หลังเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็รีบพุ่งตรงไปยังโซนโรงหนังด้วยความร้อนอกร้อนใจ โดยห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มันก็ไม่ค่อยมีคนมาเดินมากนัก เนื่องจากผู้คนต่างนิยมไปห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันมากกว่า
ดังนั้นห้างนี้มันจึงเหมาะเหลือเกินที่จะพาคนในความลับมาใช้เวลาร่วมกัน
“เย็นไว้เรา...” เจแปนพูดเตือนสติตัวเอง ก่อนที่เขาจะหัวเสียไปมากกว่านี้
ซึ่งทางขึ้นลงของโรงหนังในห้างนี้ มันก็มีเพียงแค่บันไดเลื่อนแค่ที่เดียวเท่านั้น ไม่มีลิฟต์หรือเส้นทางอื่น ฉะนั้นเจแปนจึงควรจะทำใจร่ม ๆ แล้วนั่งรอให้ทั้งสองคนดูหนังเสร็จก่อน ถึงค่อยเคลียร์เื่ราวแบบเราสองสามคนให้จบ ๆ ไป
เจแปนพยายามจะใจเย็นอย่างถึงที่สุด เนื่องจากตัวเขาเองก็ไม่อยากจะมาสร้างความวุ่นวายให้กับทางห้างสรรพสินค้าเช่นกัน
ระหว่างที่กำลังคอยให้หนังรอบดึกฉายเสร็จ เจแปนก็ถือโอกาสนั้นในการซักถามบุคคลนิรนามที่ส่งข้อความมาบอก เนื่องจากเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็ใคร และได้ประโยชน์อะไรจากการมาบอกเื่นี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงแค่กดอ่านเท่านั้น แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาสักประโยค
“เพื่อนในคณะพอร์ตเหรอ” เจแปนคาดเดาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
เอาเข้าจริง...พอร์ตเองก็ไม่ได้อยากให้เจแปนรู้จักหรือสนิทกับเพื่อนของเ้าตัวขนาดนั้นหรอก
จริงอยู่ที่พอร์ตไม่ได้กีดกันหรือสั่งห้ามไม่ให้เจแปนรู้จักกับเพื่อนของอีกฝ่าย พอร์ตไม่เคยพูดมันออกมาเลย แต่หลายครั้งเวลาที่เจแปนได้ไปช่วยงานพอร์ตที่คณะของเ้าตัว เขาก็มักจะรู้สึกเหมือนถูกแฟนหนุ่มกันท่าตลอดเวลา ยามที่เจแปนมีการพูดคุยกับเพื่อนของเ้าตัวเพื่อผูกมิตร
คราวแรกเจแปนก็หลงตัวเองนึกว่าพอร์ตหึงหวงเสียอีก เลยไม่ค่อยอยากให้เขาพูดคุยกับเพื่อนอีกฝ่าย แต่พอเจแปนได้ลองคิดไปคิดมาแล้ว มันน่าจะเป็เหตุผลอื่นเสียมากกว่ายกตัวอย่างเช่น หากเจแปนสนิทสนมกับเพื่อนของพอร์ต อะไรที่มันเป็ความลับมันก็น่าจะปกปิดได้ยากขึ้น
“เหอะ เราก็กล้าคิดไปเองนะ ว่าเขาหวงเรา” เจแปนบอกกับตัวเองด้วยน้ำเสียงสมเพช และเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาเช็กเวลา
“ใกล้จะถึงเวลาแล้วนี่” เจแปนว่าแล้วเริ่มคิดต่อว่าเขาควรจะเริ่มต้นพูดกับทั้งสองยังไงดี หากได้เจอกันแบบซึ่ง ๆ หน้าแล้ว
อีกไม่ถึงสิบนาที... อะไรที่มันทำให้เจแปนรู้สึกเป็ทุกข์มาร่วมเดือนมันก็จะได้ปลดล็อกสักที
เวลาต่อมา หลังเห็นคนดูหนังรอบดึกทยอยลงมาจากโรงแล้ว เจแปนที่ตั้งท่ารอั้แ่แรกก็เดินไปยืนรออยู่ที่หน้าบันไดเลื่อนด้วยใบหน้านิ่ง ๆ โดยภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยและดูจะเฉยชาของเขานั้น ความรู้สึกที่แท้จริงของเขามันก็ไม่ได้เป็เหมือนที่แสดงออกเลย
เจแปนกำลังอ่อนแอแค่ไหน เขารู้ตัวเองดี
“ทำไมถึงยังไม่ลงมาอีก มั่วทำอะไรอยู่” เมื่อยืนรอไปได้สักระยะ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าคนที่คอยจะเดินลงบันไดเลื่อนมาเสียที นั่นจึงทำให้เจแปนมีการพูดกับตัวเองด้วยอาการหัวเสียเล็กน้อย เพราะตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบคอยอะไรนาน ๆ เหมือนกัน
“หรือว่าจะไหวตัวทัน เลยยังไม่ยอมลงมา” เจแปนตั้งข้อสันนิษฐานทั้งคิ้วขมวด และในจังหวะเดียวกันนั้นผิงคู่กรณีของเขาก็เดินลงมาพอดี ทว่าแทนที่เธอจะเดินลงมาพร้อมกับพอร์ตเหมือนอย่างที่เจแปนคิดเอาไว้ เธอกลับลงมาพร้อมผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนของเจแปนเสียอย่างนั้น
ซึ่งในวินาทีนั้นเจแปนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี
“อ้าว... เจแปนมาทำอะไรที่นี่เหรอ” ทันทีที่เห็นหน้า ผิงก็เดินเข้ามาทักทายเจแปนด้วยใบหน้าปกติ ดูไม่มีพิรุธอะไรทั้งนั้น
“เรารอเธอนั่นแหละ” เจแปนตอบกลับไป โดยนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายทำหน้างงแล้วถามกลับมา
“รอเรา? รอทำไมเหรอ มีเื่อะไรหรือเปล่า” ผิงถามอย่างซื่อ ๆ
“อ้าว ก็เธอมาดูหนังกับแฟนเราไม่ใช่เหรอ”
“บ้า เรามาดูหนังกับพี่คนนี้ต่างหาก” ผิงตอบกลับมาทันที พลางพยักพเยิดหน้าไปทางผู้ชายที่เดินลงมาด้วยกัน “เจแปนเข้าใจผิดแล้ว เราจะมาดูหนังกับพอร์ตทำไม”
“...”
“นี่เจแปนอย่าบอกนะ...ว่าเจแปนกำลังคิดว่าเรากับพอร์ตแอบคุยกันอยู่น่ะ” ผิงถามต่อพร้อมหัวเราะในลำคอ คล้ายกับนึกขันให้กับความคิดของเจแปน
“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว เรากับพอร์ตเป็แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละ”
หลังจากที่ผิงยืนยันกลับมาเช่นนั้น อีกฝ่ายก็เดินจากไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้น ในขณะที่เจแปนก็ได้แต่ยืนนิ่งด้วยแววตาสับสน ก่อนที่ต่อมาเขาจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูรูปที่ถูกถ่ายมาอีกหน แล้วหันมองตามผิง ซึ่งเสื้อผ้าที่ผิงใส่อยู่ในรูป มันก็เป็เสื้อผ้าชุดเดียวกันกับที่เธอกำลังสวมใส่อยู่ในตอนนี้
แต่ทำไมเจแปนถึงไม่เห็นแม้แต่เงาพอร์ต มันหมายความว่ายังไง?
หลายวันต่อมา...
“กูรู้สึกว่าเื่ความรักมึง มันกระทบกับชีวิตมึงมากเกินไปว่ะ แบบ...มึงปล่อยให้ความรักของมึงมีอิทธิพลกับทั้งชีวิตมึงมากเกินไป มึงเข้าใจที่กูจะสื่อไหม”
“เข้าใจ กูเข้าใจที่มึงจะสื่อดี” เจแปนพยักหน้าตอบกลับไป
“เออ เข้าใจก็ดี เพราะงั้นห่าง ๆ ออกมาเถอะมึง กูไม่อยากมาพูดอะไรซ้ำซากแล้ว เพราะกูก็เบื่อเหมือนกัน”
“...”
“กูว่าไม่ต้องไปใส่ใจพอร์ตขนาดนั้นหรอก มึงขาดมันได้นะแต่มันน่ะขาดมึงไม่ได้แน่นอน เพราะเวลาที่มันหมุนเงินไม่ทันก็มีแค่มึงอ่ะที่สามารถช่วยเหลือมันได้” บัวพูดเสียงจริงจัง ในขณะที่เจแปนเองก็ได้แต่นิ่งเพื่อรับฟัง ไม่ได้ปกป้องแฟนหนุ่มหรือเถียงกลับไปเหมือนอย่างทุกครั้งแล้ว
เนื่องจากเขาเองก็เหนื่อยเหมือนกัน และรู้ด้วยว่าตัวเองกำลังปล่อยให้ความรักเข้ามามีอิทธิพลกับทั้งชีวิตของตัวเองมากเกินไป
“แล้วนี่ั้แ่วันนั้น มันได้ติดต่อกลับมาหามึงบ้างไหม” บัวถามต่อทั้งคิ้วขมวด
“ไม่นะ ั้แ่ทะเลาะกันคราวนั้น กูกับพอร์ตก็ไม่ได้คุยกันเลย”
“...”
“กูไม่ง้อก่อน มันเองก็ไม่ง้อกูเหมือนกัน ตอนนี้มันเลยกำลังอยู่ใน่ห่าง ๆ กันอยู่นั่นแหละ” เจแปนตอบเพื่อนไปตามตรง เมื่อเขากับพอร์ตไม่มีการติดต่อหากันเลย นับั้แ่วันที่เจแปนขอให้พอร์ตส่งเขาไว้ที่หน้าตลาด
ไม่ใช่ว่าเจแปนไม่สนใจใยดีคนรักอีกแล้ว แต่ด้วยปัญหาและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาโดยตลอด นั่นจึงทำให้เจแปนคิดว่า ถ้าพวกเขาต่างหายไปจากชีวิตของกันและกันชั่วคราว ปล่อยให้เวลามันเป็เครื่องเยียวยาทุกอย่าง สถานการณ์มันอาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็อยู่ก็ได้ และถ้าหากพูดคุยกันตอนนี้
สุดท้ายพวกเขาก็อาจต้องจบลงด้วยความไม่เข้าใจและทะเลาะกันเหมือนเดิม
“ปล่อยมันไป ถ้าวันไหนที่มึงคิดถึงมันมาก ๆ มึงก็เอาเวลามานั่งทำงานดีกว่า เพราะ่นี้อาจารย์พากันสั่งงานเยอะฉิบหายเหมือนนัดกันมาแล้ว” บัวบ่นต่อ โดยเธอก็กำลังบ่นเื่งานชิ้นใหม่ที่อาจารย์สั่งมา ทั้งที่งานเก่าก็ยังไม่ทันได้เคลียร์ด้วยซ้ำ
“พูดถึงเื่งานแล้ว มึงจะทำเื่อะไรอ่ะ” เจแปนถามเพื่อน หลังงานใหม่ที่พวกเขาเพิ่งได้รับมอบหมายมานั้น มันคืองานเขียนบทภาพยนตร์ประเภทแฟนตาซี
“ก็อาจจะเอาความเชื่อแถวบ้านเกิดกูมาเขียนแหละมั้ง พวกพญานาคน่ะ” บัวตอบกลับมา “อันนี้ที่กูคิดเอาไว้นะ แต่จะเอามาเขียนไหมก็ต้องดูอีกที แล้วมึงอ่ะจะทำเื่อะไร?”
“ไม่รู้เหมือนกัน พวกแฟนตาซีกูก็ไม่ค่อยถนัดอยู่ด้วย”
“...”
“กูขอเวลาคิดก่อนนะ แล้วจะมาบอกมึงอีกที” เจแปนบอกเพื่อนพร้อมถอนหายใจออกมาหนึ่งหน ซึ่งเดี๋ยวนี้เจแปนก็ชอบถอนหายใจอย่างแรง จนมันกลายเป็นิสัยของเขาไปเสียแล้ว
อาจเป็เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ชีวิตของเขามันมีแต่เื่เครียด ๆ แหละมั้ง เจแปนถึงได้ติดนิสัยถอนหายใจแรง ๆ แบบนี้มา
่เย็นของวัน หลังจากที่เจแปนเรียนเสร็จแล้ว เขาก็เดินทางกลับมาที่คอนโดของตัวเองเหมือนอย่างปกติ โดยก่อนที่เจแปนจะเดินทางเข้าคอนโดนั้น เขาก็มีการแวะเข้าร้านอาหารข้างทาง เพื่อหาซื้ออะไรไปกินด้วย
อันที่จริง... เจแปนก็เพิ่งจะมารู้ตัวว่าเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังได้ดี ก็ตอนที่เขารู้สึกเหนื่อยล้ากับพอร์ตนี่แหละ
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่กล้าแม้แต่จะมีปากมีเสียงกับเื่ที่ตัวเองไม่เห็นด้วย นั่นก็เพราะเขากลัวการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น กลัวว่าหากเขาลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง สถานการณ์ที่เป็อยู่มันจะแย่ลงกว่าเดิม ทั้งที่ความจริงแล้ว การที่เขาลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง มันอาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นและไม่แย่ไปกว่านั้นก็ได้
เพราะความกลัวของเจแปน นั่นจึงทำให้เขากลายเป็คนโง่ในสายตาของใครบางคน
“ฝนตกอีกแล้วเหรอ เฮ้อ... โชคดีนะเนี่ย ที่วันนี้เรากลับห้องเร็ว” เมื่อเข้ามาในห้องพร้อมกับถุงกับข้าวประมาณสองถึงสามอย่างแล้ว เจแปนก็พูดกับตัวเองและเดินไปปิดม่าน หลังตอนนี้ข้างนอกตึกกำลังมีเม็ดฝนโปรยปรายตามฤดูกาลของมัน
โดยหลังจากที่เจแปนปิดผ้าม่านเสร็จ เขาก็เดินกลับเข้ามาทำนั่นนี่ของตัวเองต่อ ไม่ว่าจะเป็การเตรียมภาชนะมาใส่อาหารมื้อเย็น รวมไปถึงการนั่งหาวาไรตี้สักช่องมานั่งดู ระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวไปด้วย ซึ่ง่นี้ชีวิตของเจแปนมันมักจะวนลูปแบบนี้อยู่เสมอ ไม่มีการโทรหาใครทั้งนั้นและก็ไม่ต้องคอยมานั่งเป็ห่วงกลัวว่าใครจะลืมกินข้าว
จริง ๆ การใช้ชีวิตแบบนี้มันก็ดีแหละ... เจแปนพยายามคิดอย่างนั้น
“หรือว่าสมองเรามันชอบเสพติดเื่เครียด ๆ ไปแล้ววะ ปล่อยให้รู้สึกสบายใจบ้างไม่ได้เลยเหรอ”
ขณะที่กำลังนั่งกินผัดบวบพร้อมดูวาไรตี้ตลกอย่างสนุกสนาน เจแปนก็เอ่ยขึ้นทั้งคิ้วขมวด เมื่อจู่ ๆ สมองของเขาก็คิดไปถึงเื่งานที่ถูกสั่งวันนี้อีกแล้ว และมันก็ทำให้ความเครียดเริ่มทำงานอีกหน เพราะเจแปนไม่มีไอเดียเหมือนอย่างเพื่อนคนอื่นเลย
ซึ่งพอความเครียดมันเริ่มทำงานอีกครั้ง เจแปนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกินข้าวต่อแล้วและร่างกายของเขามันก็อยากจะไปกินของหวานแทน
“แบบนี้ไม่ไหวเลยนะ เฮ้อ” เขาบ่นให้ตัวเองอีกครั้งพร้อมวางมือจากช้อนส้อม และมานั่งเครียดเื่งานของอาจารย์ต่อ
จากที่ตอนแรกเจแปนตั้งใจว่าหลังกินข้าวเสร็จ เขาจะนอนดูหนัง อาบน้ำและเข้านอนเลย ทุกอย่างกลับต้องปรับเปลี่ยนกะทันหัน เพราะเจแปนไม่น่าจะสามารถข่มตาหลับทั้งที่สมองกำลังเครียดแบบนี้ได้
คืนนี้เจแปนจะต้องหาไอเดียให้ได้ นั่นคือความตั้งใจใหม่ของเขา
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจแปนก็ลุกขึ้นเคลียร์โต๊ะและนำถ้วยจานไปไว้ที่อ่างล้าง หลังจากนั้นเขาก็เดินไปเปิดตู้เย็นต่อ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าในช่องแช่แข็งมันมีไอศกรีมที่เขาเคยซื้อเอาไว้อยู่
“สู้ ๆ ขอให้คืนนี้เราคิดงานออกก็แล้วกัน” หลังเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานพร้อมกินไอศกรีมในมือไปด้วย เจแปนก็พูดให้กำลังใจตัวเองไปหนึ่งหน ก่อนที่เขาจะทำการเปิดโน้ตบุ๊กและเริ่มค้นข้อมูลที่เกี่ยวกับตำนานต่าง ๆ ที่พอจะนำเอามาเป็ไอเดียสร้างบทหนังได้
โดยระหว่างที่เจแปนกำลังนั่งหาข้อมูลความเชื่อและตำนานต่าง ๆ ที่พอจะมีในโลกนี้อยู่นั้น คิ้วของเขาก็เผลอขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเจแปนก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่เป็เช่นนี้ เพราะเขากำลังจริงจังกับการทำงาน หรือเป็เพราะตำนานต่าง ๆ ที่ได้อ่านผ่านตามานั้น มันดูพิศวงชวนทำให้เกิดความกลัวกันแน่
“ฉิบหาย!”
จังหวะที่เจแปนกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโน้ตบุ๊ก เขาก็เผลอส่งเสียงร้องออกมาอย่างลืมตัว เนื่องจากท่ามกลางความเงียบภายในห้องและฝนก็เพิ่งหยุดตกไปหมาด ๆ จู่ ๆ เครื่องมือสื่อสารของเขาก็แผดเสียงร้องขึ้นมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ทำเอาคนที่กำลังจดจ่อกับข้อมูลตรงหน้าถึงกับใจร่วง
“ใหมดเลย ทำไมถึงโทรมาหาเวลานี้กันนะ” พอตั้งสติได้ เจแปนก็บ่นให้คนที่โทรมาหาหนึ่งหน ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะคนที่โทรมาหาเขาในเวลานี้คือคนรักของเขานั่นเอง
ทว่าอยู่ดี ๆ เจแปนกลับเกิดความกลัว ไม่กล้ารับสายพอร์ตขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงโทรมาหาเวลานี้นะ” ขณะที่กำลังมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความลังเล เจแปนก็พยายามคาดเดาเหตุผลที่ทำให้พอร์ตโทรมาหากันในเวลานี้
ซึ่งในคราวแรกเขาก็ตั้งท่าจะกดปฏิเสธสายแล้ว แต่เพราะความเป็ห่วงกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกับคนรัก สุดท้ายเจแปนก็ต้องกดรับสายอยู่ดี ต่อให้ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ใน่ห่างกันก็ตาม
“ฮัลโหล มีอะไรเหรอ” เมื่อตัดสินใจที่จะกดรับสายแล้ว เจแปนก็เป็ฝ่ายเอ่ยถามปลายสายก่อนเหมือนอย่างทุกครั้ง
[ตอนนี้แปนอยู่ที่ห้องไหม] อีกฝ่ายถามกลับมาเสียงนิ่ง
“อยู่ เรากำลังนั่งทำงานอยู่น่ะ... มีอะไรหรือเปล่า” เจแปนถามกลับไปพลางเม้มปากแน่นอย่างลุ้น ๆ
[....]
“พอร์ตมีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีธุระอะไรงั้นเราจะวางสายแล้วนะ” เขาพูดต่อ ทำท่าเหมือนคนไร้เยื่อใย ทั้งที่เมื่อก่อนเจแปนไม่ได้เป็เช่นนี้เลย
แต่ก็นั่นแหละ... พอมันมีเหตุการณ์อะไรหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน จนทำให้เกิดความเหนื่อยล้าในความสัมพันธ์ บางทีบางอย่างก็อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จากที่เป็ฝ่ายคอยไล่ตามและยอมทุกอย่างก็ต้องหยุดพักให้หายเหนื่อย แล้วค่อยคิดต่อว่าจะเอายังไงกับความสัมพันธ์นี้
[เราคิดถึงว่ะ] พอร์ตบอกกลับมา โดยคำพูดนี้มันก็ทำให้คนที่รอฟังถึงกับนิ่งไป เนื่องจากเจแปนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา และมันก็นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากพอร์ต
“แล้วยังไงต่อเหรอ” แม้จะหวั่นไหวกับคำพูดนั้นมากแค่ไหน แต่เจแปนก็ยังเลือกที่จะนิ่งเฉยและถามกลับไป คล้ายกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร
[ตอนนี้เราอยู่หน้าคอนโดแปนแล้วอ่ะ ถ้ามันไม่มากเกินไป... แปนช่วยลงมาหาเราหน่อยได้ไหม] อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“...”
[ไม่ต้องให้เรานอนค้างก็ได้ แต่ขอแค่ได้เจอหน้ากันก็พอ]
เพราะพอร์ตพูดขนาดนั้น ประกอบกับตอนนี้อีกฝ่ายก็ถ่อมาหากันถึงที่นี่แล้ว หากจะให้เจแปนไล่กลับไปมันก็ดูจะใจร้ายไปเสียหน่อย เวลาต่อมาเขาจึงตัดสินใจลงไปข้างล่างตึก เพื่อให้คนรักได้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง
“นึกจะมาหาก็มา แถมยังมาหาเวลานี้อีก... นี่ถ้าเราหลับก่อนจะทำยังไง?” นั่นเป็ประโยคแรกที่เจแปนพูดกับคนรัก หลังจากที่ทั้งสองได้พบกันแล้ว โดยนี่ก็เป็ครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ที่พวกเขาได้พูดคุยกัน
“ก็คงโทรหาแปนจนกว่าแปนจะตื่น แล้วลงมาหาเราแหละมั้ง” อีกฝ่ายตอบกลับมาทั้งหน้าซื่อ
“เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”
“แล้วยังไงต่ออ่ะ ก็มันเป็นิสัยของเรานี่”
“...”
“ถ้าเราเอาแต่ใจแบบนี้ต่อไป แล้วแปนจะไม่ยอมตามใจเราอีกแล้วเหรอ?” พอร์ตถามกลับมา
“ก็ถ้าหนักข้อเกินไปก็ไม่ไหวหรอก เพราะทุกคนก็มีลิมิตของตัวเองทั้งนั้น” เจแปนสวนกลับไป จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจแปนจะเป็ฝ่ายพูดขึ้นอีกหน “นึกยังไงถึงมาหา ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นติดต่อกลับมาเลย”
“เราก็นึกว่าแปนจะง้อเราเหมือนอย่างทุกครั้ง”
“...”
“แต่หนนี้แปนไม่ง้อเราเหมือนเคย และเราก็คิดถึงแปนมากด้วยก็เลยต้องมาหา” พอร์ตพูดอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนคนที่ไม่มีอีโก้อะไรเหลืออีกแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่ได้เป็แบบนี้
เจแปนไม่ง้อ พอร์ตก็ไม่สนใจ นั่นเป็ตัวตนของอีกฝ่ายที่เจแปนรู้จักมาตลอดหลายปี แต่ที่เขายังอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน นั่นก็เพราะรักและเสียดายเวลา เสียดายความทรงจำดี ๆ ก็เท่านั้น
“แล้วนี่แปนไม่คิดถึงเราบ้างเหรอ หรือว่ามีแค่เราที่คิดถึงแปน” นานเกือบนาทีกว่าที่พอร์ตจะถามต่อ โดยหลังจากที่อีกฝ่ายพูดออกมา เจแปนก็มีการเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับคนรัก คล้าย้าถามพอร์ตว่าเ้าตัว้าอะไรกันแน่
“ช่วยตอบมาหน่อยสิ เราอยากรู้ว่าแปนคิดถึงเราบ้างไหม”
“ก็คิดถึง” เจแปนตอบกลับเพียงสั้น ๆ และแน่นอน...คำตอบของเขามันยังไม่เป็ที่พอใจของคนรัก
“ถ้าแปนคิดถึงเราเหมือนกัน แล้วทำไมแปนถึงไม่ง้อเราล่ะ”
“ก็เพราะเราเหนื่อยไง”
“...”
“เราเป็ฝ่ายตามง้อพอร์ตมาตั้งหลายปี บางครั้งเราก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันนะ อยากอยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องไปตามใจใครหรือตามง้อใครแล้วอ่ะ” เจแปนไม่พูดเปล่า แต่เขายังมีการถอนหายใจใส่หน้าคนรักด้วย เริ่มไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไป
“แล้วนี่คืออะไรเหรอ ที่มาหาตกลงว่าคิดถึงเราจริง ๆ หรือว่าจะมาชวนทะเลาะกันแน่” เขาถามต่อเสียงแข็งพร้อมจ้องมองพอร์ตตาเขม็ง
“มาหาเพราะคิดถึงสิ เราก็บอกไปแล้ว”
“แล้วตอนนี้หายคิดถึงหรือยัง? ถ้าหายคิดถึงแล้วก็กลับห้องไปอ่านหนังสือได้แล้ว ไม่ใช่มีสอบอีกเหรอ” เจแปนบอกคนรักเสียงห้วน ตั้งท่าจะตัดบทอีกฝ่ายท่าเดียว
“่นี้เรากำลังว่าง ไม่ค่อยมีสอบแล้วล่ะ แล็บก็ทำส่งอาจารย์หมดแล้ว”
“...”
“เพราะงั้นคืนนี้เราขอนอนค้างด้วยได้ไหม?” พอร์ตเอ่ยเสียงแ่และเป็ฝ่ายจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเจแปนบ้าง นี่ถ้าเป็แต่ก่อนเจแปนคงจะระริกระรี้เกิดความรู้สึกดีใจที่คนรักมาขอนอนค้างด้วยแน่ แต่นั่นมันเป็เมื่อก่อนไง... ประกอบกับตอนนี้เจแปนเริ่มจับผิดพอร์ต เื่นอกใจและเื่ดอพเพลแกงเกอร์อีก
เดี๋ยวนะ ร่างดอพเพลแกงเกอร์
ราวกับเป็กุญแจสำคัญที่หาเจอด้วยความบังเอิญ ซึ่งพอเจแปนนึกได้เช่นนั้นเขาก็รีบหลุบตามองเงาสะท้อนของพอร์ตทันที ก่อนที่ต่อมาเจแปนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อพอร์ตคนที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้คือพอร์ตจริง ๆ ไม่ใช่ร่างดอพเพลแกงเกอร์
“มีอะไร ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น” อีกฝ่ายที่ไม่รู้เื่อะไรเอ่ยถามอย่างงุนงง
“ป—เปล่า ไม่มีอะไร” เจแปนส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปและวกกลับมายังบทสนทนาที่คุยค้างไว้ในตอนแรก “ถ้าพอร์ตมานอนค้างคืนนี้ เราน่าจะไม่สะดวกนะ”
“...”
“อย่างที่บอกเรากำลังทำงานอยู่ มันเป็งานชิ้นใหม่ที่ต้องทำส่งอาจารย์ ต่อให้คืนนี้พอร์ตจะขึ้นไปนอนค้างกับเรา เราก็ไม่มีเวลาให้พอร์ตอยู่ดี”
“ไม่เป็ไร เราโอเค” อีกฝ่ายรีบตอบกลับมา คล้ายกับปัญหาที่เจแปนบอกไป มันเป็เื่เล็กสำหรับเ้าตัว “ขอแค่คืนนี้เราได้อยู่กับแปนก็พอแล้วล่ะ”
เมื่อคนรักบอกมาอย่างนั้น เจแปนก็เงียบไปอีกครั้ง เมื่อเขากำลังคิดอะไรบางอย่างและกำลังหาเหตุผลว่าทำไมวันนี้อีกฝ่ายถึงมีท่าทีอ่อนลงได้ถึงขนาดนี้
“นะ ขอขึ้นไปนอนค้างด้วย” อีกฝ่ายว่าต่อทั้งเสียงเว้าวอน
“ก็ได้ แต่พอร์ตอย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน เพราะเราถือว่าเราบอกไปแล้ว” พูดจบ เจแปนก็เดินนำพอร์ตขึ้นไปยังลิฟต์เตรียมกลับห้องของตัวเอง
โดยระหว่างที่ทั้งสองกำลังใช้งานลิฟต์ร่วมกันอยู่นั้น เจแปนก็รู้สึกได้ถึงสายตาแปลก ๆ ที่มาจากตัวของคนรัก ซึ่งในตอนแรกเขาก็พยายามจะไม่สนใจ และคิดไปว่าเขาน่าจะคิดมากไปเอง แต่พอมันถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว เจแปนก็รู้สึกว่าเขายังได้รับสายตาเ่าั้อยู่ นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจหันขวับกลับไปมองพอร์ตที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“มีอะไร ทำไมถึงมองเราแบบนั้น” เขาตัดสินใจถามคนรักด้วยท่าทีระแวงอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“เปล่า ไม่มีอะไร” พอร์ตปฏิเสธกลับมาเสียงนิ่ง พลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น