บทที่ 111 บ้านตระกูลสวี่แปลกประหลาด
เมืองหลวง?
ในชาติก่อน ร่างเดิมั้แ่เกิดจนถึงฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้าไม่เคยออกจากอำเภอเลย แม้แต่เมืองฉินยังไม่เคยไป ชาตินี้จะไปเมืองหลวงงั้นเหรอ?
เธอมองคนในห้องด้วยความประหลาดใจ มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัว แต่เร็วเกินกว่าที่เธอจะคว้ามันไว้ได้ แต่ไม่ว่ายังไงเธอไม่มีวันยอมทำตามใจคนพวกนี้แน่
“เมืองหลวงเหรอ?” สวี่จือจือมองสวี่เจวียนเจวียนด้วยความงุนงงแล้วพูดว่า “หนูไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่กล้าไปที่นั่นหรอก แถมพวกคุณพาหนูไปแบบนี้” เธอยิ้มมองหวังซิ่วหลิง “ไม่กลัวตระกูลลู่จะตามหาเหรอคะ?”
การเสี่ยงที่จะขัดแย้งกับตระกูลลู่เพื่อพาเธอไปเมืองหลวงโดยบังคับ เป้าหมายคืออะไรกันแน่? หรือว่ามีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมจนไม่เกรงกลัวตระกูลลู่แล้ว?
“เื่ตระกูลลู่แกไม่ต้องสน” หวังซิ่วหลิงพูด “ยังไงแกก็แค่ตามพี่สาวแกกับพวกเราไปก็พอ”
“แต่นั่นคือตระกูลลู่นะคะ” สวี่จือจือตาโตด้วยความใมองอีกฝ่าย “ถ้าตระกูลลู่มาทวงคน พวกคุณจะพูดยังไง?”
“แกจะจู้จี้จุกจิกทำไม?” สวี่เจวียนเจวียนพูดอย่างหงุดหงิด “คุณแม่พูดแบบนี้ก็แปลว่าจัดการทุกอย่างไว้แล้ว คืนนี้แกนอนให้สบาย พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปกัน”
นี่ถึงขั้นซื้อตั๋วรถไฟไว้แล้วเหรอ?
สวี่จือจือรู้สึกทันทีว่า ครั้งนี้เธออาจประเมินครอบครัวนี้ต่ำไป เห็นได้ชัดว่านี่เป็แผนที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว ในใจก็อดกังวลไม่ได้
“ก็ได้ค่ะ” สวี่จือจือคิดแล้วพูดยิ้มๆ “ยังไงเมืองหลวงหนูก็ยังไม่เคยไปอยู่แล้ว”
หวังซิ่วหลิงได้ยินคำนี้ก็ผ่อนคลายลงทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “แบบนี้สิถึงจะถูก ฉันเป็แม่แก จะไปทำร้ายแกได้ยังไง?”
เหอะ มันก็ไม่แน่
สวี่จือจือหัวเราะเยาะในใจ แต่สีหน้ากลับดูซาบซึ้ง “ก่อนหน้านี้หนูยังคิดว่าคุณแม่ชอบแต่พี่สาว ไม่ชอบหนูซะอีก ดูเหมือนหนูจะเข้าใจคุณแม่ผิดไป หนูมาที่นี่แบบรีบๆ ลืมเอาชุดมา” สวี่จือจือพูด
“ฉันไม่ได้เตือนแกแล้วเหรอ?” สวี่เจวียนเจวียนพูดอย่างโมโห “ไม่รู้จริงๆ ว่าแกใช้สมองทำอะไร”
“ก็เพราะห่วงว่าคุณแม่จะป่วยน่ะสิคะ” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาแบบนี้แล้วกัน หนูจะขี่จักรยานกลับไปเอาชุดแล้วกลับมาอย่างรวดเร็วเลย พวกคุณวางใจได้ หนูไม่พูดอะไรกับคนที่นั่นแน่นอน
“ชีวิตนี้ของหนู ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือได้ไปเมืองหลวงสักครั้ง” สวี่จือจือพูดอย่างมีความสุข
“จริงเหรอ?” หวังซิ่วหลิงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอย่างจริงใจ เธอก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วพูดว่า “งั้นก็ได้ แก…”
“ไม่ต้องหรอกมั้ง” หวงรุ่ยเซิงขัดคำพูดของหวังซิ่วหลิง “ใส่ชุดของเจวียนจื่อไปก่อนก็ได้ พอถึงเมืองหลวง พี่เขยจะซื้อชุดสวยๆ ให้เธอเอง”
“ซื้อ…” สวี่เจวียนเจวียนเดิมทีจะคัดค้านตามสัญชาตญาณ แต่พอสบตากับหวงรุ่ยเซิงเธอก็หุบปาก จ้องสวี่จือจือด้วยความรำคาญแล้วพูด “ไม่ต้องกลับไปหรอก ชุดฉันให้แกใส่”
“พี่เขยรวยแล้วเหรอคะ?” สวี่จือจือพูดด้วยความใ แล้วมองหวังซิ่วหลิงอย่างจริงจัง “พวกคุณบอกหนูตามตรงมาเถอะ บ้านเราขุดเจอสมบัติอะไรหรือเปล่า?”
หวังซิ่วหลิงสะอึก
“เมืองหลวงน่ะ หนูไม่เคยไปก็จริง แต่หนูเคยไปอำเภอนะคะ” กำลังจะพูดต่อ สวี่จือจือก็พูดต่อไป “ชุดในห้างที่อำเภอยังแพงขนาดนั้น หนูได้ยินว่าชุดที่เมืองหลวงแพงกว่านั้นอีก พี่เขยเอาเงินมาจากไหน? แล้วคูปองล่ะ?”
หวงรุ่ยเซิงก็สะอึก
“แกจะรู้เื่อะไร?” สวี่เจวียนเจวียนพูดอย่างลำพองใจ “บ้านพี่เขยแกอยู่ที่เมืองหลวง เงินกับคูปองผ้าจะนับเป็อะไร? แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดเอง”
พอพาสวี่จือจือไปถึงเมืองหลวง ฝ่ายนั้นสัญญาจะให้งานและเงินรางวัลกับพวกเขา พอให้พวกเขามีชีวิตอย่างมีหน้ามีตาไปทั้งชาติ
“แต่ชุดใหม่ที่หนูซื้อมาสองสามตัว หนูยังไม่เคยใส่เลยนะคะ” สวี่จือจือบ่นอย่างงอนๆ “หนูต้องเอาไปด้วย ไม่งั้นหนูไม่ไป”
“แก!” สวี่เจวียนเจวียนโมโหจนแทบตาย แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดยังไง สวี่จือจือก็ยังย้ำซ้ำๆ “หนูไม่ใส่ชุดของพี่ หนูจะเอาชุดใหม่ของหนู” เกือบทำให้สวี่เจวียนเจวียนโมโหจนอาเจียนเป็เื
“เอาแบบนี้แล้วกัน” หวงรุ่ยเซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอเพิ่งกลับมา คุณแม่ก็คิดถึงเธอ เธออยู่บ้านเป็เพื่อนคุณแม่ไป เดี๋ยวฉันจะไปเอาชุดให้”
“แบบนั้นจะได้ยังไงคะ” สวี่จือจือยิ้มเยาะแล้วพูด “ให้พี่เขยไปเอาชุดใหม่ให้น้องเมีย คนที่ไม่รู้ยังนึกว่าพี่เขยมีใจให้ฉันซะอีก”
“แกพูดบ้าอะไร!” สวี่เจวียนเจวียนด่า
“ดี ไม่มีใจ” สวี่จือจือพูด “แต่ถ้าจิ่งซานเข้าใจผิดล่ะ? เขาจะมาหาหนูทำยังไง? เขาขาพิการก็จริงแต่สมองไม่พิการนะคะ” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูด “เขาจะยอมปล่อยหนูไปง่ายๆ เหรอ? การหาภรรยาใหม่คราวหน้าคงไม่ใช่เื่ง่ายแล้ว”
“พวกคุณวางใจเถอะ” สวี่จือจือตบฝุ่นที่ขากางเกงแล้วพูด “หนูบอกว่าจะกลับมาก็จะกลับมา หนูจะไปหลอกพวกคุณได้เหรอ?
เมืองหลวงน่ะ นั่นเมืองหลวงเลยนะ ใครไม่อยากไปบ้าง?”
“งั้นก็ได้” หวงรุ่ยเซิงพูดยิ้มๆ “คืนนี้พักก่อน พรุ่งนี้เช้าไปเอาชุดแล้วก็ออกเดินทางเลย”
“งั้น…ก็ได้ค่ะ” สวี่จือจือพยักหน้า แต่ไม่ได้วางใจเพราะคำพูดของหวงรุ่ยเซิง กลับยิ่งระวังตัวมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังต้องสืบด้วยว่าคนที่อยู่เื้ัของหวังซิ่วหลิงคือใคร? พวกเขามีเป้าหมายอะไร
ชั่วขณะนี้ สวี่จือจือรู้สึกคิดถึงลู่จิ่งซานขึ้นมาทันที
ตอนบ่ายที่เธอออกจากบ้านสวี่จือจือไม่ได้เจอเขา แต่เธอทิ้งข้อความไว้ให้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่รู้ว่าลู่จิ่งซานเห็นหรือยัง
มื้อเย็นเป็สวี่จงโฮ่วที่ทำ ตอนกินข้าวสวี่จือจือตั้งใจระวังเป็พิเศษ คีบแต่ผักที่ทุกคนกินแล้ว
ใจที่ระแวดระวังต้องมีไว้ เธอไม่เชื่อใจคนตระกูลสวี่เลยสักนิด ส่วนโจ๊กในชามของเธอ สวี่จือจือแอบมองสวี่เจวียนเจวียนอย่างไม่ให้รู้ตัว
ร่างเดิมอยู่ในตระกูลสวี่สิบกว่าปี ไม่เคยได้กินข้าวที่สวี่เจวียนเจวียนตักให้เลย แต่เมื่อกี้อีกฝ่ายกลับตักมาให้
“ขอบคุณพี่นะคะ” สวี่จือจือยิ้มหวาน “ดูเหมือนตอนหนูไม่อยู่บ้าน พี่จะขยันขึ้นเยอะเลย”
สวี่เจวียนเจวียนโมโหสุดๆ ถ้าไม่ใช่เพราะใส่ยาในชามนี้ เธอจะตักให้สวี่จือจือเหรอ? ไม่สาดใส่หน้าก็บุญแล้ว!
“พี่คะ” ขณะที่อีกฝ่ายยื่นชามให้ จู่ๆ สวี่จือจือพูดขึ้น “เงาดำนั่นอะไร? หนูเหรอ?”
สวี่เจวียนเจวียนใจนสะดุ้ง ถึงจะเป็เด็กบ้านนอก แต่เธอกลัวหนูมาั้แ่เด็ก
“อยู่ไหน? อยู่ตรงไหน?” เธอกรีดร้อง
“เอ๊ะ?” สวี่จือจือพูดอย่างสงสัย “เหมือนจะหายไปแล้ว หรือว่าหนูตาฝาด?”
“หนูแกยังดูผิดได้!” สวี่เจวียนเจวียนหน้าดำคล้ำ “แกตั้งใจใช่ไหม!” นังเด็กหน้าเหม็นนี่ร้ายลึกจริงๆ!
“เกิดอะไรขึ้น?” พวกหวงรุ่ยเซิงได้ยินเสียงก็เดินเข้ามา
“ไม่มีอะไรค่ะ” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูด “กินข้าวกันเถอะ หนูหิวแล้ว”
สวี่เจวียนเจวียนอยากขยี้หน้าสวยๆ ของอีกฝ่ายให้เละ
กินข้าวเสร็จ สวี่จือจือก็เริ่มหาว “ง่วงจัง หนูกลับห้องก่อนนะคะ”
สวี่จือจือไม่รู้เลยว่าขณะที่เธอเดินหาวเข้าห้อง จดหมายฉบับหนึ่งได้ถูกส่งถึงตระกูลลู่ และอยู่ในมือของลู่จิ่งซานแล้ว
.............................