ขณะที่โหยวเสี่ยวโม่กำลังส่งโอสถทิพย์นั้น ทำเอาศิษย์พี่ที่จดบันทึกตะลึงงัน
โอสถทิพย์ขั้นหนึ่งจำนวนสี่สิบเม็ด สำหรับคนหนึ่งคนนับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว ทว่าเป็คุณภาพระดับล่าง จึงส่งแค่ครึ่งเดียวก็พอ อีกครึ่งโหยวเสี่ยวโม่สามารถเก็บไว้ได้
สำนักเทียนซินไม่ได้ขาดแคลนโอสถทิพย์ขั้นหนึ่ง เพราะนำไปขายก็คงได้ไม่เท่าไร
วันนี้ทั้งวัน โหยวเสี่ยวโม่ได้ยายี่สิบเม็ดกับอีกสิบแต้มความดี
โอสถทิพย์ขั้นหนึ่งสำหรับสำนักเทียนซินไม่มีค่ามากนัก แต่กับโหยวเสี่ยวโม่นั้นมันเป็โอกาสอีกทางเลยก็ว่าได้
หลังจากเมื่อวานที่ค้นพบว่าในห้วงเวลาหยดน้ำตาสีฟ้านั้นสามารถปลูกหญ้าเซียนได้ เขาอยากเพาะหญ้าเซียนขั้นสอง แต่ต้องมีเมล็ดพันธุ์ก่อน
ทัพพิภพถึงจะมีสะสมเมล็ดพันธุ์หลากชนิด แต่ตอนนี้เขาเป็เพียงศิษย์ฝึกหัดเท่านั้น ถ้าเกิดไปขอจะเกิดเป็ประเด็นได้
โหยวเสี่ยวโม่ไม่อยากเสี่ยง ถึงต้องลงเขาไปซื้อเอง แต่ถ้าจะซื้อเองก็ต้องใช้สกุลเงินของดินแดนหลงเสียง เขาเคยค้นข้าวของของ ‘โหยวเสี่ยวโม่’ ก่อนหน้านี้ พบว่าทรัพย์สินทั้งหมดก็มีแค่เสื้อผ้าสองชุดเท่านั้น ทำเอาเขาเครียดหนัก
เมื่อไม่มีเงินก็ต้องหาเงิน เมื่อวานยังครุ่นคิดมาตลอด ไม่คิดว่าวันนี้ก็เจอหนทางแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่จึงตัดสินใจขอลงเขาในอีกสองวัน
ตกกลางคืน โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ไปแบกน้ำมาอาบที่ห้อง แต่เข้าไปอาบที่ทะเลสาบในห้วงเวลา ทั้งไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาเห็น เพราะคนที่ไม่อาบน้ำสองเดือนก็มีเยอะแยะ
เมื่อเข้าไปในห้วงเวลา เขาไม่ได้รีบอาบน้ำทันที เมื่อวานเขาเหนื่อยหอบกับการถอนหญ้าไปสิบตารางเมตร เป็พื้นที่กว้าง แต่หญ้าเซียนมีหลากหลายชนิด อีกหน่อยคงต้องใช้พื้นที่เยอะกว่านี้ จากนั้นโหยวเสี่ยวโม่ลงมือถอนหญ้าครั้งใหญ่
เมื่อจัดการถอนหญ้าจนได้พื้นที่โล่งกว้างผืนใหญ่ ก็อาบน้ำล้างตัว
วันถัดมา โหยวเสี่ยวโม่ไปห้องหินเหมือนเดิม
ศิษย์พี่ทั้งสี่ไปถึงก่อน สายตาที่มองมาไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยวาจาน่าเกลียดอะไร เพราะศิษย์พี่ใหญ่เองก็มาถึงพอดี ช้ากว่าโหยวเสี่ยวโม่ก้าวเดียว
เมื่อเห็นโหยวเสี่ยวโม่ ใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก เมื่อวานข้าได้ฟังจากศิษย์น้องอู่แล้ว ทำได้ไม่เลว ไม่เสียแรงที่ศิษย์พี่ใหญ่เฝ้าดูเ้า”
คำพูดที่โพล่งออกมา ความดีใจของโหยวเสี่ยวโม่ที่ได้เห็นเขาก็ลดลงไปครึ่งนึง นี่ก็อีกคนที่เพิ่มความชิงชังให้เขาสินะ เขารับรู้ถึงบรรยากาศรอบข้างที่อึมครึมหลังศิษย์พี่ใหญ่พูดจบ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีเื่ขอร้องท่านหน่อย ไม่ทราบว่าท่านพอมีเวลาหรือไม่” โหยวเสี่ยวโม่พยายามไม่ใส่ใจคนที่เหลือ
“เื่อะไรรึ” ฟางเฉินเล่อถาม
“ข้าอยากจะลงเขาในอีกสองวัน ไม่ทราบว่าจะอนุญาตหรือไม่”
ฟางเฉินเล่อนึกว่าเื่อะไรเสียอีก ยิ้มพร้อมเอ่ย “ที่แท้ก็เื่นี้นี่เอง สบายมาก ถ้าเ้าอยากลงเขา แค่ไปแจ้งเื่กับศิษย์พี่อู่ก็พอแล้ว เขารับผิดชอบดูแลเื่นี้ ทว่าเ้าพึ่งเข้ามาได้ไม่กี่วัน อย่างมากคงลงเขาได้แค่วันเดียว และต้องรีบกลับมา”
โหยวเสี่ยวโม่ไม่คิดว่าจะเป็คนใกล้ตัว รู้สึกยินดีปรีดาพร้อมกล่าวขอบคุณ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ยังมีอีกเื่ ข้าอยากจะยืมเตาหลอมกลับไปฝึกที่ห้องจะได้หรือไม่” โหยวเสี่ยวโม่จ้องไปยังเตาหลอมชั้นหนึ่งสายตาเป็ประกาย ถ้าเขามีเงิน เขาตั้งใจจะซื้อเป็ของตัวเองสักอันตอนลงเขา
ฟางเฉินเล่อตะลึงพลันผงกหัว “ได้สิ”
เตาหลอมชั้นหนึ่งไม่ใช่ของมีค่าอะไร จะหาซื้อข้างนอกย่อมหาได้ จะว่าไปโหยวเสี่ยวโม่ถึงขั้นร้องขอที่จะฝึกฝนเพิ่มเติม เขาออกจะยินดีเสียมากกว่า เพราะว่าเขาฝึกมากับมือ
เมื่อได้รับคำตอบ โหยวเสี่ยวโม่อารมณ์ดีไม่น้อย สถิติความสำเร็จในการหลอมยานั้นยังสูงอยู่ เพียงแต่คุณภาพของยาไม่ได้ดีขึ้น
ถึงแม้หญ้าเซียนที่พวกเขาได้รับจากเรือนหญ้าเซียนจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ถ้าหลอมร้อนหลายรอบ แม้คุณภาพจะไม่ได้ดีขึ้น แต่อันตรายในการใช้ตัวยาก็ลดลงไม่น้อยเช่นกัน
ทว่าโหยวเสี่ยวโม่เกร็งว่าจะเด่นเกินหน้าเกินตา ถึงได้หลอมร้อนแค่รอบเดียว แต่บางทีก็แอบหลอมร้อนดูหลายครั้ง เม็ดยาที่ได้นั้น สีไม่แตกต่างเท่าไร ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะแยกไม่ออก
จากนั้น เวลาก็ค่อยๆ ผ่านเลยไปขณะที่เขาหลอมยาซ้ำแล้วซ้ำแล้ว
เมื่อศิษย์พี่คนสุดท้ายออกไปจากห้อง โอสถทิพย์เม็ดสุดท้ายของโหยวเสี่ยวโม่ก็หลอมเสร็จพอดี
เขาเช็ดคราบเหงื่อและลองนับจำนวน ทั้งวันเขาหลอมได้ตัวยาทั้งหมดเก้าสิบเม็ด เยอะกว่าเมื่อวานเป็เท่าตัว คงเป็เพราะฝึกจนเริ่มชิน ความเร็วถึงได้เพิ่มขึ้น
โหยวเสี่ยวโม่เก็บข้าวของ แล้วเดินไปหาอาจารย์จ้าว
อาจารย์จ้าวมีนามว่า จ้าวเจิน มีหน้าที่ดูแลจดบันทึกการรับแลกหญ้าเซียนและโอสถทิพย์ทั้งหมดของทัพพิภพ เมื่อวานโหยวเสี่ยวโม่ก็ไปยื่นยากับเขาเช่นกัน
จ้าวเจินเองก็มีภาพจำเกี่ยวกับโหยวเสี่ยวโม่ เป็แค่ศิษย์ฝึกหัด เมื่อวานส่งโอสถทิพย์ทั้งหมดยี่สิบเม็ด สถิติความสำเร็จในการหลอมยานับว่าเต็มร้อย ในบันทึกทั้งทัพพิภพที่ผ่านมา มีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ แน่นอนว่าสถิติที่พูดถึงนี้หมายถึงการหลอมยาครั้งแรกของเหล่าศิษย์ทัพพิภพ