เฉินเหยียนกล่าวขอบคุณที่หั่วอี้ปกป้องเขาและกลับไปที่เรือนมู่หยวนก่อน
หั่วอี้เห็นว่าเื่ที่ควรสั่งความในจวนก็สั่งความไปหมดแล้วจึงไม่มีแก่ใจอยู่ต่ออีก หลังจากกำชับนายกองเฉินและพ่อบ้านหวังไปอีกสองสามคำ เขาก็เรียกองครักษ์สองนายออกมาให้พวกเขาไปเตรียมรถม้าแล้วจูงมือหลิ่วจิ้งเดินไปทางประตูจวน
ไม่ต้องถามว่าอาหนูโกรธเกรี้ยวในใจเพียงใดความอ่อนโยนของหั่วอี้ที่มีต่อนางเมื่อครู่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจนางอยู่เลยพริบตาเดียวหั่วอี้ก็ลืมนางและพาหลิ่วจิ้งออกไปนอกจวนเสียแล้วหนำซ้ำจากที่พวกเขาพูดจากันนางก็ยังได้รู้ว่าที่แท้เพราะหั่วอี้จะพาหลิ่วจิ้งไปชมดอกหอมหมื่นลี้ แล้วจะไม่ให้อาหนูเจ็บใจได้อย่างไร
นางจึงะโออกไปอย่างคับแค้นใจว่า “ท่านแม่ทัพพาอาหนูไปด้วยได้หรือไม่เ้าคะ อาหนูไม่ได้ออกจากจวนมานานแล้ว”
เท้าของหั่วอี้กำลังก้าวไปข้างหน้ากลับหยุดชะงักเขาหยุดเดินแล้วหันมามองอาหนู
อาหนูดีใจเหลือเกินที่หั่วอี้หยุดเดินแล้ว นางรีบเดินไปตรงหน้าเขาทำท่าน่าสงสารพลางมองหั่วอี้ด้วยสายตาเฝ้ารอ
อาหนูไม่ได้เห็นหน้าหั่วอี้มาหลายวันแล้ว ในเมื่อวันนี้ได้มาพบนางจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อให้หั่วอี้ใจอ่อนกับนางนางไม่อาจอยู่โดยไม่ได้รับความรักใคร่จากหั่วอี้เช่นนี้ต่อไปได้อีก
เมื่อครู่หั่วอี้กับหลิ่วจิ้งเดินขึ้นบันไดไปสองสามขั้นแล้ว หั่วอี้หยุดเดินเพราะอาหนูร้องเรียกตอนนี้อาหนูจึงอยู่ข้างล่าง ส่วนเขาอยู่ข้างบนมองลงมาหาอาหนู
เมื่อรู้ว่าวันนี้จะได้พบกับหั่วอี้อาหนูจึงตัดสินใจว่าจะไม่ทำตัวไร้เหตุผลให้เสียเื่อีก จะพูดจาดีๆขอความเห็นใจจากหั่วอี้ หวังว่าจะสามารถทำให้หั่วอี้นึกถึงความทรงจำเล็กๆ น้อยๆที่พวกเขาเคยมีต่อกันครั้งยังหวานชื่นแต่หั่วอี้กลับจะพาหลิ่วจิ้งออกไปนอกจวนโดยไม่ให้โอกาสนางบอกกล่าวความในใจแต่อย่างใด
ทันใดนั้นความปวดร้าวน้อยใจก็ประเดประดังเข้ามาในหัวใจนางจนล้นเอ่อมาที่ดวงตาเป็ประกายคู่นั้น นางคอยกระพริบตาอยู่ตลอด น้ำตาจึงไหลพรากๆออกมาไม่ยอมหยุดเหมือนแม่น้ำหลาก
เดิมทีหั่วอี้ก็ยืนอยู่สูงกว่า ห่างจากอาหนูไปอีกสองสามก้าวเมื่อเห็นว่าอาหนูร้องไห้อยู่ที่ตีนบันได ซ้ำยังอยู่ต่อหน้าธารกำนัลด้วยเขาจึงเกิดความสงสารขึ้นมา แต่กลับไม่ยอมให้อาหนูไปกับพวกเขาด้วย
เขานิ่งคิดสักพัก ก่อนเอ่ยกับอาหนูอย่างอ่อนโยนว่า “อาหนูข้าและฮูหยินยังต้องไปส่งเทียบเชิญให้ผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายท่านจึงไม่สะดวกจะพาเ้าไปด้วย เ้าคิดดูสิ ข้าพาฮูหยินไปด้วยยังพอสมเหตุสมผลแต่หากพาเ้าไปด้วย เ้าคิดว่าท่านขุนนางผู้ใหญ่จะคิดเห็นเช่นใดพวกเขาจะต้องบอกว่าข้าออกมาเที่ยวหรือว่ามาส่งเทียบเชิญให้พวกเขากันแน่ใช่หรือไม่วันนี้แดดแรงนัก เ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด มีเวลาข้าจะไปเยี่ยมเ้า”
หั่วอี้พูดกับอาหนูเสร็จก็หันไปบอกจื่อเซียวว่า “เ้าประคองนายเ้ากลับไปพักและคอยปรนนิบัติให้ดีๆด้วย”
“เ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ” จื่อเซียวตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วเดินเข้ามาประคองอาหนูจะพานางกลับไป
แต่อาหนูยังคงจับจ้องหั่วอี้ไม่วางตาเท้านางเหมือนยึดติดอยู่กับพื้นไม่ยอมขยับ จื่อเซียวจึงได้แต่หยุดยืนรออยู่ข้างๆ
“มีแต่นางจิ้งจอกทั้งนั้น”นางจ้าวเห็นอาหนูใช้ลูกไม้นี้ก็อดเอ่ยปากด่าเบาๆ มิได้ ดีที่นางอยู่ห่างจากพวกของหั่วอี้ค่อนข้างไกลนอกจากเหมยเซียงที่อยู่ข้างๆ นางแล้วก็กลับไม่มีใครได้ยิน
หั่วอี้มองอาหนูด้วยแววตาสับสนอีกหลายหน สัมพันธ์สามีภรรยาของเขากับอาหนูไม่ใช่แค่หนึ่งร้อยวันเขาย่อมมีความผูกพันกับนาง ทว่านับั้แ่มีหลิ่วจิ้งเขาก็ไม่สนใจเื่เริงรมย์เช่นก่อนนี้อีกแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเบื่อพวกนางแล้ว สตรีที่เคียงข้างเขามานานย่อมมีสิ่งที่เหนือกว่าคนทั่วไป
หลิ่วจิ้งเห็นดังนั้นจึงเอ่ยกระทบกระเทียบไปว่า “อาหนูข้าและท่านแม่ทัพมีธุระต้องไปทำ มิเช่นนั้นเทียบเชิญที่เหลือนี้ให้เ้าเป็คนไปส่งเป็อย่างไร”
อาหนูได้ยินก็ยู่ปากน้อยๆ ของนางเข้ามาทันใด เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เป็มิตรว่า“อาหนูจะกล้าไป่ชิงกับฮูหยินได้อย่างไรเ้าคะเพียงแต่ไม่ได้พบท่านแม่ทัพมาหลายวัน จึงคิดถึงท่านแม่ทัพเหลือเกินเท่านั้น”
“เอาล่ะ อาหนูเ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ารู้ของข้าเอง”หั่วอี้จะเคยต้องวางตัวลำบากต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ที่ใดเมื่อสั่งความกับอาหนูเรียบร้อยแล้วจึงรีบพาหลิ่วจิ้งออกไปทันที
หลังจากหั่วอี้กับหลิ่วจิ้งออกไปแล้วบรรยากาศในลานบ้านก็ผ่อนคลายลงกว่าเดิมมาก บ่าวหลายคนยืนอยู่นานจนเหนื่อยเต็มทนเพียงแต่เห็นว่ามีหั่วอี้อยู่จึงไม่กล้าไม่เกรงใจ เมื่อเห็นว่าหั่วอี้จากไปจนไม่เห็นเงาแล้วบางคนก็นั่งลง บางคนก็เดินไปเดินมา รอให้พ่อบ้านหวังเรียก
นางจ้าวได้เหมยเซียงประคองให้ลุกขึ้นนางนวดขาและแขนที่เริ่มรู้สึกชา ชี้ไปทางพ่อบ้านหวังแล้วบอกเหมยเซียงว่า“เ้าไปบอกกับพ่อบ้านหวังคำหนึ่งว่าข้าจะกลับไปก่อน มีเื่ใดค่อยไปบอกข้าที่เรือน”
เมื่อไม่มีหั่วอี้อยู่เหนือกว่านางจ้าวก็กลับมาวางท่าเหมือนแต่ไรมา นางไม่รอให้เหมยเซียงกลับมาเสียก่อนก็หันหน้าเดินไปที่เรือนเฉินจื่อเพียงลำพังแล้ว
นางจ้าวเดินไปก็ยิ่งจมดิ่งลงไปในความโกรธแค้นแสนสาหัสนางเอาแต่ด่าทอหลิ่วจิ้งอยู่ในใจ
“นึกไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพถึงกับพานังแพศยานั่นออกไปเที่ยวจริงๆตอนแรกที่นางบอก ข้ายังนึกว่านางแต่งเื่ไปเรื่อยเปื่อยเสียอีก นึกไม่ถึงนึกไม่ถึงจริงๆ ฝากไว้ก่อนเถิด ช้าเร็วข้าจะต้องให้เ้าได้ชดใช้เื่ที่เ้าลบหลู่ข้าในวันนี้เป็สิบเท่าร้อยเท่า”จู่ๆ นางจ้าวก็หยุดเดิน นางหันหน้าไปยังทิศทางที่หลิ่วจิ้งจากไปและด่าทอเสียงเบา
อาหนูรอจนหั่วอี้ไปแล้วก็หยุดร้องไห้ทันที นางร้องไห้ให้หั่วอี้และละครฉากนี้ก็แสดงให้หั่วอี้ดู ในเมื่อยามนี้หั่วอี้ก็ออกไปแล้ว เช่นนั้นเหตุใดนางยังต้องทำให้ตนเองลำบากอีกเล่า
นางมองไปยังทิศทางที่นางจ้าวเดินไป ดวงตาพลันขยับหนหนึ่งแล้วรีบวิ่งตามนางจ้าวไป
“ฮูหยินใหญ่ เหตุใดไม่รอเหมยเซียง แต่กลับไปคนเดียวก่อนเล่าเ้าคะต้องรู้เสียก่อนว่าฮูหยินใหญ่เป็คนสำคัญที่จวนแม่ทัพต้องคอยปกป้องเสียอย่างยิ่งอย่าให้เป็เพราะประมาทเกินไปจนทำให้เกิดการสูญเสียขึ้นมาจะไม่ดีเอานะเ้าคะ”
เมื่อไม่มีหั่วอี้อยู่ตรงหน้า อาหนูก็กลับมาเอาแต่ใจวางอำนาจเช่นก่อนมา
นางจ้าวกลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใดเมื่อได้ยินคำพูดของอาหนูนางมองอาหนูอย่างดูแคลนหนหนึ่ง “ไม่ร้องไห้แล้วหรือ เมื่อครู่มิใช่ร้องไห้เสียอกเสียใจหนักหนาหรอกหรือที่แท้อาหนูก็จะเสียใจเฉพาะยามอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพสินะ”
นางจ้าวพูดไปก็หัวเราะเหอๆๆ ขึ้นมา ราวกับนึกถึงเื่น่าขำ
อาหนูมองผ่านคำถากถางของนางจ้าว เอ่ยยิ้มๆ กับนางจ้าวว่า “เฮ้อ ลำบากฮูหยินใหญ่จริงๆอุตส่าห์ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อจะได้คลอดบุตรตัวอ้วนๆ ให้ท่านแม่ทัพสักคนไม่รู้ว่าเป็ผู้ใดมอบหมายให้ฮูหยินไปส่งเทียบเชิญนางถึงได้อาศัยโอกาสนี้อยู่ติดกับท่านแม่ทัพเสียเลย หากไม่เป็ดังนี้ท่านแม่ทัพจะต้องมีเวลาอีกมากมาอยู่กับฮูหยินใหญ่ให้ดีๆ”
อาหนูย่อมรู้อยู่แล้วว่านางจ้าวเป็คนมอบหมายงานส่งเทียบเชิญให้หลิ่วจิ้งนางจงใจพูดเช่นนี้ก็เพื่อยั่วยุนางจ้าว ก็ผู้ใดใช้ให้นางยกหินมาโยนใส่เท้าตนเองเล่า
อาหนูพูดแทงใจดำนางจ้าวเสียเหลือเกินเพราะนางเองก็เสียใจกับเื่นี้มานานแล้ว ทว่านางยอมแค่ให้ตนเองหลบไปเสียใจอยู่คนเดียวในห้องแต่ไม่ยอมให้อาหนูมาพูดจาทิ่มแทงนางเช่นนี้
_____________________________
