู้ว่านามเต็มของเขาที่ชื่อหลินเซียว 林肖 ตัวอักษร เซียว นั้นมาจากเซียวเซี่ยง 肖像 ที่แปลว่ารูปลักษณ์ ไม่ใช่มาจากอวิ๋นเซียว 云霄 ที่แปลว่าก้อนเมฆ (ตัวเขียนคนละแบบ) และเป็ศิษย์พี่ใหญ่แขนงการต่อสู้ ทั้งยังเป็ศิษย์เอกของเ้าสำนักอีกด้วย