เล่มที่ 8 บทที่ 231 ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน
“ช้าก่อน…”
หลินเฟยชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมา…
‘สายฟ้า!’
‘ใช่แล้ว เมื่อครู่หวังหลงบอกว่าที่บึงน้ำมีสายฟ้าขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้น!’
‘หากเป็สายฟ้าทั่วไปก็คงไม่มีอะไรพิเศษหรอก…’
‘แต่เ้าอสุรกายบอกเองว่ามันสะดุ้งตื่นขึ้นจากการหลับใหลเพราะเสียงฟ้าร้อง’
เดิมทีเ้าอสุรกายก็เป็หยวนหลิงของศาสตราวุธ โดยปกติแล้วหากหยวนหลิงของศาสตราวุธหลับใหล ย่อมเป็เพราะศาสตราวุธชิ้นนั้นเสียหายอย่างหนัก ถึงกับะเืถึงแก่นพลังก็ว่าได้ เช่นนั้นแล้วจึงแทบเรียกได้ว่าศาสตราวุธชิ้นนั้นถูกทำลายจนตายก็คงไม่ผิดนัก หากปลุกมันขึ้นมาได้ละก็ จะต้องไม่ใช่เสียงฟ้าคะนองจากสายฝนธรรมดาแน่ๆ แต่จะต้องเป็เสียงฟ้าร้องของเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่…
‘ใช่แล้ว จะต้องเป็เหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่แน่นอน!’
เพราะในชาติก่อนหลินเฟยเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า เมื่อครั้งอดีต สำนักเวิ่นเจี้ยนเคยเข้าไปในดินแดนรกร้างของพิภพน้อยแห่งหนึ่งร่วมกับสำนักฉางเซิง ในพิภพน้อยแห่งนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลือแม้แต่น้อย ราวกับแก่นพิภพนั้นได้ตายไปแล้ว และเพื่อที่จะช่วยปลุกพิภพนี้ให้ฟื้นขึ้นมา ทั้งสองสำนักใหญ่จึงร่วมกันสร้างระฆังขนาดั์ขึ้น และเสียงระฆังนั้นก็ดังก้องอยู่ในพิภพนี้ถึงสามครั้ง หลังจากเสียงฟ้าร้องดังสนั่น สรรพสิ่งในพิภพล้วนฟื้นคืนชีพขึ้นมาทั้งฟมด จากเดิมที่ราวกับเป็พิภพซึ่งดับสูญไปแล้ว ก็พลันถูกเสียงระฆังปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง…
ระฆังใบนั้นเกิดจากการร่วมมือกันของสองสำนักใหญ่ แม้เพิ่งจะหลอมเสร็จก็กล้าแกร่งเป็ถึงศาสตราวุธขั้นเซียนเทียน อย่าว่าแต่หลินเฟยเลย แม้แต่อาจารย์ของหลินเฟยที่เป็ถึงเ้าสำนักเวิ่นเจี้ยน ก็ยังไม่เคยได้เห็นระฆังใบนั้นด้วยตาตนเอง
ทว่าหลินเฟยกลับได้ยินอาจารย์เล่าว่าวัตถุดิบสำคัญในการหลอมระฆัง ก็คือเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่
ตำนานได้บันทึกเอาไว้ว่า เหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่เกิดจากสายฟ้า์ จึงมีพลังที่กล้าแกร่งมาก ถือว่าเป็เหล็กโฮ่วเทียนขั้นเจ็ดที่แท้จริง…
‘ช่างเป็เื่ที่น่ายินดีไม่น้อย…’
ตอนแรกหลินเฟยคิดจะถามถึงเบาะแสของคัมภีร์เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้จะไม่ได้เบาะแสของคัมภีร์ แต่กลับได้เบาะแสของเหล็กโฮ่วเทียนขั้นเจ็ดแทน…
แถมยังเป็เหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่ซึ่งมีพลังแข็งแกร่งอีกต่างหาก…
หากได้เหล็กเซียนนี้มาหลอมเป็ปราณกระบี่ละก็ มีหวังจะสามารถฝ่าเคราะห์น้ำขั้นมิ่งหุนได้เลยทีเดียว…
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที
“ศิษย์น้องหวัง ไม่ทราบว่าช่วยพาข้าไปที่ถ้ำนั้นได้หรือไม่?”
“อะไรนะ?” หวังหลงและเว่ยฟงได้ยินคำขอจากคนตรงหน้า ก็พากันชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้ ทั้งคู่จึงเผยรอยยิ้มออกมา ‘เพราะศิษย์พี่หลินคนนี้ช่างแข็งแกร่งนัก แม้แต่ศาสตราวุธยังสามารถกดข่มเอาไว้ได้ ถึงถ้ำนั้นจะอันตรายเพียงใด แต่สำหรับศิษย์พี่หลินแล้ว เกรงว่าจะไม่เท่าไรหรอก’ คิดได้ดังนั้น คนทั้งคู่ก็ตอบตกลงทันที
“ย่อมได้อยู่แล้ว!”
หลังจากตกลงกันเรียบร้อย คนทั้งสามก็เดินทางออกจากบึงโคลนมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่ว่านั้นทันที ทว่าพวกเขาเพิ่งจะเดินออกมาไม่ไกล ก็ดันได้ยินเสียงคำรามดังขึ้น พวกเขาจึงใรีบหลบเข้าพงหญ้าข้างทางเพื่อแอบดูทันที และทั้งสามก็พบว่าเสียงคำรามเมื่อครู่เป็เสียงของปีศาจขั้นเยาเจี้ยงสองตน…
ตนหนึ่งเป็ปีศาจลิงขาว ส่วนอีกตนเป็ปีศาจจิ้งจอกไฟ บัดนี้ทั้งคู่ล้วนสลายร่างมนุษย์ แปลงกายกลับเป็ร่างจริง ลำตัวที่สูงนับสิบจ้างเมื่ออยู่ในป่าที่หนาทึบเช่นนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับเสาค้ำฟ้าขนาดั์ ทั่วทั้งร่างของพวกมันก็เต็มไปด้วยไอปีศาจอันเข้มข้น มองเพียงผิวเผินดูคล้ายกับหมอกควัน…
“บ้าน่า นี่มันปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหก…”
เว่ยฟงกับหวังหลงเห็นดังนั้นก็ใขึ้นทันที เพราะไอปีศาจที่เข้มข้นเช่นนี้ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าปีศาจที่อยู่เบื้องหน้าจะต้องมีขั้นบำเพ็ญอย่างน้อยเยาเจี้ยงขั้นหก…
ทว่าตอนนี้ปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกทั้งสองตนกำลังรีบหนีจากบางสิ่งหัวซุกหัวซุน ลำตัวใหญ่โตทั้งสองกำลังวิ่งพล่านไปทั่วป่าไม้ที่หนาทึบ ทุกครั้งที่เท้าของพวกมันย่ำกระทืบลงไป พื้นดินก็พลันสั่นะเืรุนแรง ต้นไม้สูงทั้งหลายล้วนถูกชนจนหักโค่น และทุกที่ที่ปีศาจทั้งสองตนย่ำผ่าน ก็ล้วนพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี…
“โฮก…”
น่าเสียดายที่ปีศาจทั้งสองตนยังไม่ทันก้าวพ้นจากเขตป่าหนาทึบ บริเวณเื้ัก็มีเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น จากนั้นก็มีกลิ่นคาวเือันรุนแรงสลายตัวกลายเป็หมอกควันพวยพุ่งเข้ามา พริบตาถัดมาก็มีมนุษย์ที่สูงนับร้อยจ้างแถมยังมีลวดลายสีแดงทั่วทั้งตัวปรากฏกายขึ้นมา บัดนี้มนุษย์ั์ก็กำลังก้มหน้าลงมา หลังจากที่มันหัวเราะอย่างชั่วร้ายแล้วก็ยื่นมือมาคว้าหัวปีศาจลิงขาวไว้ทันที…
“ตู้ม” ทันใดนั้นสมองของเ้าปีศาจก็ถูกบีบจนแตกละเอียด…
เหลือเพียงปีศาจจิ้งจอกไฟที่หวาดกลัวสุดขีด กำลังหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต แถมยังแค้นใจที่เกิดมามีขาน้อยเกินไป ทำให้ไม่อาจวิ่งได้เร็วกว่านี้ ทว่ามนุษย์ั์กลับแค่นหัวเราะเ็า และรอยแดงบนตัวก็เรืองแสงขึ้นมา ก่อนจะมีหมอกควันสีแดงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นรวมตัวกันจนเป็พยัคฆ์สีเืตนหนึ่ง วิ่งไล่กวดปีศาจจิ้งจอกไปทันที เพียงครู่เดียวเท่านั้น มันก็สามารถฉีกกระชากร่างของเ้าปีศาจจิ้งจอกออกเป็สองซีกได้ในที่สุด…
เพียงครู่เดียวปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกสองตนก็ต้องจบชีวิตลง…
เว่ยฟงกับหวังหลงเอาแต่มองหน้ากัน ต่างก็เห็นความหวาดกลัวในดวงตาอีกฝ่าย ‘นี่สินะพลังของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน แม้แต่ปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกก็ยังอ่อนแอราวกับมดปลวก…’
“นี่สินะ พลังที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน…” คัมภีร์ที่ลอยอยู่เหนือหัวหลินเฟยพึมพำอย่างเศร้าสลด ในฐานะที่เป็ศาสตราวุธ มันเองก็หวังจะมีเ้านายที่แข็งแกร่ง หากได้ติดตามผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันคนนี้ละก็ เกรงว่าคงจะมีิญญาให้สูบกินมากมาย ไม่แน่ว่าหลายปีหลังจากนี้ อาจจะมีมนต์สะกดเพิ่มขึ้นก็เป็ได้…
น่าเสียดายที่ดันโชคร้าย ได้ผู้บำเพ็ญเพียงขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองมาเป็นาย แถมเ้านายคนนี้ยังมีอักขระเก้าตัวที่สามารถกดข่มตนเองอีกด้วย ทำให้ตอนนี้อยากเปลี่ยนเ้านายแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้…
“ใครกันที่แอบดูผู้าุโเช่นข้า!”ระหว่างที่หวังหลง เว่ยฟงและหยวนหลิงของศาสตราวุธกำลังจมอยู่ในภวังค์ก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางป่าไม้หนาทึบ เมื่อกวาดตามองไป ก็พบว่าแววตาของมนุษย์ั์ผู้นั้นเต็มไปด้วยความโเี้ ทั่วทั้งตัวก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเืรุนแรง และมันกำลังก้าวมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว…
เว่ยฟงกับหวังหลงหยุดชะงักทันที…
“แย่แล้ว…” คัมภีร์ที่ลอยอยู่เหนือหัวหลินเฟยอุทานออกมาทันที มัวแต่ดูเพลินไปหน่อย ถึงกับลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน คราวนี้แย่แน่ๆ เพราะผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันนั้น นับว่าไม่อาจล่วงเกินได้เลยทีเดียว หากเจอคนที่ใจดีหน่อยก็แค่ถูกว่ากล่าวว่าตักเตือนเท่านั้น แต่หากเจอคนที่อารมณ์ร้ายละก็ ก็อาจจะถึงขั้นถูกฆ่าแกงได้เลย…
หากตนเองมีพลังเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะดี ต่อให้สู้ไม่ไหวก็ยังสามารถหนีเอาตัวรอดได้ แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้เช่นเมื่อก่อน เพราะก่อนหน้านี้ได้สูญเสียมนต์สะกดไปถึงสี่สายในห้วงมิติดินิถู่ บัดนี้จึงเหลือพลังประมาณเจ็ดส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น หากผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเอาเื่ขึ้นมาละก็ เกรงว่าจะหนีไม่รอด…
‘จะทำอย่างไรดีล่ะ?’
‘หรือเกลี้ยกล่อมให้หลินเฟยรีบอ้อนวอนดี?’
ขณะที่เ้าอสุรกายกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆมนุษย์ั์ที่เพิ่งเดินมาก็เกิดชะงักไปเสียก่อน จากนั้นใบหน้าของมันก็ถอดสีลง และรีบสลายร่างอันใหญ่โตกลับเป็ร่างมนุษย์ในชุดนักพรตสีดำทันที
ใช่แล้ว ผู้ที่สังหารปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกสองตนเมื่อครู่นี้ ก็คือนักพรตเฮยซานที่เงียบหายไปนานนั่นเอง…
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------