บทที่ 6:ครีมหยกขาว
คำว่า "ตกลง" ของเถ้าแก่เฉินเปรียบเสมือนเสียงสัญญาณที่ทำให้กลไกของหอโอสถเหรินเหอเริ่มเคลื่อนไหว เขามิได้รีรอแม้แต่น้อย หันไปสั่งการอาฝูที่ยืนรออยู่หน้าห้องด้วยความกระสับกระส่ายทันที "อาฝู! ไปแจ้งให้ทุกคนทราบว่าข้าจะขอใช้ห้องปรุงยาชั้นในเป็การส่วนตัว ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนเด็ดขาด! แล้วไปจัดเตรียมสมุนไพรตามรายการนี้มาอย่างละหนึ่งส่วน เอาชนิดที่ดีที่สุดในร้านมา!"
อาฝูรับกระดาษสูตรยาไป ดวงตาของเขายังคงฉายแววไม่เชื่อถืออย่างเต็มที่ แต่เมื่อเห็นสายตาอันแน่วแน่ของเถ้าแก่ผู้เป็นาย เขาก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา ได้แต่รับคำสั่งแล้วรีบวิ่งออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว
เถ้าแก่เฉินนำซูเยว่เดินลึกเข้าไปยังส่วนที่สงวนไว้ที่สุดของร้าน ผ่านชั้นวางสมุนไพรล้ำค่ามากมายที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานหนึ่ง
"ที่นี่คือห้องปรุงยาสำหรับยาตำรับสำคัญของตระกูลข้า" เขาอธิบายขณะไขกุญแจ "ปกติแล้ว แม้แต่ลูกชายของข้าก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาตามลำพัง วันนี้ข้าถือว่าได้เปิดประตูต้อนรับแม่นางในฐานะคู่ค้าคนสำคัญ"
เมื่อประตูเปิดออก เผยให้เห็นห้องที่สะอาดสะอ้านและเป็ระเบียบเรียบร้อยอย่างยิ่ง อากาศภายในถ่ายเทได้ดีผ่านหน้าต่างบานเล็กที่อยู่สูงขึ้นไป บนโต๊ะไม้ตัวยาวกลางห้องจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ไว้อย่างครบครัน ั้แ่โกร่งบดยาหลากหลายขนาดที่ทำจากศิลาและกระเบื้อง ตาชั่งทองเหลืองขนาดเล็กสำหรับชั่งตัวยาที่้าความแม่นยำสูงสุด ไปจนถึงเตาหลุมขนาดเล็กที่ควบคุมความร้อนได้ ตะแกรงกรองที่ทำจากผ้าไหมเนื้อละเอียด และภาชนะดินเผาเคลือบเนื้อดีอีกนับสิบใบ ทุกชิ้นล้วนอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานและบ่งบอกถึงความพิถีพิถันของผู้เป็เ้าของ
ไม่นานนัก อาฝูก็นำถาดไม้ที่บรรจุสมุนไพรต่างๆ ตามสูตรเข้ามาวางบนโต๊ะ ท่าทีของเขาเปลี่ยนจากเดิมเล็กน้อย มีความเคารพเจือปนอยู่ในแววตามากขึ้น อาจเพราะคำสั่งที่เด็ดขาดของเถ้าแก่นั่นเอง
ซูเยว่เดินเข้าไปที่โต๊ะ นางไม่ได้เริ่มลงมือในทันที แต่กลับทำในสิ่งที่ทำให้เถ้าแก่เฉินต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ นางค่อยๆ หยิบสมุนไพรแต่ละชนิดขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด
"โสมไป่จื่อต้นนี้ยอดเยี่ยมมาก" นางเอ่ยขึ้นเรียบๆ ขณะใช้นิ้วลูบไปตามผิวของรากสมุนไพรแห้ง "เก็บเกี่ยวใน่ปลายฤดูใบไม้ร่วงพอดี สังเกตได้จากกลิ่นหอมลึกและความแน่นของเนื้อใน สรรพคุณทางยาจึงอยู่ในจุดสูงสุด"
จากนั้นนางก็หยิบเปลือกรากโบตั๋นขึ้นมาดมใกล้ๆ "ส่วนตานผีชิ้นนี้ก็ไร้ที่ติ แห้งกำลังดี สีสันถูกต้อง แสดงว่าผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี"
การกระทำและคำพูดของนางไม่ต่างจากเภสัชกรผู้ช่ำชองที่กำลังตรวจสอบวัตถุดิบ ความรู้ที่นางแสดงออกมานั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็เพียงการท่องจำมาจากตำรา เถ้าแก่เฉินพยักหน้าช้าๆ ยอมรับในใจว่าเด็กสาวผู้นี้มีความรู้ที่ถ่องแท้จริงๆ
เมื่อตรวจสอบจนพอใจแล้ว ซูเยว่ก็หันไปทางเถ้าแก่เฉิน กิริยาท่าทีของนางแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความอ่อนน้อมแบบคุณหนูเลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยรัศมีของผู้ที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคง
"ท่านเถ้าแก่ ข้าต้องขอยืมใช้โกร่งกระเบื้องใบเล็กที่สุดของท่าน กับครกทองเหลือง"
"เหตุใดต้องใช้สองอย่าง" เถ้าแก่เฉินอดถามไม่ได้
"สมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุง เช่น โสมไป่จื่อ ต้องใช้โกร่งกระเบื้องบดอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้สารสำคัญสลายไปกับความร้อนจากการเสียดสี ส่วนสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการสลายลิ่มเือย่างเมล็ดท้อ ต้องใช้ครกทองเหลืองตำอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงเพื่อแตกโครงสร้างของมันและปลดปล่อยน้ำมันที่อยู่ภายในออกมาให้ได้มากที่สุดเ้าค่ะ" นางอธิบายอย่างคล่องแคล่ว
เถ้าแก่เฉินถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง หลักการที่นางอธิบายนั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แต่เป็รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไป
ซูเยว่ไม่รอช้า นางเริ่มต้นกระบวนการด้วยการนำเมล็ดตงกุยจื่อและแก่นในของเมล็ดท้อไปคั่วในกระทะทองเหลืองด้วยไฟอ่อนๆ อย่างระมัดระวัง นางไม่ได้คั่วจนมันเปลี่ยนสี แต่คั่วเพียงเพื่อให้เกิดกลิ่นหอมจางๆ และน้ำมันภายในเริ่มตื่นตัว จากนั้นจึงนำไปตำในครกทองเหลืองอย่างรวดเร็วจนกลายเป็ผงละเอียด
ต่อมานางจึงนำสมุนไพรส่วนที่เหลือมาบดในโกร่งกระเบื้องอย่างช้าๆ และนุ่มนวล ทุกการกระทำของนางเปี่ยมไปด้วยสมาธิและความมั่นใจ ราวกับว่านางได้ทำสิ่งนี้มาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง
"สำหรับน้ำค้างบนใบบัว..." ซูเยว่เอ่ยขึ้นขณะทำงาน "ข้าทราบดีว่าคงหามาไม่ได้ในทันที แต่สำหรับการทดลองในวันนี้ ข้าขอเพียงน้ำแร่จากบ่อลึกที่สะอาดที่สุด นำไปแช่เย็นจัดจนอุณหภูมิใกล้เคียงกับน้ำค้างยามเช้าก็พอจะใช้ทดแทนได้ แม้สรรพคุณจะลดทอนไปบ้าง แต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ผลลัพธ์เบื้องต้นแล้วเ้าค่ะ"
คำพูดของนางแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการวางแผนล่วงหน้า ทำให้เถ้าแก่เฉินยิ่งทวีความชื่นชม เขารีบสั่งให้อาฝูไปจัดการนำน้ำแร่แช่เย็นมาให้ทันที
เมื่อส่วนผสมที่เป็ผงทั้งหมดถูกเตรียมพร้อมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด นั่นคือการหลอมรวมส่วนผสมทั้งหมดให้กลายเป็เนื้อครีม
ซูเยว่เลือกใช้ไขมันที่สกัดจากรกแกะบริสุทธิ์เป็ส่วนผสมพื้นฐาน ซึ่งเป็วัตถุดิบราคาแพงที่ปกติจะใช้กับเครื่องสำอางชั้นสูงสำหรับนางในวังเท่านั้น นางนำไขมันรกแกะใส่ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบ แล้วนำไปวางซ้อนบนหม้อดินเผาอีกใบที่มีน้ำอยู่ด้านล่าง หรือที่เรียกว่าวิธีการตุ๋นสองชั้น เพื่อควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงจนเกินไป
นางใช้แท่งแก้วเล็กๆ คนไขมันอย่างช้าๆ จนมันละลายกลายเป็ของเหลวใสสีทองอ่อน จากนั้นจึงค่อยๆ โปรยผงสมุนไพรที่เตรียมไว้ลงไปทีละน้อย พร้อมกับคนให้เข้ากันอย่างต่อเนื่อง
"ลำดับของการใส่สมุนไพรก็มีความสำคัญ" นางอธิบายราวกับเป็อาจารย์ที่กำลังสอนลูกศิษย์ "เราต้องเริ่มจากสมุนไพรที่ทนความร้อนได้ดีที่สุดก่อน เพื่อให้สรรพคุณของมันซึมซาบเข้ากับไขมันได้อย่างเต็มที่"
กลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์ของสมุนไพรแต่ละชนิดเริ่มผสมผสานเข้าด้วยกัน จากกลิ่นยาที่รุนแรงในตอนแรก ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็กลิ่นหอมละมุนที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสะอาดสะอ้าน
เถ้าแก่เฉินยืนมองทุกขั้นตอนอย่างไม่วางตา จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เขาไม่ได้เป็เพียงผู้สังเกตการณ์อีกต่อไป แต่กำลังซึมซับความรู้ใหม่ๆ ที่เด็กสาวตรงหน้ากำลังถ่ายทอดให้โดยไม่รู้ตัว
"เหตุใดจึงต้องเก็บโสมไป่จื่อไว้ใส่เป็ลำดับสุดท้าย" เขายอมวางทิฐิของปรมาจารย์ลงแล้วเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
ซูเยว่เหลือบมองเขาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ "เพราะสารประกอบในโสมไป่จื่อที่ช่วยเื่ความขาวกระจ่างใสนั้นสลายตัวได้ง่ายเมื่อโดนความร้อนเ้าค่ะ การใส่มันลงไปเป็ลำดับสุดท้ายในขณะที่ส่วนผสมเริ่มเย็นตัวลง จะช่วยรักษาสรรพคุณของมันไว้ได้มากที่สุด"
คำตอบนั้นเปรียบเสมือนกุญแจที่ไขปริศนาที่เถ้าแก่เฉินเคยสงสัยมานาน เขามักจะพบว่ายาขี้ผึ้งที่ใช้โสมไป่จื่อเป็ส่วนผสมมักจะให้ผลลัพธ์ไม่คงที่ บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเป็เพราะเหตุใด
ในที่สุด เมื่อส่วนผสมทั้งหมดหลอมรวมเป็เนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ซูเยว่ก็ยกลงจากเตา ของเหลวในถ้วยค่อยๆ เย็นตัวลง และแปรสภาพเป็ครีมเนื้อเนียนละเอียด สีของมันไม่ใช่สีขาวขุ่นหรือสีน้ำตาลเหมือนขี้ผึ้งทั่วไป แต่เป็สีขาวอมเขียวอ่อนๆ ราวกับเนื้อหยกชั้นดี เมื่อต้องแสงไฟก็เกิดประกายแวววาวเล็กน้อย ดูงดงามและล้ำค่ายิ่งนัก
นางบรรจงตักครีมที่ยังอุ่นๆ นั้นลงในตลับกระเบื้องเคลือบสีขาวสะอาดที่เตรียมไว้ ก่อนจะปิดฝาแล้วส่งให้เถ้าแก่เฉิน
"นี่คือ 'หยกขาวเลือนรอย' ฉบับทดลองเ้าค่ะ"
เถ้าแก่เฉินรับตลับนั้นมาด้วยสองมือ ััได้ถึงความอุ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เขารู้สึกราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในมือไม่ใช่แค่ยา แต่เป็ผลงานศิลปะชิ้นเอก เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นก็ลอยขึ้นมาแตะจมูก ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด
"แล้ว... เราจะพิสูจน์มันได้อย่างไร" เขาเอ่ยถาม แม้ว่าในใจจะเชื่อมั่นไปกว่าเก้าส่วนแล้วก็ตาม
ซูเยว่เหลือบมองไปที่แขนขวาของเถ้าแก่เฉิน ซึ่งมีรอยแผลเป็สีน้ำตาลจางๆ ยาวประมาณสองนิ้วปรากฏอยู่ "ข้าสังเกตเห็นว่าท่านมีรอยแผลเป็เก่าอยู่ ไม่ทราบว่าพอจะให้ข้าใช้เป็กรณีทดสอบได้หรือไม่เ้าคะ"
เถ้าแก่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ "เ้าช่างสังเกตนัก แผลนี่ข้าได้มาั้แ่สมัยยังเป็เด็กหนุ่ม ซนจนตกต้นไม้ ดีที่แค่แขนเป็แผล ไม่ได้คอหักตายไปเสียก่อน" เขาพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นั้นอย่างชัดเจน "มันอยู่กับข้ามาสามสิบกว่าปีแล้ว หากยาของเ้าใช้ได้ผลกับแผลนี้จริง ก็ถือว่าเ้าคือหมอเทวดาตัวจริง"
ซูเยว่ไม่ได้พูดอะไร นางใช้นิ้วนางข้างขวาที่สะอาดแตะเนื้อครีมขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แล้วบรรจงทาลงบนรอยแผลเป็ของเถ้าแก่เฉินอย่างแ่เบา
"วิธีการใช้คือทาบางๆ วันละสองครั้งในยามเช้าและก่อนนอน นวดเบาๆ จนเนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด" นางอธิบายขณะนวดครีม "ภายในสามวันจะเริ่มเห็นว่ารอยแผลนุ่มลงและสีจางลงเล็กน้อย และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายในครึ่งเดือน"
สิ่งที่ทำให้เถ้าแก่เฉินประหลาดใจที่สุดคือััแรก เนื้อครีมนั้นเย็นสบายและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ทิ้งความมันหรือความเหนียวเหนอะหนะไว้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งแตกต่างจากยาขี้ผึ้งทุกชนิดที่เขาเคยรู้จักมาโดยสิ้นเชิง เพียงแค่ประสบการณ์ในการใช้ก็ถือว่าเหนือกว่าผลิตภัณฑ์อื่นในท้องตลาดไปหลายขุมแล้ว
เขาจ้องมองรอยแผลของตนที่เพิ่งถูกทาครีมไปสลับกับมองใบหน้าของเด็กสาวที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้น ความอัศจรรย์ใจ ความทึ่ง และความตื่นเต้นฉายชัดออกมาในแววตา
"ไม่ต้องรอถึงสามวันหรอก" เถ้าแก่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเด็ดขาด "แค่ััแรกข้าก็รู้แล้วว่านี่คือของวิเศษอย่างแท้จริง! แม่นางน้อย... ไม่สิ... คุณหนูซู การร่วมมือของเรา เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้! เรามาหารือเื่รายละเอียดการผลิตและการแบ่งผลกำไรกันอย่างเป็ทางการเถิด!"
ข้อพิสูจน์ได้สิ้นสุดลงแล้ว พันธสัญญาทางธุรกิจได้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็ทางการ ประตูบานแรกสู่การเปลี่ยนแปลงโชคชะตา...ได้ถูกเปิดออกแล้วโดยตัวของซูเยว่เอง.!