เมื่อเดินมาได้ไกลแล้วอวี๋เคอจึงใช้มืออีกข้างจิ้มอาจิ่วที่กำลังนอนแกล้งตาย แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เ้าเด็กคนนี้แกล้งตายได้สมจริงเหลือเกิน”
อาจิ่วแอบเงยหน้าถลึงตามองอวี๋เคอแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงไปอีกครั้ง “แล้วทั้งหมดนี่ไม่ใช่เป็เพราะแผนที่นายท่านคิดขึ้นมาหรอกหรือ? ให้ข้าเป็นกกระจอกน้อยยังไม่พอ ยังจะให้ข้าแกล้งตายอีกและก็ไม่รู้ว่าจะต้องแกล้งทำไปถึงเมื่อไรด้วย”
อวี๋เคอจิ้มศีรษะเล็กของเขา และกระซิบว่า “เ้าอดทนอีกหน่อยอีกเดี๋ยวก็จะผ่านจุดที่ศิษย์เ่าั้เฝ้าประตูไปแล้ว หากเ้าอยากเล่นละครอีกข้าผู้นี้จะให้เ้าเล่นต่อไม่ได้แล้วนะ” เขาถอนหายใจเฮือกแล้วกล่าวว่า “ซ่งฉียวนเคยเห็นหน้าตานกกระจอกน้อยเช่นนี้ของเ้ามาก่อนเมื่อไปถึงภายในสำนักเ้ากับข้าก็ต้องซ่อนตัวให้แเี ต้องคอยแอบดูเพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหาที่จะเลยเถิดจนไม่สามารถแก้ได้”
เมื่ออวี๋เคอเห็นอาจิ่วขดตัวบนฝ่ามือตั้งหน้าตั้งตาเมินเขาก็ดีดศีรษะเขาไปหนึ่งที แล้วเอ่ยถามว่า “เข้าใจแล้วหรือยัง? ”
“โอ๊ย เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วนายท่าน ท่านไม่ต้องทรมานข้าแล้ว รีบไปกันเถอะ! ”
...ถึงกับถูกอาจิ่วพูดใส่อย่างนี้เชียวหรืออวี๋เคอเริ่มอดคิดทบทวนไม่ได้แล้วว่านิสัยที่ตนชอบลูบเขาอยู่บ่อยๆทำให้เขาเปลี่ยนไปหรือเปล่า
เนื่องจากทั้งคู่ได้เก็บซ่อนลมหายใจพร้อมทั้งตั้งใจระงับพลังบำเพ็ญเพียรบวกกับการมีป้ายห้อยเอวของศิษย์ผู้นั้น เท่านี้เหตุผลก็ฟังดูมีน้ำหนักแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงลักลอบเข้าไปในสำนักได้อย่างง่ายดายเพราะอย่างไรเสียก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าจอมปีศาจอย่างอวี๋เคอจะรนหาที่ตายด้วยการบุกเดี่ยวเข้าไปในท้องของผู้ฝึกตนหรอก...
ทันทีที่เดินเข้ามาได้อวี๋เคอก็ยื่นแขนเสื้อผืนกว้างออกไป เพื่อให้อาจิ่วเข้าไปหลบจากนั้นก็เดินตามกลุ่มลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งไปยังสนามประลองต้อยๆ
เขาคำนวณเวลาได้ถูกต้อง เพราะวันนี้มาทันการแข่งขันจัดอันดับของสำนักฉิงชางพอดีจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ก็ประลองกันมาตลอด่เช้าแล้วตอนนี้จึงเป็เวลาพักเที่ยงเพื่อรอการประลองในครึ่งหลังศิษย์หลายคนต่างเดินหน้าไปยังสนามประลองด้วยสีหน้าตื่นเต้น ขณะที่กำลังเดินกันอยู่ปากก็พลางสนทนาถึงการประลองใน่เช้าไม่หยุด
“เอ๋ ศิษย์พี่ท่านไม่ได้ไปลาดตระเวนรอบูเาแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาเร็วขนาดนี้เล่า? ” ศิษย์ชุดขาวคนหนึ่งเห็นอวี๋เคอเดินอยู่ตัวคนเดียวจึงเดินเข้ามาหา แล้วเอ่ยปากถามอวี๋เคออย่างงุนงง
แต่ไม่นานเขาก็ได้เรียบเรียงคำพูดและจงใจลดเสียงลง แล้วยิ้มให้อย่างตีสนิทก่อนจะขยับเข้าไปใกล้คนผู้นั้นและตอบกลับไปว่า “ศิษย์น้องอย่าพูดเสียงดังไปก็ที่ข้ารีบร้อนมาที่นี่ไม่ใช่เพราะมาดูการประลองนี้หรอกหรือ? เลยให้ศิษย์น้องสองสามคนช่วยลาดตระเวนที่ตีนเขาไปก่อนเมื่อกลับไปแล้วข้าจะเชิญพวกเขาไปกินสุราเพื่อเป็การขอบคุณ”
ดวงตาของศิษย์คนนั้นเป็ประกายก่อนจะพยักหน้าด้วยความรู้สึกเดียวกันอย่างเต็มเปี่ยมจากนั้นจึงพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ที่แท้ศิษย์พี่ก็มาดูการประลองของเฉิงเซียงกับเซียวอวิ๋นเหมือนกันหรือ? ”
??? เฉิงเซียงกับเซียวอวิ๋น ??? มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? ก็เห็นๆ อยู่ไม่ใช่หรือว่าข้ามาเพราะซ่งฉียวน? พูดให้ถูกก็คือถูกพระเอกใช้นิ้วทองคำบริสุทธิ์ทำให้แสบตาจนต้องมาอย่างไรเล่า...
ศิษย์คนนั้นไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่มีพิรุธของอวี๋เคอแล้วพูดไปโดยไม่สนใจว่า “พวกเขาทั้งสองเป็คู่ที่ทุกคนตั้งตารอของ่บ่ายนี้เลยนะ น่าอิจฉาจริงๆเลย อายุน้อยขนาดนี้ก็มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงถึงเพียงนั้นแล้วพลังในอนาคตจะต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอนเลย”
“แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง——” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงระฆังกระทบกันดังขึ้นจากสนามประลองที่อยู่ไม่ไกลในทันใดเสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วสำนักฉิงชาง
“ศิษย์พี่ พวกเรารีบไปกันเถิดไม่อย่างนั้นหากชักช้าแล้วพลาดการประลองไปจะนับว่าเสียชาติเกิดเอานะ! ” เมื่อศิษย์ผู้นั้นได้ยินเสียงนี้ก็ตื่นเต้นมือไม้สั่นและกำลังจะดึงแขนของอวี๋เคอไปยังสนามประลอง แต่ถูกอีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบไป
ศิษย์ผู้นั้นจึงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนและกล่าวว่า “เสียมารยาทจริงๆ เลย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับศิษย์พี่ท่านก็รีบตามมานะขอรับ”
จิตใจของอวี๋เคอสับสนมาก ตามหลักแล้วตอนนี้ซ่งฉียวนควรจะโผล่มาที่สำนักฉิงชางได้แล้วแล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น? หากคนของสำนักฉิงชางกำลังตั้งตารออยู่ก็น่าจะตั้งตารอการแข่งขันระหว่างซ่งฉียวนกับเฉิงเซียงใช่ไหม? ส่วนเด็กน้อยอย่างเซียวอวิ๋นในตอนนี้ระดับวิชายุทธ์ก็ยังไม่สูงมากพอที่จะสามารถแทรกเข้ามาระหว่างเฉิงเซียงกับซ่งฉียวนได้
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดูว่าเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็เดินตรงไปยังสนามประลองแห่งนั้นแต่สีหน้ากลับตั้งใจแสดงออกมาอย่างแสนจะเ็าเพราะเขาไม่อยากให้คนเข้ามาทักทายอีก เขายังทำใจให้ชินกับคนคุ้นเคยเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่ได้อยู่เลย
สนามประลองของสำนักฉิงชางมีขนาดใหญ่มากและบนเวทีประลองเองก็ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามเช่นกัน เวทีมีความสูงถึงหนึ่งเมตรส่วนด้านหน้าที่มุมทั้งสี่ทิศเป็เสาหินหยกที่มีความหนาสองเมตรลวดลายัที่สลักอยู่บนนั้นดูราวกับมีปราณิญญาแฝงอยู่เมื่อมองสนามประลองทั้งสี่ทิศจากที่ไกลๆก็ถึงกับต้องอัศจรรย์ใจราวกับถูกัขาวโอบล้อมเอาไว้
จึงแอบชมเชยสำนักฉิงชางอย่างยกใหญ่อยู่ในใจอวี๋เคอแอบหลบอยู่ตรงมุมที่คนน้อยที่สุด แล้วนั่งลงตรงที่นั่งอย่างเป็ระเบียบจากนั้นสายตาก็ไม่อยู่นิ่ง พยายามมองหาซ่งฉียวนท่ามกลางคนมากหน้าหลายตาเหล่านี้แต่เขาไม่เชื่อว่าตัวเอกผู้สง่างามจะจมอยู่ในสำนักฉิงชางเล็กๆจนไม่เฉิดฉายออกมาแบบนี้
หลังจากที่กวาดสายตามองไปรอบหนึ่งเนื่องจากจำนวนคนที่เยอะเกินไป แล้วเด็กคนนั้นก็ไม่ได้ตัวสูงสองเมตรสุดท้ายเขาก็หาไม่เจอ ได้แต่เลื่อนสายตาไปยังเหล่าผู้าุโกับไป๋ลี่ผู้เป็เ้าสำนักฉิงชางอันดับหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งระดับสูงทางทิศตะวันออกของเวทีประลอง
แต่พอสายตาเลื่อนออกไปเช่นนี้แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะคิดว่าซ่งฉียวนที่เขามองหาจากด้านล่างอยู่พักใหญ่จะไปนั่งอย่างมั่นคงอยู่ข้างๆ หร่วนสือจิ่วที่แก้มขึ้นสีแดงก่ำทั้งสองข้างเช่นนี้!ซ้ำยังรินเหล้าให้หร่วนสือจิ่วผู้นั้นอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย!
ช่างเป็ภาพที่น่าโมโหสิ้นดี...
อวี๋เคอรู้สึกไม่สบอารมณ์เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตอนนั้นจะไม่้าให้เด็กคนนี้ดื้อรั้นและอยากให้เขากราบหร่วนสือจิ่วเป็อาจารย์ั้แ่เนิ่นๆ จากนั้นก็ดำเนินตามเนื้อเื่ต่อไปอย่างราบรื่นแต่ตอนนี้เมื่อเห็นซ่งฉียวนดีกับหร่วนสือจิ่วมากขนาดนี้ เขากลับรู้สึกขมขื่นจนพูดไม่ออก
ตอนนั้นซ่งฉียวนเชื่อฟังตนเองมาก ไม่ว่าจะซักผ้าตัดฟืน ทำอาหาร หรือดูแลเรือนก็ทำได้ดีมาก แต่ดูสิ!หลังจากที่ฝึกฝีมือเื่เหล่านี้กับตนไปคงยกประเคนให้หร่วนสือจิ่วไปหมดแล้วใช่ไหม?
เขารู้ว่าความคิดของตนเองหลุดประเด็นไป แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุจนรู้สึกสับสน อาจิ่วรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของเขาจึงชะโงกหน้าออกมาเหลือบมองนายท่านของตนเองเมื่อมองตามสายตาของเขาไปก็เห็นซ่งฉียวนที่กำลังนั่งอยู่ชั้นบน จึงเอ่ยว่า “นี่นายท่านไม่คิดเลยว่าเ้าผีน้อยนี่จะปรับตัวได้ไม่เลวเลย! ถึงขั้นสามารถไปนั่งกับผู้าุโของสำนักฉิงชางได้”
ประโยคนี้จี้ใจดำอวี๋เคอเข้าอย่างจังเขากดเสียงต่ำลง แล้วเค้นคำพูดลอดไรฟันออกมาทีละคำจนถึงคำสุดท้าย ทำให้อาจิ่วฟังแล้วต้องขนลุกขนพองถึงกับไม่กล้าส่งเสียงออกมาเลย
“ใช่เลยช่างมีความสามารถที่เยี่ยมยอดจริงๆ ”