“เราถามว่าพัตเตอร์คือใคร ทำไมแปนถึงไม่ยอมตอบเราสักที”
“....”
“ทำไม มันตอบยากมากเลยเหรอหรือว่าคิดคำแก้ตัวไม่ทัน?”
“เปล่าสักหน่อย พอร์ตนี่ก็ชอบคิดไปเรื่อยนะ”
“เราก็เหมือนแปนไง ชอบคิดไปเรื่อย” พอร์ตสวนกลับมาทันควัน ทำเอาคนที่กำลังถูกจี้ถามว่าผู้ชายอีกคนคือใครถึงกับสะอึก
“จนถึงขนาดนี้แล้ว แปนก็ยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอ นี่แปนมีคนอื่นใช่ไหม? บอกเรามาเลยนะ” พอร์ตยังคงไล่ต้อนจะเอาความจริงจากเจแปนให้ได้ ในขณะที่ตัวของเจแปนเองก็กำลังแสดงท่าทีสับสนออกมา เนื่องจากตอนนี้เขากำลังงงว่าอะไรเป็อะไรกันแน่
เหตุการณ์ทั้งหมดมันคืออะไร มีใครสามารถอธิบายได้บ้าง?
“ไปกันใหญ่แล้ว ทั้งชีวิตเราก็มีแค่พอร์ตนี่แหละ แล้วถ้าพอร์ตไม่เชื่อใจนักก็ลองไปถามเพื่อนเราดูสิ” นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะตอบกลับไป ซึ่งเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา นอกจากการบอกให้คนรักไปถามเพื่อนของเขาดูว่าเขามีใครอื่น นอกเหนือจากเ้าตัวหรือเปล่า
“เพื่อนแปนไม่ใช่เพื่อนพอร์ต และต่อให้แปนมีคนอื่นจริง ๆ จะถูกจะผิดยังไง เพื่อนแปนก็ต้องปกป้องแปนอยู่ดีนั่นแหละ” พอร์ตสวนกลับมาอีกยก
“งั้นก็ตามใจแล้วกัน แต่เรายังคงยืนยันคำเดิมว่าเราไม่มีใครนอกจากพอร์ต”
ไม่รู้ว่าสถานการณ์มันกลายมาเป็แบบนี้ได้ยังไง จากที่ตอนแรกเจแปนกำลังเกิดความน้อยใจ เนื่องจากคนรักของเขาดูไม่ใส่ใจกันเลย ตอนนี้มันกลับกลายเป็ว่าพอร์ตมาจับผิดระแวงเจแปน คิดว่าเขามีคนอื่น ทั้งที่เจแปนไม่เคยชายตามองใครด้วยซ้ำ
ซึ่งจริง ๆ แล้ว เจแปนก็อาจเป็คนผิดเองนั่นแหละที่คิดน้อยเกินไป อยากลองเช็กอะไรบางอย่างดูด้วยการเรียกอีกชื่อหนึ่งของอีกฝ่าย จนทำให้พอร์ตเกิดความระแคะระคายในตัวเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่เคยสงสัยเลย
“เดี๋ยวพอร์ตส่งเราไว้ที่หน้าตลาดเลยนะ เพราะเราจะแวะไปซื้อของพอดี” ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับคอนโด ท่ามกลางความเงียบและความอึดอัดที่ก่อตัวอยู่บนรถ เจแปนก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“ตามใจ” คนรักของเจแปนตอบกลับมาเสียงห้วน จากนั้นรถของพอร์ตก็มาชะลอจอดที่หน้าตลาดซึ่งเป็ทางเข้า เจแปนไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น หลังรถยนต์ของพอร์ตจอดสนิท เขาก็รีบปลดสายรัดนิรภัยและเดินลงไปทันที ไม่มีการเอ่ยร่ำลาเหมือนอย่างทุกครั้ง เนื่องจากตัวของเจแปนเองก็กำลังอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน
เวลาต่อมา เมื่อเจแปนกลับมาอยู่เพียงลำพังอีกครั้งและพอร์ตก็ได้ขับรถออกไปแล้ว เขาก็มีการสูดลมหายใจเข้าปอดไปหนึ่งยก รู้สึกเหมือนได้รับอากาศบริสุทธิ์ของตัวเองคืนกลับมา เพราะตอนที่อยู่บนรถ เจแปนรู้สึกอึดอัดกับคนรักมากจนแทบไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ
“อึดอัดเป็บ้า” เขาบ่นกับตัวเองเสียงแ่ ก่อนจะเดินเข้าไปในตลาดยามเย็น ตั้งใจจะไปเลือกซื้อของเข้าตู้เย็น เพราะตอนนี้วัตถุดิบสดในห้องเขาแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว
โดยเจแปนก็ใช้เวลาเลือกซื้อของไม่นานนัก และส่วนใหญ่ก็จะเน้นเป็พวกเนื้อสัตว์และของแห้งเสียมากกว่า ส่วนพวกผักผลไม้ก็ซื้อติดมือมาบ้าง เผื่อ่ไหนเขามีปัญหาเื่การขับถ่าย
“พอร์ตไม่รู้จักพัตเตอร์ แต่เ้าตัวเป็คนบอกให้เรียกชื่อนั้นเอง... มันหมายความว่ายังไงวะ” หลังกลับมาถึงคอนโด ระหว่างที่กำลังยืนเตรียมของเพื่อเอาไปแช่ในตู้เย็น เจแปนก็พูดกับตัวเองทั้งคิ้วขมวด เมื่อบทสนทนาระหว่างเขากับพอร์ตได้ผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง และเจแปนก็ยังคงงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
วูบหนึ่งในความคิด เขาคิดว่าพอร์ตมีแฝดที่พลัดพรากและอาศัย่ที่เ้าตัวไม่อยู่กับเจแปน เข้ามาสวมรอยแทน แต่พอคิดไปคิดมามันแทบจะไม่มีความเป็ไปได้ด้วยซ้ำ เพราะมันไม่มีทางที่แฝดจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอยู่แล้ว แม้กระทั่งขี้แมลงวันก็ยังอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
หรือว่าพอร์ตกำลังเครียดหนัก จนต้องหลอกตัวเองสร้างอีกตัวตนหนึ่งขึ้นมา? จู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเจแปน แต่เขาก็ไม่กล้ามั่นใจอะไรขนาดนั้น เนื่องจากเจแปนไม่ได้เรียนสายนี้มา และเขาก็แค่เคยอ่านข้อมูลทำนองนี้มาแบบผ่าน ๆ เท่านั้น
ซึ่งถ้าจะให้ชัวร์ เจแปนคิดว่าเขาอาจต้องติดต่อกลับไปหาแม่พอร์ต อาจลองสอบถามเื่แฝดหรือไม่ก็ถามว่า่นี้พอร์ตได้โทรไประบายปัญหาชีวิตอะไรให้คนในครอบครัวฟังหรือเปล่า เพื่อที่เขาจะได้แก้ไขปัญหาให้คนรักอย่างตรงจุด
และบางที...เจแปนกับพอร์ตก็อาจต้องเข้าพบจิตแพทย์พร้อมกันก็ได้
หลังนำของที่ได้มาจากตลาดจัดเรียงเข้าตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเจแปนก็รีบเดินไปหยิบเอาโทรศัพท์เพื่อติดต่อกลับไปหาแม่พอร์ต โดยเขาก็คิดว่าตัวเองสนิทกับคนในครอบครัวพอร์ตอยู่พอสมควร และคิดว่าการถามอะไรบางอย่างมันน่าจะไม่ใช่เื่เสียมารยาทจนเกินไป
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เจแปนมอบให้พอร์ตมันก็คือความหวังดีนั่นแหละ
“สวัสดีครับ แม่นอนหรือยังครับ” เมื่อคนปลายสายกดรับโทรศัพท์ เจแปนก็เป็คนเอ่ยทักทายก่อนทันที
[ยังจ้ะ แปนมีอะไรเหรอลูก ทำไมถึงโทรมาหาเวลานี้ล่ะ] แม่ของพอร์ตถามกลับมา
“อ๋อ คือผมมีเื่อยากถามอะไรหน่อยน่ะครับ”
[...]
“พักหลังมานี้พอร์ตได้บ่นอะไรให้ฟังหรือเปล่าครับ? พวกปัญหาเื่เรียนอะไรทำนองนั้น” เจแปนยกตัวอย่างกลับไปให้ ซึ่งขณะที่กำลังคุยสาย เขาก็รู้สึกได้ว่าคนปลายสายนิ่งไปครู่หนึ่ง คล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างถึงค่อยตอบกลับมา
[ไม่นะจ๊ะ แม่ไม่เห็นพอร์ตบ่นอะไรให้ฟังเลยนะ ก็มีโทรมาหาแม่บ้างแต่ก็ไม่เห็นบ่นอะไรให้ฟังเลย]
“อ๋อ งั้นเหรอครับ”
[จ้ะ แปนมีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมถึงได้โทรมาถามล่ะ?] คนปลายสายถามต่อด้วยความใคร่รู้
“คือผมกำลังสงสัยน่ะครับว่าเขาเครียดเื่เรียนหรือเปล่า ไม่เห็นจะเล่าอะไรให้ฟังเลย ผมก็เลยเกิดความเป็ห่วงเขาน่ะครับ” เจแปนอ้างกลับไปและเริ่มถามเื่อื่นต่อ นั่นก็คือเื่ที่พอร์ตมีแฝดหรือเปล่า “เอ่อ... แม่ครับ ผมมีอีกเื่หนึ่งที่อยากจะถามด้วยครับ”
[ว่ามาเลยจ้ะ]
“พอร์ตเป็ลูกชายคนเดียวหรือเปล่าครับ เขามีแฝดหรือเปล่า... แฝดที่น่าจะชื่อว่าพัตเตอร์” เจแปนพูดออกไปแบบไม่อ้อมค้อม และเขาก็คาดหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับคำตอบอย่างตรงไปตรงมากลับมาเช่นกัน
[พอร์ตเป็ลูกชายคนเดียวจ้ะ แล้วพัตเตอร์อะไรนั่น แม่ไม่รู้จักนะ] แม่พอร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“...”
[มีอะไรหรือเปล่าแปน? เพราะปกติเจแปนไม่เคยเอาคำถามแบบนี้มาถามแม่นะ]
“คือผมไปเจอคนหนึ่งมาครับ เขาหน้าตาคล้ายพอร์ตมากแถมยังชื่อพัตเตอร์อีก ผมก็เลยนึกไปว่าพอร์ตมีแฝดที่ผมไม่ได้รู้จัก
[ฮ่า ๆ มันก็แค่คนหน้าคล้ายเท่านั้นแหละลูก เจแปนมากินข้าวที่บ้านบ่อย เราก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าภาพถ่ายครอบครัวมีแค่สามคนเอง แล้วพอร์ตจะมีฝาแฝดได้ยังไงล่ะ จริงไหม?]
“ครับ มันก็จริงของคุณแม่” เจแปนพยักหน้ารับกลับไป หลังจากนั้นเขาก็เป็ฝ่ายขอตัดสายก่อน เนื่องจากเขาไม่มีเื่อะไรให้ต้องซักถามแล้ว
พอวางสายจากแม่ของพอร์ตเสร็จ เจแปนก็นั่งนิ่งเพื่อประมวลผลทุกอย่างนานเกือบนาที ดวงตาของเขาฉายความสับสนออกมาอีกครั้ง โดยคราวนี้มันก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัวด้วย เพราะเจแปนไม่สามารถหาอะไรมาอธิบายให้กับสถานการณ์ที่เขาพบเจอมาได้จริง ๆ
ตกลงแล้ว ความจริงมันคืออะไรกันแน่?
ซึ่งพอเขาคิดว่าคงไม่สามารถหาคำมาอธิบายเื่พวกนี้ด้วยตัวเองได้ เวลาต่อมาเจแปนก็ตัดสินใจสอบถามเหตุการณ์ประหลาดลงในกลุ่มเพื่อน ทั้งที่ปกติแล้วเจแปนแทบจะไม่คุยเื่ส่วนตัวในกลุ่มด้วยซ้ำ
หากมีปัญหาชีวิตจริง ๆ เขาก็มักจะโทรปรึกษาเพื่อนที่รู้สึกสนิทมากกว่า แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เขา้าเพื่อนมากกว่าหนึ่งคนมาช่วยอธิบายเื่นี้
โดยหลังจากที่เจแปนอธิบายเหตุการณ์ประหลาดลงในกลุ่มแชตเรียบร้อยแล้ว เพื่อนในกลุ่มก็ต่างให้ความสนใจกับเื่ของเขาเป็อย่างมาก เพราะทุกคนต่างรู้นิสัยของเจแปนดี หากมันไม่ถึงที่สุดจริง ๆ เจแปนก็คงไม่พิมพ์อะไรลงในกลุ่มแบบครั้งนี้
[นี่มึงเครียดหนักเลยเหรอ ถึงได้ตัดสินใจพิมพ์ลงในกลุ่มแบบนั้นน่ะ] เมื่อทุกคนในกลุ่มต่างเปิดอ่านแชตเรียบร้อยแล้ว บัวก็เป็คนแรกที่โทรสายตรงมาหาเขา
“อือ ก็เครียดประมาณหนึ่ง กูสับสนด้วยและก็กลัวด้วย เพราะบางทีกูก็รู้สึกว่านี่มันเป็เื่เหนือธรรมชาติ” เจแปนยอมรับกลับไปตามตรง เพราะเขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้แล้วว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเื่นี้
[ใจเย็น ๆ ก่อนนะเจแปน เดี๋ยวรอให้เพื่อนเข้ามาตอบ] บัวรีบพูดปลอบใจ ซึ่งเธอก็คงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
หลังปล่อยให้เพื่อนในกลุ่มพากันวิเคราะห์สถานการณ์นานอยู่พักใหญ่ เจแปนก็ค่อยมาไล่ดูความคิดของเพื่อนแต่ละคน โดยมันก็มีหลายคนที่มีความคิดเห็นเหมือนกันกับเขาที่บอกว่าพอร์ตอาจจะเครียดเื่เรียน แต่บางคนก็พูดบางอย่างที่น่าสนใจและเจแปนก็ไม่เคยรู้จักเื่นี้มาก่อน นั่นก็คือร่างดอพเพลแกงเกอร์
“ร่างดอพเพลแกงเกอร์งั้นเหรอ มันคืออะไรวะ?” เจแปนเอ่ยถามคนปลายสาย เมื่อในเวลานี้เขายังถือสายคุยกับบัวอยู่
[ดอพเพลแกงเกอร์ เหมือนกูเคยอ่านเจอในนิยายมาก่อนนะ] บัวที่น่าจะกำลังอ่านแชตในกลุ่มเช่นกันตอบกลับมา
“แล้วมันคืออะไรวะ”
[แล้วกูจะอธิบายยังไงดีล่ะ] หญิงสาวบ่นและเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนเธอกำลังคิดหาคำพูดมาอธิบาย เพื่อให้เจแปนเข้าใจ
[ร่างดอพเพลแกงเกอร์มันคือร่างหนึ่งของเราอ่ะ ซึ่งปกติแล้วเราจะไม่มีทางรับรู้การมีอยู่ของมันหรอก]
“...”
[พวกนี้มันเปรียบเสมือนแฝดของเราเลย ร่างกายของเรากับมันเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งจุดตำหนิ แต่ปกติแล้วมันจะไม่มาปรากฏตัวให้เห็นหรอกนะ มันจะอยู่กับเ้าของร่างตลอดเวลา... ยกเว้นตอนที่มัน้าจะให้ผู้คนเกิดความสับสน ตัวอย่างเช่น ความจริงแล้วเราอยู่อีกที่หนึ่ง มันก็จะไปปรากฏตัวอยู่อีกที่หนึ่ง]
[เรากับร่างดอพเพลแกงเกอร์สามารถปรากฏตัวในเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่พร้อมกันได้ ซึ่งบางครั้งการปรากฏตัวของร่างดอพเพล มันก็ทำให้คนรอบตัวเราเกิดความสับสนบางคนก็เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเราโกหกไม่ได้ไปที่นั่นมานี่อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปจริง ๆ แต่ว่าร่างดอพเพลของเราไปปรากฎตัวที่นั่นต่างหาก]
“ทำไมมันดูเข้าใจยากจัง” เจแปนพึมพำ เพราะเขาเองก็พยายามจะเข้าใจคำอธิบายของบัวแล้ว แต่มันก็ดูเหมือนจะเป็เื่ยากเกินไป
[ใช่ เื่นี้มันเป็เื่ที่เข้าใจยาก แถมตำนานแต่ละที่ก็ไม่ค่อยจะเหมือนกันด้วย แต่มึงไม่ต้องเครียดนะ เพราะกว่าที่กูจะเข้าใจเื่นี้กูก็ใช้เวลาอยู่พอสมควรเหมือนกัน กูเลยไม่รู้จะอธิบายให้มึงฟังยังไงดี] บัวบอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ
“แล้วการที่เรามีร่างดอพเพลแกงเกอร์ มันเป็เื่ดีหรือไม่ดี” เจแปนถามต่อ
[ก็ขึ้นอยู่กับว่าร่างดอพเพลกับตัวเรามีความคิดเห็นตรงกันหรือเปล่า ถ้ามันมีความคิดเห็นตรงกันตลอดั้แ่เกิด มันก็จะเป็เื่ดี เพราะบางครั้งมันก็รับเคราะห์แทนเรา อารมณ์เหมือนพวกแมวเก้าชีวิต แต่ถ้าวันไหนที่ร่างดอพเพลไม่เห็นด้วยกับเรา มีความคิดเห็นขัดแย้งกัน มันก็จะสร้างความวุ่นวายให้กับเราแทน]
“...”
[บางครั้งมันก็ปั่นป่วนสร้างความวุ่นวายให้เราหนักมาก จนถึงขั้นเสียชีวิตเลย]
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
[อือ ก็พวกนี้มันไม่ใช่ิญญาไง มันเหมือนมนุษย์ทั่ว ๆ ไปที่สามารถปรากฏตัวได้ทั้งตอนกลางคืนและกลางวัน แถมยังสามารถจับต้องได้จริงอีก แต่จะมีจุดต่างตรงที่ว่าพวกนี้ไม่มีเงาตามตัว]
“ไม่มีเงาตามตัวงั้นเหรอ” เจแปนทวนคำพูดของเพื่อนเสียงแ่ และเวลาเดียวกันนั้นเหตุการณ์ตอนที่เขาอยู่กับพอร์ต แต่เจแปนไม่สังเกตเห็นเงาของอีกฝ่ายก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างรู้งาน โดยนั่นก็ทำเอาเจแปนรู้สึกลำคอแห้งผากอย่างบอกไม่ถูก
หรือว่าพัตเตอร์ที่ว่านั้นคือร่างดอพเพลของพอร์ต?
[มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไปล่ะ] บัวที่สังเกตเห็นว่าเจแปนดูเงียบจนผิดปกติถามขึ้นด้วยความเป็ห่วง
“คือกูกำลังสงสัยว่าร่างดอพเพลของพอร์ตเคยมาปรากฏตัวให้กูเห็นหรือเปล่าน่ะ” เจแปนบอกคนปลายสายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทว่าแทนที่บัวจะถามกลับอีกครั้ง เธอกลับหัวเราะใส่กันเสียอย่างนั้น
[อะไรกัน นี่มึงเชื่อเป็ตุเป็ตะแล้วเหรอว่าร่างดอพเพลแกงเกอร์มีจริง ที่กูเล่าให้ฟังเพราะเห็นว่ามันเป็อีกตำนานหนึ่งที่น่าสนใจนะ]
“คือมึงไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงเหรอ” เจแปนถามเพื่อน
[ไม่รู้สิ แต่ก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์เื่นี้ได้เลยนะ ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่จริงน่ะ]
“...”
[ไหน ๆ ก็ได้เล่าเื่นี้แล้ว งั้นกูขอเล่าให้จบเลยก็แล้วกัน เพราะกำลังสนุกเลย] บัวว่าและเริ่มเล่าเื่ราวที่เกี่ยวกับดอพเพลแกงเกอร์ให้เจแปนฟังต่อ
[เอาจริง ๆ นะ การมีร่างดอพเพลแกงเกอร์มันก็เหมือนจะเป็เื่ดีอยู่นะ เพราะบางทีถ้าเรามีปัญหากับใครอะ มันอาจจะไปสะสางให้เราก็ได้]
[เช่น สมมติว่ากูทะเลาะกับมึง มันค้างคาใจกู แต่กูไม่อยากจะไปเคลียร์ด้วย ระหว่างที่กูกำลังอยู่ในมุมของตัวเอง ร่างดอพเพลก็จะไปเคลียร์กับมึงให้แทน แล้ววันต่อมามึงกับกูก็จะดีกันแบบงง ๆ ทั้งที่กูไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร่างดอพเพลมันไปสะสางกับมึงให้แล้ว อันนี้ในกรณีที่ร่างดอพเพลกับเรามีความคิดเห็นตรงกันนะ]
“แล้วถ้าความเห็นมันไม่ตรงกันล่ะ มันสามารถทำอะไรได้บ้าง”
[ก็อย่างที่กูเคยบอกมึงไปนั่นแหละ มันจะพยายามทำให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวเราเกิดความสับสน และถ้าหนักมาก ๆ ก็หาทางกำจัดร่างของเราเลย แล้วมันจะสวมรอยใช้ชีวิตเป็เราแทน โดยที่ไม่มีใครรู้]
“แล้วตอนที่มันกำจัดร่างเรา คือมันจะไม่มีคราบเืหรือหลักฐานอะไรให้คนสงสัยเลยเหรอวะ” เจแปนซักไซ้คนปลายสายต่ออย่างไม่เข้าใจ
[ถ้าจำไม่ผิด...เหมือนมันจะไม่ได้ใช้วิธีการฆ่าแบบฆ่าคนปกตินะ ร่างดอพเพลจะมีวิธีการกำจัดร่างเราแบบไร้หลักฐาน มันเป็วิธีเฉพาะของพวกมันแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้วิธีไหน เพราะกูไม่เคยเห็นมีใครเขียนบอกเอาไว้]
“...”
[อ้อ! อีกเื่ ร่างดอพเพลถ้าสมมติความคิดเห็นขัดแย้งกับเ้าของร่างเมื่อไร มันจะสร้างนิสัยฝั่งตรงข้ามออกมา ยกตัวอย่างนะ สมมติแฟนมึงเป็คนเ้าชู้ ชอบนอกใจมึงเป็ว่าเล่น พออยู่มาวันหนึ่งร่างดอพเพลเริ่มไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแฟนมึง มันก็จะมีนิสัยตรงกันข้ามกับแฟนมึงทุกอย่าง เช่นรักแค่มึง สนใจแค่มึงอะไรเทือกนั้น]
“แล้วทำไมมึงต้องยกตัวอย่างเป็แฟนกูด้วย” เจแปนถามเพื่อนเสียงเข้ม
[อ้าว... ก็กูกลัวว่ามึงจะไม่เข้าใจไง เลยยกตัวอย่างใกล้ตัวน่าจะดีกว่า เพราะมันน่าจะทำให้มึงเห็นภาพได้ชัดขึ้น] บัวตอบกลับมาพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ ซึ่งเจแปนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายก็แค่อ้างไปงั้น เพราะความจริงแล้วบัว้าจิกกัดแฟนหนุ่มของเขาต่างหาก
[มึงอย่าเอาไปใส่ใจมากนะ คิดว่าฟังเื่ขำ ๆ ก็แล้วกัน]
“เฮ้อ ตอนนี้กูคงจะขำออกอยู่หรอกมั้ง เครียดเื่พอร์ตจนปวดหัวขนาดนี้” เจแปนบอกกลับไป พร้อมถอนหายใจใส่เพื่อนไปหนึ่งยก
[เออ กูก็เล่าเื่ดอพเพลแกงเกอร์ซะเพลินเลย แล้วเื่พอร์ตนี่มึงจะเอายังไงต่ออ่ะ ทั้งเื่นอกใจทั้งเื่เหตุการณ์ประหลาดอีก ทำไมมันมีหลายเื่จังวะ] บัวถามกลับมา เหมือนเธอเองก็เพิ่งนึกได้ว่าทั้งสองออกทะเลกันมานานแล้ว
“ตอนนี้กูขอดูอะไร ๆ ก่อนก็แล้วกัน เพราะวันนี้กูก็ทะเลาะกับมันอีกแล้ว”
[ทะเลาะกันทั้งปีแหละ กูก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรหรอก หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวันมึงกับมันทะเลาะกันไปแล้วห้าวัน แต่ก็ว่าไม่ได้...ความรักอ่ะเนอะ] บัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ซึ่งเจแปนก็เลือกที่จะปล่อยผ่านมันไป เนื่องจากเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น แถมเื่นี้มันก็เป็ความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ด้วย
“ก็นั่นแหละ กูขอดูท่าทีมันไปก่อน เพราะบางทีกูก็กลัวว่าตัวเองตีโพยตีพายไปก่อนทั้งที่ความจริงแล้ว มันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้” เจแปนเอ่ย จากนั้นเขากับบัวก็พูดคุยกันอีกนิดหน่อย จนเจแปนรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายถึงค่อยเป็ฝ่ายขอตัดสายไป
เวลาต่อมา เมื่อกลับมาอยู่คนเดียวอีกหน เจแปนก็จมปลักคิดเื่ดอพเพลแกงเกอร์อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกดเข้าอินเทอร์เน็ต เพื่อหาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับตำนานพวกนี้ที่เพิ่งจะเคยรู้จัก
“ตกลงมันมีจริงหรือไม่จริงกันแน่ แล้วทำไม... ตอนนั้นเราถึงไม่เห็นเงาของพอร์ตวะ ไหนจะเื่พัตเตอร์อีก ตกลงคือใครกันแน่” เจแปนถามตัวเองทั้งน้ำเสียงสับสน
โดยใจจริงแล้วเขาก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าตำนานพวกนี้มันมีอยู่จริง ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างมีหลักการและเหตุผลได้เหมือนกัน
“ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ไม่อยากจะคิดแล้ว” เจแปนว่าต่อ พยายามจะหยุดคิดเื่ราวของคนรัก แต่เพราะเขาไม่ใช่หุ่นยนต์ มันจึงไม่ใช่เื่ง่ายขนาดนั้นที่เจแปนจะหยุดคิดเื่พวกนี้ได้ในทันที
แล้วเพราะเจแปนไม่สามารถสลัดเื่ราวของพอร์ตออกไปได้ สุดท้ายเขาจึงต้องมองหากิจกรรมมาทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง โดยเจแปนก็เลือกที่จะหาหนังสักเื่มานั่งดูฆ่าเวลา ระหว่างที่รอให้ถึงเวลาใกล้จะเข้านอน พอถึงคราวนั้นเจแปนถึงค่อยลุกไปอาบน้ำ
เขาวางแพลนเอาไว้อย่างนั้น แต่ก็นั่นแหละ...ชีวิตของเจแปนมันไม่ค่อยจะเป็ไปตามแบบแผนหรอก
ติ๊ง!
-ส่งรูปภาพ-
‘แฟนของใครนะ?’
ระหว่างที่เจแปนกำลังสลัดความเครียดทุกอย่างออกจากหัวและเพลิดเพลินไปกับหนังตรงหน้า จู่ ๆ เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน ซึ่งมันก็มาจากบุคคลนิรนาม
“ใครส่งอะไรมาให้” เขาว่าทั้งคิ้วขมวดพร้อมกดเข้าไปอ่านข้อความนั้นทันที ซึ่งระหว่างที่รอให้รูปภาพอัปโหลดเสร็จ เจแปนก็นึกสงสัยอยู่ไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้ตั้งค่าอนุญาตให้คนอื่นเพิ่มเพื่อนผ่านไอดี แต่ทำไมบุคคลนิรนามถึงสามารถกดเพิ่มเข้ามาได้
ต่อมา เมื่อรูปภาพที่บุคคลนิรนามส่งมาให้ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์แล้ว ผู้เป็เ้าของเครื่องก็รู้สึกเหมือนตัวชาและหัวใจเต้นช้าลงเสียดื้อ ๆ หลังภาพที่ถูกส่งเข้ามา มันเป็ภาพที่พอร์ตกำลังจูบกับเพื่อนร่วมคณะของอีกฝ่ายที่เจแปนรู้สึกระแวงมาก่อนหน้านี้อย่างผิง
‘เจอที่ไหน’ นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะพิมพ์ถามกลับไปทั้งมือสั่นเทา ดวงตาทั้งสองข้างของเขากำลังเอ่อล้นไปด้วยน้ำใส หากแต่มันไม่ได้หลั่งออกมาเพราะความเสียใจ แต่มันเป็เพราะเจแปนกำลังโกรธ จนไม่รู้จะระบายออกมาในรูปแบบไหนต่างหาก
‘ห้าง C’
‘รีบมาล่ะ ถ้าออกมาตอนนี้น่าจะทันนะ เพราะพวกนี้มาดูหนังรอบดึกกัน’ อีกคนตอบกลับ โดยหลังจากที่เจแปนอ่านประโยคเ่าั้จบ เขาก็รีบคว้าเอากระเป๋าเงินและกุญแจรถของตัวเอง เตรียมจะมุ่งตรงไปยังห้างที่ว่านั้นทันที เพราะเจแปนอยากไปเห็นกับตาว่าพอร์ตกำลังนอกใจเขาจริง ๆ
นี่พอร์ตมีอารมณ์ไปหาชู้ ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังทะเลาะกันกับเขาได้ยังไง อีกฝ่ายกล้านอกใจ เขาทั้งที่เ้าตัวเพิ่งกล่าวหาว่าเจแปนไปมีคนอื่นได้ยังไง เจแปนตั้งคำถามกับตัวเองในใจ พร้อมตัดพ้อด้วยความน้อยใจว่าเขาทำผิดอะไรกันแน่ ทำไมพอร์ตถึงกล้ามีคนอื่นนอกจากเขา ทั้งที่พวกเขาสองคนเคยตกลงกันไปแล้วว่าห้ามเลิกกัน
ด้วยเหตุผลที่ว่าด้วยเื่มือที่สาม
“ได้ เดี๋ยวเราได้เห็นดีกันแน่” เมื่อมาถึงชั้นจอดรถแล้ว เจแปนเอ่ยด้วยความโกรธและติดเครื่องยนต์ มุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าที่พอร์ตกับชู้กำลังอยู่ที่นั่น