เหตุการณ์ปัจจุบัน
“ตอนนี้เราตามอารมณ์พอร์ตไม่ทันแล้วนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จะเอายังไงกันแน่?”
“…”
“ถ้าพอร์ตกลับมาอีก เพราะอยากทะเลาะกันก็กลับไปเลย เราเหนื่อย” เจแปนพูดกับคนรักเสียงอ่อนแรง เมื่อมันเป็อีกครั้งที่พอร์ตมาหาเขาตอนกลางคืน
ซึ่ง่นี้อีกฝ่ายก็ชอบมาหากันเวลานี้บ่อยมาก…
“เรามาปรับความเข้าใจต่างหาก” คนตรงหน้าเถียงกลับมาพร้อมเดินเข้ามาในห้องของเจแปนอย่างถือวิสาสะ แต่เพราะอีกฝ่ายมีสถานะเป็คนรักและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย เจแปนจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันคือการบุกรุก
“จะมาปรับความเข้าใจอะไรอีกล่ะ ในเมื่อตอนเย็นพอร์ตไม่ได้ดูอ่อนข้อให้เราเลยนะ” เจแปนถามต่อพร้อมพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงรู้สึกว่าความอดทนของตัวเองเริ่มลดน้อยลงทุกวัน จากอะไรที่เคยทนได้ ตอนนี้เจแปนก็เริ่มจะทนไม่ได้แล้วและพร้อมจะะเิกลับไปเสมอ หากแฟนหนุ่มพูดจาไม่เข้าหู
“แต่ตอนนี้เราอ่อนลงแล้วไง” อีกฝ่ายให้คำตอบกลับมาทั้งหน้าซื่อ แล้วนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “แต่ว่าหลังจากที่เราสองคนได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว แปนเรียกเราอีกชื่อหนึ่งนะ”
“ชื่อไหนอีกล่ะ ไม่เห็นจะรู้เื่” เจแปนเอ่ยและเป็ฝ่ายนิ่งไปบ้าง เมื่อเหตุการณ์ในตอนนั้นผุดขึ้นมาในหัวอย่างรู้งาน “พอร์ต หมายถึง…พัตเตอร์อะไรนั่นน่ะเหรอ?”
“อืม” พอร์ตพยักหน้าตอบกลับมา ในขณะที่เจแปนก็เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันอีกหน เนื่องจากเขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจะต้องทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากเช่นนี้ด้วย และทำไมถึงต้องคอยเปลี่ยนชื่อไปมา จนทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย
“พอร์ตทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร มันช่วยอะไรเหรอ?” เพราะหาเหตุผลให้กับเื่นี้ไม่ได้จริง ๆ เจแปนจึงตัดสินใจถามคนรักกลับไปตามตรง
“ความสบายใจส่วนตัว” อีกฝ่ายให้เหตุผลกลับมาเพียงสั้น ๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดความกระจ่างขึ้นอยู่ดี
“…”
“บนโลกนี้ มันไม่จำเป็จะต้องมีเหตุผลมารองรับไปเสียทุกเื่หรอกนะแปน” พอร์ตว่าต่อ คล้ายกับรู้ว่าเจแปนกำลังรู้สึกเช่นไรอยู่
“แต่บางทีการมีเหตุผลหน่อย มันก็เป็เื่ดีนะ คนอื่นเขาจะได้ไม่ต้องปวดหัว” เจแปนสวนกลับไป จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เจแปนจะเป็ฝ่ายเดินหนีไปทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองอย่างเงียบ ๆ เมื่อเขาไม่เห็นว่าพอร์ตมีท่าทีจะพูด เพื่อปรับความเข้าใจในเร็ว ๆ นี้
“แล้วนี่จะทำอะไรต่อ” อีกฝ่ายถาม หลังเห็นว่าเจแปนเดินไปหยิบเอาชุดคลุมอาบน้ำและผ้าเช็ดผม
“จะไปอาบน้ำ” เจแปนตอบกลับไปตามตรง
“งั้นคืนนี้เราอาบน้ำด้วยกันไหม”
“…”
“จะได้ถือโอกาสนั้นปรับความเข้าใจกันด้วย” พอร์ตเสนอความคิด ซึ่งนั่นก็ทำให้เจแปนเลื่อนสายตาหันไปมองอีกฝ่ายพักหนึ่งถึงค่อยพูดอะไรบางอย่างกลับไป
“ชุดคลุมกับผ้าเช็ดตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า”
ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาโป๊เปลือยต่อหน้ากันและกัน แต่เจแปนก็ยังรู้สึกเคอะเขินคนรักอยู่ดี แม้ว่าภายใต้ความเคอะเขินที่เขากำลังมีอยู่ มันยังมีความน้อยอกน้อยใจ เพราะยังไม่ได้เคลียร์ใจเื่ความสัมพันธ์ว่าสรุปแล้ว พอร์ตกำลังมีใครอื่นนอกเหนือจากเขาหรือเปล่า
และบางทีคนที่เจแปนกำลังสงสัยอย่างผิงก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่เป็ตัวละครลับคนใหม่ต่างหาก…
“ที่เรายอมให้เข้ามาในห้องน้ำด้วยกัน ก็เพื่อให้พอร์ตมาอาบน้ำนะ ไม่ได้ให้มาทำอย่างอื่น” ระหว่างที่กำลังเทสบู่เหลวชโลมร่างกาย เจแปนก็หันไปพูดกับคนรักทั้งหน้างอ เมื่อพอร์ตไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แยกอาบน้ำในส่วนของใครของมัน แต่อีกฝ่ายกลับมายุ่มย่ามกับร่างกายของเขาแทน
“หวงตัวจัง แต่ก่อนไม่เห็นเป็แบบนี้เลย”
“ก็ตอนนี้เราไม่มีอารมณ์ อีกอย่าง…พวกเราสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่นะ พอร์ตลืมไปแล้วเหรอ?” เจแปนย้ำเตือนความจำให้ เผื่อว่าอีกคนจะลืมไปว่าทั้งคู่ยังไม่ได้เคลียร์ใจกันเลย และเื่นี้เจแปนก็ไม่สามารถปล่อยผ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ด้วย
“แล้วเราควรทำยังไงต่อดี” อีกฝ่ายถามกลับมาเหมือนคนไม่รู้ภาษา
“ก็แยกกันทำธุระส่วนตัวของใครของมันไง พออาบน้ำเสร็จ เราก็ค่อยมาคุยกันและถ้าจะไม่คุย… พอร์ตก็กลับไปนอนห้องของตัวเองเลย” เจแปนยื่นคำขาดกลับไปให้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกคนเกิดความกลัวเลยแม้แต่นิด มิหนำซ้ำยังมีการส่งยิ้มหน้าระรื่นกลับมาให้กันอีก
เวลาต่อมา หลังจัดการทำธุระส่วนตัวของใครของมันเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็มาเสียเวลาง่วนอยู่กับการขุดหาชุดนอนให้คนรักของตัวเองต่อ เนื่องจากเขาไม่ได้เตรียมไว้ั้แ่แรก เพราะไม่คิดว่าในคืนนี้พอร์ตจะมานอนค้างด้วย
“ชุดนี้น่าจะใส่ได้แหละมั้ง” เขาพึมพำเสียงแ่ พร้อมยื่นชุดนอนตัวใหญ่ที่ซื้อไว้นานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้หยิบออกมาใส่ส่งต่อให้คนตรงหน้า
“เราจะได้ใส่อยู่เหรอ?” พอร์ตถามกลับมาพลางหลุบตามองเล็กน้อย และไม่ยอมยื่นมือออกมารับชุดไป “เพราะยังไงเดี๋ยวเราก็ต้องถอดออกอยู่ดี”
“ไม่มีทาง” เจแปนตอบกลับไปทันที
“…”
“ตกลงพอร์ตจะใส่หรือไม่ใส่? ถ้าไม่ใส่พอร์ตก็กลับไปนอนห้องตัวเองเลย” เขาว่าต่อ โดยเจแปนก็เลือกที่จะใช้คำพูดเดิม ๆ มาข่มขู่อีกฝ่าย เพราะมันเป็เื่เดียวที่เขาพอจะใช้ได้
“…ก็ได้” อีกฝ่ายตอบกลับมาและยอมยื่นมือมารับชุดนอนไปแต่โดยดี
เมื่อทั้งสองต่างอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเจแปนก็ชักชวนพอร์ตให้มานั่งดูหนังด้วยกันก่อน ถึงค่อยไปเข้านอนพร้อมกัน ซึ่งตลอดทั้งการนั่งเคียงข้างกันอยู่บนโซฟานั้น ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบใส่กันเช่นเดิม ไม่คิดจะใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยถึงปัญหาที่คาใจ
แต่ทว่าจังหวะที่เจแปนกำลังมีความคิดที่อยากจะทำอะไรบางอย่างนั้น จู่ ๆ พอร์ตก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แปนรอเราได้ไหม?” พอร์ตพูดขึ้น โดยนั่นก็ทำให้เจแปนต้องหันมองคนข้างกายด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“รอ? รออะไร” เขาถามกลับไปอย่างซื่อ ๆ และว่าต่อ “แล้วทำไมเราต้องรอด้วย?”
“รอเวลาไง”
“…”
“ตอนนี้เรายังทำอะไรมากไม่ได้ ยังบอกอะไรมากไม่ได้ แต่เจแปนรอนะ… แล้วเวลาจะทำให้เจแปนเข้าใจทุกอย่างเอง” พอร์ตเอ่ยพร้อมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเจแปน เหมือน้าบอกใบ้อะไรบางอย่างให้แก่เขา แต่อาจเป็เพราะเจแปนโง่เขลาเกินไป นั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถตีความหมายคำบอกใบ้นั้นได้เลย
“แต่เราแค่อยากรู้เื่เดียว” เจแปนว่า “ตอนนี้…พอร์ตยังมีเแค่เราใช่ไหม? ยังรักแค่เราหรือเปล่า”
ไม่รู้ทำไมแม้ก่อนหน้านี้เจแปนจะมีการเตรียมใจมาแล้วว่าคำตอบที่เขาได้รับ มันอาจทำให้เขาเกิดความเสียใจหรือผิดหวัง แต่พอถึงเวลาที่เขาจะต้องถามจริง ๆ เจแปนกลับภาวนาขอให้เื่ทุกอย่างมันเป็สิ่งที่เขากับเพื่อนต่างคิดไปเองทั้งนั้น พอร์ตยังมีเขาแค่คนเดียวเหมือนอย่างที่เคยเป็มาตลอด
เจแปนภาวนาขอให้มันเป็เช่นนั้น…
“กับพอร์ตไม่รู้ แต่ว่าเรามีแค่แปนนะ”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” เจแปนพูดทันที
“…”
“ทำไมถึงพูดเหมือนว่ามีสองคนอย่างนั้นล่ะ คนหนึ่งชื่อพอร์ต ส่วนอีกคนก็ชื่อพัตเตอร์” เจแปนว่า “อย่าตลกไปหน่อยเลย พอร์ตเป็ลูกชายคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ตอนนั้นพอร์ตก็เคยบอกเราว่าอย่างนั้นนี่”
“ครับ ลูกชายคนเดียวแหละ”
“แล้ว?”
“…”
“พูดต่อสิ เพราะตอนนี้เรากำลังงงไปหมดแล้วว่าพอร์ต้าจะสื่ออะไรกันแน่” เจแปนเอ่ย พร้อมเป็ฝ่ายจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมแทน
“เอาเป็ว่าเจแปนจำคำพูดของเราไว้ก็แล้วกัน” อีกฝ่ายบอกกลับมาและใช้นิ้วชี้เกลี่ยเส้นผมที่ติดอยู่ข้างแก้มของเจแปนออกอย่างอ่อนโยน แล้วค่อยพูดต่อ “พอถึงตอนนั้นน่ะ เจแปนจะไม่ต้องมาถามอะไรเราเลย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเราต้องรอไปอีกนานแค่ไหน” เจแปนถามต่อด้วยความใคร่รู้
“ไม่นานหรอก”
“…”
“อีกไม่ถึงสามเดือนหลังจากนี้ อะไรที่เจแปนเคยสงสัย ตั้งคำถามเอาไว้…เจแปนก็จะได้รู้ทุกอย่างเลย”
ถึงคำพูดของพอร์ตมันจะดูงงจนคนฟังแทบจะจับใจความสำคัญไม่ได้ แต่เจแปนก็ยังเลือกที่จะปล่อยไปอยู่ดี ด้วยคำพูดของอีกฝ่ายที่บอกทิ้งท้ายเอาไว้ว่าอีกไม่ถึงสามเดือนหลังจากนี้ อะไรที่เจแปนเคยสงสัยและตั้งคำถามเอาไว้ เขาก็จะได้รับความกระจ่าง
เช้าวันต่อมา หลังได้นอนกกกอดกับแฟนหนุ่มมาตลอดทั้งคืน แถมยังตื่นมาเห็นหน้าคนรักเป็คนแรกอีก นั่นก็ทำให้เจแปนรู้สึกอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย จนแทบจะไม่เหลือเศษเสี้ยวความอารมณ์เสียที่ตกค้างมาจากเมื่อวานด้วยซ้ำ
“นึกว่าตื่นมาแล้วจะไม่เจอซะอีก” เขาเอ่ยสิ่งที่คิด ระหว่างที่กำลังใช้ดวงตากลมโตของตัวเองจ้องมองแฟนหนุ่มที่ยังคงหลับอยู่ ซึ่งเจแปนก็ไม่คิดว่าจะปลุกอีกฝ่ายแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะปล่อยให้พอร์ตนอนต่อ ส่วนตัวเขาเองก็ลุกลงจากเตียงตั้งใจจะไปทำอาหารเช้าง่าย ๆ ตามวัตถุดิบที่ยังพอมีเหลืออยู่ในตู้เย็น แล้วค่อยไปอาบน้ำแต่งตัวทำกิจวัตรอื่น ๆ
“สงสัยเช้านี้น่าจะทำได้แค่ข้าวไข่ดาวแฮะ” เจแปนว่า เมื่อในตู้เย็นของเขามันมีแค่ไข่ไก่ตามประสาคนที่ไม่ค่อยได้เข้าครัว แต่เพราะทั้งพอร์ตและเจแปนต่างเป็คนกินง่ายทั้งคู่ ยิ่งเป็พวกมื้อเช้าพวกเขายิ่งไม่เื่มาก ดังนั้นเจแปนจึงคิดว่าการทำข้าวไข่ดาวกินกับคนรักเป็มื้อเช้าของวัน มันไม่ใช่เื่แย่อะไรนัก
พอคิดได้เช่นนั้นเจแปนก็ไม่รอช้า เขารีบหยิบเอาวัตถุดิบที่มีอยู่เอามาเตรียมไว้ข้างนอกและจัดการเสียบปลั๊กอุ่นข้าว พร้อมตั้งเตาเตรียมทำอาหารทันที เพื่อที่พอร์ตจะได้ตื่นมาแล้วกินเลย
“ทำอะไรอยู่” ทว่าระหว่างที่เจแปนกำลังยืนรอให้น้ำมันเดือด เพื่อที่เขาจะได้ทำไข่ดาว เสียงของพอร์ตก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ก็ทำมื้อเช้าไง”
“…”
“แล้วนี่ทำไมตื่นเร็วจัง เราอุตส่าห์ไม่ปลุกแล้วนะเนี่ย” เจแปนถามคนรัก
“ก็พอเรารู้สึกว่าข้างตัวมันโล่งแปลก ๆ เราก็เลยรู้สึกตัวน่ะ” พอร์ตให้เหตุผลกลับมา จากนั้นอีกฝ่ายก็ได้ทำบางอย่างที่เหนือความคาดหมายของเจแปน นั่นก็คือการโน้มหน้าลงมาจุ๊บที่ข้างแก้มของเขา ในระหว่างที่เจแปนกำลังยืนหันหลังให้อีกฝ่าย เพราะเตรียมตัวจะทำไข่ดาว
“ทำอะไรเนี่ย” เมื่อตั้งสติได้ เจแปนก็หันหน้ากลับไปถามคนรักด้วยท่าทีอึ้ง ๆ
“ก็มอร์นิ่งคิสไง” อีกฝ่ายตอบกลับมา
“…”
“จากนี้ไปเราจะทำแบบนี้กับแปนบ่อย ๆ นะ แปนจะได้ชิน” พอร์ตเอ่ย ไม่มีแม้แต่ท่าทีเคอะเขินเหมือนอย่างเจแปนด้วยซ้ำ ทั้งที่ปกติแล้วอีกฝ่ายไม่ชอบทำตัวหวาน ๆ หรือทำตัวโรแมนติกกับเจแปนเท่าไรนัก ขนาดคบกันมาหกปีซื้อของขวัญแทนใจให้กันก็มีแค่ไม่กี่ครั้งเอง
จริง ๆ พอร์ตในเวอร์ชันนี้มันก็ดีแหละ แต่มันดีเกินไป…แถมบางครั้งเจแปนก็ชอบเผลอคิดอยู่บ่อย ๆ ว่านี่ไม่ใช่พอร์ตตัวจริง แต่แค่เป็คนที่มีลักษณะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเท่านั้น และอีกฝ่ายก็จะปรากฏตัวขึ้นในยามที่พอร์ตตัวจริงไม่ได้อยู่กับเจแปน
เดี๋ยวนะ… พอคิดได้เช่นนั้น คิ้วของเจแปนก็เริ่มขมวดเข้าหากันอีกครั้ง ขณะที่สายตาของเขาก็คอยจับจ้องพอร์ตตรงหน้าตาไม่กะพริบ เมื่อเจแปนคิดว่าสิ่งที่เขาเพิ่งจะสันนิษฐานออกมา มันมีความเป็ไปได้สูงที่จะเป็จริง
พอร์ต? พัตเตอร์?
“น้ำมันในกระทะร้อนแล้วนะ ไม่ทำอาหารเหรอ มัวแต่จ้องหน้าเราอยู่ได้” คนตรงหน้าพูดขึ้นและนั่นก็ทำให้เจแปนหลุดจากภวังค์
“ลืมไปเลย” เขาว่าเสียงแ่แล้วทำทีหันกลับไปให้ความสนใจกับกระทะต่อ โดยในเวลาเดียวกันเจแปนก็ไม่สามารถสลัดความคิดเมื่อก่อนหน้านี้ออกจากหัวได้เลย
เวลาต่อมา หลังจากที่เขาจัดการทำไข่ดาวและข้าวที่อุ่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็เสร็จพอดี เจแปนก็จัดการตักข้าวใส่จานและนำไข่ดาวมาวางเรียงไว้ข้างบนแล้วค่อยส่งต่อให้พอร์ต เพื่อให้คนรักได้กิน ก่อนที่อีกฝ่ายจะไปทำกิจวัตรส่วนอื่นของตัวเองต่อ แต่ทว่าพอพอร์ตยื่นมือมารับจานข้าวไปแล้ว เจแปนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะไข่ดาวในจานพอร์ต มันเป็ไข่ดาวแบบที่ไข่แดงไม่สุก
แต่คนรักของเจแปนมักจะกินไข่ดาวแบบสุกเสมอ
“เราลืมไปเลยว่า…” ในจังหวะที่เจแปนกำลังหันกลับไปบอกคนรักว่าเขาจะทำไข่ดาวให้ใหม่ เจแปนก็ต้องชะงักค้างไปอีกครั้ง เมื่อมันเป็นาทีเดียวกันกับที่พอร์ตกำลังตักไข่ดาวที่ไข่แดงไม่สุกเข้าปากหน้าตาเฉย ทั้งที่อีกฝ่ายพูดอยู่บ่อย ๆ ว่าเ้าตัวชอบกินไข่ดาวแบบสุก ๆ
“มีอะไรหรือเปล่า?” แฟนหนุ่มคนตรงหน้าถามกลับมาทั้งหน้าซื่อ
“…”
“เจแปนมีอะไร” อีกฝ่ายถามย้ำอีกครั้ง และคราวนี้เจแปนก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป พร้อมกับเริ่มมั่นใจอะไรบางอย่างแล้วว่าเื่นี้มันต้องมีความไม่ชอบมาพากลแน่
่บ่ายของวัน
“แปน… นี่มึงถามมันหรือยัง สรุปมันนอกใจมึงใช่ไหม? บอกมาเลยเดี๋ยวกูพาไปบุกถึงคณะ”
“…”
“เจแปน นี่มึงได้ยินที่กูพูดไหมเนี่ยหรือว่ามึงยังไม่ได้ถาม?”
“มึงว่า…มันจะมีความเป็ไปได้ไหมที่คนเราจะมีอีกร่างหนึ่ง”
“ฮะ? ถามอะไรของมึงเนี่ย”
“ตอบมาก่อนสิ มึงว่ามันมีความเป็ไปได้หรือเปล่า?” เจแปนถามความเห็นจากเพื่อนเสียงเครียด เมื่อเขาไม่สามารถสลัดเื่นี้ออกจากหัวได้เลย
“แล้วมันจะเป็ไปได้ยังไง ในเมื่อนี่คือโลกแห่งความเป็จริงนะ ไม่ใช่โลกนิยายหรือแฟนตาซี”
“…”
“มึงไปติดหนังเื่ไหนมาอีกล่ะ ทำไมถึงได้มาถามอะไรทำนองนี้?” เพื่อนถามกลับมา ซึ่งเจแปนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เนื่องจากเขายังคงให้ความสนใจกับเหตุการณ์เมื่อเช้านี้อยู่ ไหนจะบทสนทนาแปลก ๆ ที่พอร์ตเคยคุยกับเขาเมื่อคืนนี้อีก ทุกอย่างมันดูแปลกไปหมดเลย
ั้แ่เมื่อไรกันนะที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้น?
“หรือว่าพอร์ตไม่สบาย เครียดเื่เรียนหนัก จน…” เจแปนพยายามคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เผื่อว่าสิ่งที่เขาคิดมันอาจเป็เื่เพ้อฝันเกินไป
ก็อย่างที่เพื่อนเขาบอกนั่นแหละ… นี่มันคือโลกแห่งความเป็จริง มันไม่ใช่โลกแฟนตาซีที่มีแต่เื่เหนือธรรมชาติ
“แล้วสรุปมึงได้ถามเื่นอกใจไหมเนี่ย?” เพื่อนของเจแปนวกกลับมาที่ประเด็นเดิมอีกครั้ง คล้ายกับอยากรู้เื่ของเขาเต็มแก่
“ถาม…แต่มันบอกว่ารอเวลาแล้วทุกอย่างที่กูกำลังสงสัย ไม่ว่าจะเป็เื่อะไร เดี๋ยวกูจะได้รู้เอง” เจแปนตอบตามที่พอร์ตเคยพูดเอาไว้ ทำเอาเพื่อนของเขาถึงกับร้องฮะเบา ๆ ในลำคอ
“งงอ่ะ เหมือนมันตอบไม่ตรงคำถามเลย แล้วทำไมมันถึงตอบแบบนั้นล่ะ แค่ตอบมาว่านอกใจหรือไม่นอกใจเอง ทำไมต้องตอบแบบอ้อมโลกด้วยวะ” เพื่อนของเขาว่า
“ไม่รู้สิ แต่พอร์ตบอกว่าไม่เกินสามเดือนนะ เดี๋ยวกูจะได้รู้เอง”
“ทำไมตอบเหมือนไม่ใช่เื่ของตัวเองเลยแฮะ” เพื่อนเจแปนพึมพำต่อทั้งคิ้วขมวด ส่วนเจแปนหลังได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนเล็กน้อย เนื่องจากเขาก็รู้สึกแบบเดียวกับอีกฝ่าย
เมื่อคืนนี้พอร์ตตอบเหมือนมันไม่ใช่เื่ของตัวเองเลย ทั้งที่มันเกี่ยวข้องกับเ้าตัวโดยตรง
“วันนี้เราโดนสั่งงานมาอีกแล้ว แถมสั่งงานชิ้นใหญ่ด้วยโคตรน่าเบื่อเลย”
“เหรอ แล้วอาจารย์เขาสั่งอะไรมาอีกล่ะ”
“อาจารย์เขาสั่งให้เราทำนิตยสารอ่ะ เป็งานเดี่ยวเล่มละสิบถึงสิบห้าหน้า ส่วนประเภทนิตยสารก็เอาตามที่เราถนัดเลย จะทำเป็แนวนิตยสารแฟชั่นก็ได้”
“งั้นก็งานถนัดแปนเลยสิ เพราะมันก็ไม่ได้ดูยากขนาดนั้นนะ” ขณะที่กำลังนั่งกินมื้อเย็นด้วยกัน บทสนทนาระหว่างเจแปนและพอร์ตก็คอยดังสลับกันไปมา เมื่อเจแปนกำลังทำการบ่นรายวิชาหนึ่งที่อาจารย์ค่อนข้างสั่งงานบ่อยและงานแต่ละชิ้นก็มักจะเป็งานชิ้นใหญ่เสมอ
“เอาจริงมันก็ไม่ได้ยากมากมายหรอก แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราจะต้องหาคนมาขึ้นปกงานเดี่ยวของตัวเอง” เจแปนเกริ่นขึ้นพลางสังเกตท่าทีคนรักไปด้วย
“…”
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถ้างั้นพอร์ตช่วยมาขึ้นปกให้เราได้ไหม? พอดีเราไม่อยากเสียเงินไปจ้างคนอื่นอ่ะ” เจแปนตัดสินใจพูดออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม หลังเขาคิดว่าการให้คนรักมาช่วยงานตัวเองนิด ๆ หน่อย ๆ มันไม่ใช่เื่เสียหายอะไร ประกอบกับตัวของเจแปนก็อยากประหยัดงบประมาณด้วยและเขาก็คอยช่วยงานพอร์ตอยู่เสมอ ขอเพียงแค่อีกฝ่ายร้องขอ
ดังนั้นหากเจแปนอยากจะให้คนรักแสดงความมีน้ำใจกลับมาบ้าง มันก็น่าจะไม่ใช่เื่น่าเกลียดอะไร
“จะให้เราช่วยงั้นเหรอ เราเนี่ยนะ?” พอร์ตถามพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก
“อืม พอร์ตนี่แหละ” เจแปนพยักหน้ายืนยัน ซึ่งพอต่อมาเขาเห็นว่าพอร์ตนิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เจแปนจึงถามออกไป “ทำไมเหรอ ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“คือเราไม่อยากทำ”
“…”
“เราว่าเราไม่น่าจะว่างมาถ่ายงานให้แปนนะ”
“แต่เรายังไม่บอกนะว่าจะเริ่มทำตอนไหน ทำไมถึงบอกว่าตัวเองไม่ว่างแล้วล่ะ” เจแปนถามกลับไปทั้งหน้านิ่ง
“…”
“สรุปคือจะไม่ช่วยใช่ไหม ทำไมล่ะ? เราขอเหตุผลได้หรือเปล่า” เจแปนว่าต่อ เมื่อเขาเห็นว่าพอร์ตเอาแต่นั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก ทั้งที่เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ช่วยกัน
“ก็เราไม่ชอบทำงานหน้ากล้อง” พอร์ตให้เหตุผลกลับมา
“แต่พอร์ตเคยเป็ถึงเดือนคณะเลยนะ” เจแปนท้วงกลับไปทันที เพราะ่ปีหนึ่งอีกฝ่ายได้รับตำแหน่งเป็เดือนคณะและต้องทำกิจกรรมอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อเป็การโปรโมตให้กับคณะและมหาลัย
“ก็เพราะตอนนั้นแหละ เราเลยรู้ตัวว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ชอบทำงานหน้ากล้องเอาซะเลย”
“…”
“แต่ตอนนั้นที่เราปฏิเสธไม่ได้ ก็เพราะอาจารย์ขอเราเอาไว้ แต่พอตอนนี้เรามีสิทธิ์เลือกได้แล้วว่าจะทำหรือไม่ทำ เราก็เลยเลือกที่จะไม่ทำไง แล้วเราผิดอะไรอ่ะ?” พอร์ตถามกลับมา ทำเสมือนว่าเื่นี้เจแปนเป็คนผิดมาก
“โอเค เราผิดเองแหละที่ไปคาดหวังกับพอร์ตเกินไป” นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะพูดอะไรออกมา ซึ่งเขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะใจเย็นกับเื่นี้ เพราะเจแปนก็อยากเข้าใจเหตุผลของคนรักเหมือนกัน
“แล้วแปนมาคาดหวังอะไรกับเราเหรอ” พอร์ตถามต่อ
“เราก็แค่คาดหวังว่าพอร์ตจะแสดงน้ำใจอะไรกับเราบ้าง เหมือนอย่างที่เราเคยแสดงน้ำใจกับพอร์ตไง”
“…”
“ทุกครั้งที่พอร์ตเอ่ยปากขอให้เราไปช่วยงานพอร์ต เท่าที่จำได้…เราก็ไม่เคยปฏิเสธเลยนะ เราจะรีบเคลียร์งานตัวเองให้ว่าง เพื่อที่เราจะได้ไปช่วยงานแฟนได้ เราก็เลยคาดหวังไปว่าพอร์ตเองก็คงจะปฏิบัติตัวกับเรา ให้ความสำคัญกับเราเหมือนอย่างที่เราทำกับพอร์ตไง” เจแปนร่ายยาว
“ไม่อ่ะ เราว่าอันนี้มันไม่ใช่น้ำใจแล้ว” พอร์ตส่ายหน้าปฏิเสธกลับมาให้ เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับเจแปน
“หมายความว่าไง” เจแปนถาม
“ก็ถ้าการที่แปนช่วยเหลือเราวันนี้ เพราะหวังว่าในอนาคตแปนจะได้ใช้ประโยชน์จากเราบ้าง แล้วแบบนี้มันจะเรียกน้ำใจได้ยังไงล่ะ” อีกฝ่ายเอ่ย โดยนั่นก็ทำให้คนฟังนิ่งค้างไป
“…”
“ถ้างั้นเอางี้แล้วกัน ถ้าแปนอยากให้เราแสดงความมีน้ำใจกลับไปมากนัก งั้นเราขอช่วยงานในส่วนอื่นก็แล้วกันนะ แต่ไม่ใช่เป็นายแบบขึ้นปกให้” พอร์ตพูดต่อเหมือนพยายามหาทางออกให้กับเื่นี้ ก่อนที่ทั้งสองจะได้ทะเลาะกันจนบานปลายอีก
ซึ่งในระหว่างที่พอร์ตกำลังพูด เจแปนก็คอยคิดไปด้วยว่าท่าทีของอีกฝ่ายใน่เย็น มันช่างดูแตกต่างจากพอร์ตใน่เช้ามาก และพอร์ตที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเจแปนในเวลานี้ ก็เหมือนจะเป็พอร์ตคนที่เขาคุ้นเคยมากกว่าคนเมื่อเช้าที่ทั้งอ่อนโยนและดูใจดีเสียอีก
“พอร์ต” เจแปนตัดสินใจเรียกชื่ออีกฝ่ายดู
“อะไร?” ผู้เป็เ้าของชื่อขานรับกลับมา
“พัตเตอร์” คราวนี้เจแปนลองเรียกอีกชื่อ
“นั่นชื่อใคร?” พอร์ตคนตรงหน้าถามกลับมาทั้งคิ้วขมวด