บรรยากาศภายในรถม้าจมเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
สำหรับทุกคนในที่นี้ ไม่ว่าจะเป็หลิวต้าหงที่อยู่ในยุทธภพมานาน หรือกู่หนิงที่มีอายุเพียงสิบหกปี ไม่ว่ากับใครคำว่าตายก็เป็ถ้อยคำที่หนักหนามากเหลือเกิน
ทว่าซูฉางอันกลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ก็เหมือนกับคืนนั้น คืนที่มั่วทิงอวี่ไปตายด้วยรอยยิ้ม และวู๋ถงก็ส่งเขาจากไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน... เขากับกู่หนิงมีอายุเท่าๆ กัน จึงยังปลงกับความตายไม่ได้ เขารู้แค่ว่าต้องยิ้มออกไป ไม่ว่าวินาทีต่อไปจะต้องเจอกับทะเลเพลิงหรือูเาแห่งคมดาบ ไม่ว่ายังไงก็ต้องยิ้มออกไป เพราะเราต้องบอกให้โลกรู้ว่าเราไม่ยอมแพ้
“ความจริง พี่หลิวกับสหายซูไม่จำเป็ต้องกังวลใจให้มากเกินไปหรอก” ซูฉางอันกล่าวออกมาเช่นนั้น “พวกเรายังไม่รู้เลยว่าตระกูลกู่ไปมีเื่กับใคร แต่มีเื่หนึ่งที่พวกเรามั่นใจได้ นั่นก็คือพวกเขาอยากจะส่งกู่เซี่ยนจวินไปให้ถึงที่เมืองฉางอันอย่างปลอดภัยแน่นอน และหน้าที่ส่งก็ตกเป็ของพวกเรา สหายกู่เองก็เคยบอกนี่ ว่ากู่เซี่ยนจวินเป็หนึ่งในสามโหวของตระกูลกู่ มีตำแหน่งฐานะสูงส่ง หากไม่มั่นใจจริง ตระกูลกู่คงไม่กล้าส่งกู่เซี่ยนจวินออกมานอกจวนแบบนี้หรอก ดังนั้น หากพวกเราพากู่เซี่ยนจวินไปด้วย ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางรอดเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองก็หันไปมองตากัน ต่างก็สังเกตเห็นความตกตะลึงจากสีหน้าของอีกฝ่าย หลังได้ฟังซูฉางอันพูดดังนั้น พวกเขาจึงตระหนักถึงความสำคัญและประเด็นของเื่นี้ ที่แท้ เื่ราวก็ไม่ได้แย่อย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้นี่นา
“สหายซูพูดถูกแล้ว หากพวกเราวางแผนกันดีๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย” กู่หนิงพยักหน้ากล่าว สายตาที่มองไปยังซูฉางอันระคนไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดขึ้นในใจว่ามิน่า ซูฉางอันถึงได้เป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่ ที่แท้เขาก็มีเอกลักษณ์และพรสรรค์เหมือนกันนี่นา
“อืม ซูเจว๋เย คุณชายกู่ เอาแบบนี้ดีไหม คืนนี้ เราบอกเื่นี้กับทุกคนกันเถอะ พวกเขาจะได้ระวังตัวกัน จากนั้นเราทุกคนค่อยร่วมกันหาแผนรับมือที่ดีที่สุดทีหลัง” สีหน้าของหลิวต้าหงดูดีขึ้นมาก เขารู้สึกราวได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งเช่นนั้น
“เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านองครักษ์หลิวพูดมาก็แล้วกัน”
ในที่สุด กลุ่มคนก็รอจนถึงพลบค่ำพร้อมกับความรู้สึกคับคั่งใจ พวกเขาตัดสินใจพักแรมในที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง
นี่เป็ประสบการณ์ที่หลิวต้าหงได้รับจากการรับจ้างเป็องครักษ์มาหลายปี ในจุดที่มีสภาพแวดล้อมเป็ที่โล่งกว้าง จะทำให้คนที่เฝ้ายามสังเกตการณ์ได้ดียิ่งขึ้น หากจุดไฟอีกนิด แค่นี้ไม่เพียงสามารถขับไล่สัตว์ร้ายเท่านั้น แต่ยังขับไล่ความหนาวได้อีกด้วย
ทั้งสามเรียกคนที่เหลือมารวมกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กู่เซี่ยนจวินคนนั้นถึงไม่ยอมลงมาจากรถม้าเลย แม้แต่อาหารเย็นก็ยังต้องให้ซูโม่เป็คนนำขึ้นไปให้ด้วยซ้ำ
แต่พวกเขาก็เห็นว่านั่นนับเป็เื่ดีอย่างหนึ่ง เพราะหากกู่เซี่ยนจวินเอาแต่ซ่อนอยู่แต่ในรถม้าไม่ยอมปรากฏตัว พวกเขาก็จะอารักขานางได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
เมื่อกลุ่มคนรับประทานอาหารกันเสร็จ หลิวต้าหงก็บอกเื่นี้กับคนอื่นๆ ในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าหลังได้รู้ถึงสถานการณ์ของตนเอง พวกเขาย่อมไม่ได้รู้สึกดีกับเื่นี้อยู่แล้ว แต่ยังดีที่ทั้งสามบอกทั้งส่วนที่ดีและเสียของเื่นี้กับพวกเขาอย่างละเอียด ทำให้คนที่เหลือมีสีหน้าดีขึ้นมามาก
ทว่าเมื่อพูดถึงเื่ทางออก กลุ่มคนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง
สุดท้าย คนที่กล่าวออกมากลับเป็ชายหนุ่มที่แสนพูดน้อยเช่นลิ่นหยู
“ในจุดที่เราอยู่ มีเขามาก ทว่าเส้นทางแคบและคดเคี้ยว หมู่บ้านน้อย ทำให้ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่ เมื่อข้ามเขาโยวหยุนไปได้ พวกเราก็เข้าเมืองแล้ว ที่นั่นมีทางหลวงมากมาย ทั้งยังมีทหารเดินตรวจตราอยู่ไม่ขาด หากข้าเป็โจรที่้าจะลักพาตัวโหวเยน้อยของตระกูลกู่ ย่อมเลือกลงมือในดินแดนทางเหนือเป็แน่ เพราะสามารถปกปิดคนอื่นๆ แล้วยังป้องกันไม่ให้กลายเป็เื่ใหญ่ได้อีกด้วย ดังนั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ ก็คือการเดินทางระหว่างดินแดนทางเหนือไปจนถึงเขาโยวหยุนนั่นเอง”
“อีกอย่าง หาก้าจะลักพาตัวใครสักคน โจรพวกนั้นต้องเลือกลงมือในตอนกลางคืนแน่ ดังนั้น พวกเรามาเดินทางตอนกลางคืน แล้วพักผ่อนตอนกลางวันดีกว่า แบบนี้ นอกจากจะสามารถระวังภัยในตอนกลางคืนได้มากกว่าแล้ว ยามพักในตอนกลางวัน คนที่รับหน้าที่เป็ยามก็สามารถมองอะไรๆ ได้ชัดเจนมากกว่า ซึ่งจะทำให้ปลอดภัยกว่าด้วย”
คำพูดของลิ่นหยูมีเหตุผลมาก อีกทั้งเขาก็พูดออกมาอย่างใจเย็น ไม่ได้มีท่าทีร้อนรนราวกับคนวัยรุ่นธรรมดาๆ เมื่อเจอปัญหาเลยสักนิด
ทางด้านคนที่เหลือเอง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ลิ่นหยูพูดมามีเหตุผล จึงหารือเื่รายละเอียดของแผนการอีกเล็กน้อย ก่อนจะตกลงใช้วิธีนี้ในที่สุด
เหตุนี้ พวกเขาจึงเลือกเดินทางในตอนกลางคืน และพักผ่อนในตอนกลางวัน เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปนานถึงสิบวันแล้ว แต่ยังไม่มีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นอย่างที่เคยคาดคิดเอาไว้เลยแม้ครั้งเดียว แม้แต่โจรสักคนก็ยังไม่มีเลย
“ข้างหน้าเป็เขาโยวหยุนแล้ว เมื่อข้ามเขาโยวหยุนไป พวกเราก็เข้าเมืองแล้ว!” รถม้าของหลิวต้าหงเคลื่อนนำอยู่ที่ด้านหน้าสุดของขบวน โดยที่ท้ายรถยังมีโคมไฟแขวนอยู่ถึงสองอัน เป็การนำทางให้กับรถม้าคันหลังนั่นเอง
เสียงเฮดังขึ้นภายในขบวนรถ หลายวันมานี้ พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ กังวลใจมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เพียงข้ามเขาโยนหยุนไป พวกเขาก็จะปลอดภัยแล้ว
“คุณหนูแห่งตระกูลกู่ ช่างเก็บเนื้อเก็บตัวเสียจริง นี่ก็สิบวันแล้ว แต่นางกลับอยู่แต่ในรถม้า ไม่เคยออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ตอนกินข้าวก็ยังต้องให้ซูโม่มารับใช้เลย” ซูฉางอันที่นั่งอยู่ภายในรถม้าบ่นอุบอิบด้วยความไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีกับโหวเยน้อยที่ทำให้ตนและพวกต้องประสบกับความยากลำบากคนนี้สักเท่าไหร่
“สหายซู อย่าคิดมากไปเลย ความจริงที่โหวเยน้อยทำเช่นนั้นก็เพื่อพวกเรานะ ยิ่งนางไม่ยอมปรากฏตัวมากเท่าไร พวกเราก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นด้วย จะว่าไปแล้ว การรับใช้ที่ว่า ก็แค่การให้ซูโม่นำอาหารเข้าไปให้เท่านั้น ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรเสียหน่อย” กู่หนิงพูดกล่อมด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดพวกเขาก็ใกล้จะได้เข้าเมืองแล้ว กู่หนิงจึงรู้สึกอารมณ์ดีอย่างยากจะได้เห็น
“ฮ่าๆๆ คุณชายกู่พูดถูก!” เสียงหัวเราะที่แสนจริงใจของหลิวต้าหงดังเข้ามากระทบหู ในที่สุดูเาที่ทับอยู่กลางอกก็ถูกยกออกไปเสียที เขาะเิเสียงหัวเราะแห่งความจริงใจที่แสนคุ้นเคยออกมาอีกครั้ง
“จริงสิ พี่หลิว ว่ากันว่าเขาโยนหยุนข้างหน้ามีปีศาจร้ายก่อความวุ่นวายอยู่ เป็สถานที่ที่อันตรายมาก แต่เหตุใดท่านถึงผ่านมันไปได้อย่างปลอดภัยทุกครั้งเลยล่ะ? หรือท่านพูดภาษาโบราณเป็ เลยสื่อสารกับปีศาจพวกนั้นได้? ในที่สุดซูฉางอันก็พ่นคำถามที่อัดแน่นอยู่ในใจมานานหลายปีออกไป
เดิมที เื่นี้มีผลกระทบต่อความลับทางอาชีพของหลิวต้าหง เขาจึงไม่ควรพูด แต่เพราะซูฉางอันมีนิสัยซื่อตรง ไม่คิดร้ายต่อใคร อยากถามอะไรก็ตามออกมาตรงๆ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะผ่านเื่ราวต่างๆ มาด้วยกันหลายวัน พวกเขาจึงถือเป็มิตรที่เรียกได้ว่าฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมาแล้ว
หลิวต้าหงไม่คิดจะปิดบัง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความจริง เื่มันก็ไม่ได้น่าเหลือเชื่ออย่างที่ใครๆ เขาพูดกันหรอก ข้าเพียงรู้จักปีศาจต้นไม้ตัวหนึ่งบนเขาเท่านั้น และดูเหมือนเขาจะมีอำนาจในเขาแห่งนี้มากอยู่เหมือนกัน ดังนั้นก็เลยไม่มีปีศาจมาคอยรังควานเวลาข้าเดินทางข้ามเขาก็เท่านั้น”
“ปีศาจต้นไม้งั้นรึ? เช่นนั้นเขากับปีศาจในดินแดนทางเหนือก็เป็พวกเดียวกันน่ะสิ?” ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เกลียดชังเผ่าปีศาจ แม้บิดาจะทำากับเผ่าปีศาจที่ชายแดนอยู่ตลอดทั้งปี แต่เขาคิดว่านั่นเป็เื่ของมหาจักรพรรดิและาาปีศาจ คนเบื้องล่างอย่างพวกเขาก็ทำไปเพียงเพราะ้าจะหาเงินเลี้ยงชีพเท่านั้น อย่างน้อยคนสามัญชนอย่างพวกเขาก็ไม่ชอบการทำา ซูฉางอันเชื่อว่าปีศาจธรรมดาๆ ทางนั้นก็ไม่ชอบาด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์หญิงของเขาก็เป็เผ่าปีศาจเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องเกลียดเผ่าปีศาจ
แต่เขาไม่เข้าใจว่า ในเมื่อมหาจักรพรรดิกับาาปีศาจกำลังทำากันอยู่ เช่นนั้นทำไมองค์มหาจักรพรรดิถึงไม่สนใจเขาโยวหยุนแห่งนี้เลยล่ะ ทั้งที่ในนี้ก็มีปีศาจอยู่ตั้งมากมายขนาดนี้?
“ได้ยินมาว่าในเขาโยวหยุนมีปีศาจระดับสูงอยู่ พวกเขาอาศัยอยู่ในเขาโยวหยุนมาั้แ่อดีตกาลแล้ว นอกจากนี้ พวกเขาและเผ่ามนุษย์ยังตกลงกันว่าจะไม่ระรานซึ่งกันและกันด้วย แม้มหาจักรพรรดิจะมีความคิดเป็ใหญ่ แต่เขาก็คงไม่อยากมาเสียทหารโดยเปล่าประโยชน์ในเขาโยวหยุนที่ตั้งอยู่ภายในแผ่นดินของตนเองหรอก” กู่หนิงที่อยู่ข้างกันกล่าวอธิบาย
“แบบนั้นพวกเขาก็ทนดูพวกเราสู้กับเผ่าปีศาจเฉยๆ งั้นรึ” ซูฉางอันไม่เข้าใจมากกว่าเดิมเสียอีก ใครที่ไหนจะทนดูพวกเดียวกันสู้กับคนนอกโดยไม่สนใจเช่นนี้ได้ ซูฉางอันคิดว่าปีศาจในเขาโยวหยุนไม่น่าจะใช่คนดีอะไร
“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ที่แดนใต้ยังมีประเทศที่คนและปีศาจอยู่ร่วมกันเลย” หลิวต้าหงพูดแทรก เขามักจะติดต่อกับปีศาจในเขาโยวหยุนอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่ได้มีอคติต่อปีศาจเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ
“หา? มีที่แบบนั้นด้วยรึ?” ซูฉางอันพูดขึ้นอีกครั้ง เขารู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก รู้สึกอยากไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนั้นเหลือเกิน
“ตอนนี้พวกเราเข้ามาในอณาเขตของเขาโยวหยุนแล้ว ปีศาจที่นี่ล้วนจำกลิ่นของข้าได้ พวกเขาไม่เข้ามาวุ่นวายกับพวกเราแน่ ต่อให้จะเป็โจรพวกนั้นก็เถอะ หากอยากเข้ามาจับโหวเยในนี้ ก็ยังต้องใตร่ตรองให้ดีเลยว่าปีศาจในเขาแห่งนี้จะยอมหรือเปล่า” หลิวต้าหงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที ราวกับว่าเขามาถึงถิ่นของตัวเองแล้วเช่นนั้น
เมื่อได้ยินดังนั้น คุณชายทั้งสองภายในรถม้าก็หัวเราะออกมา เพราะเข้ามาในเขาโยวหยุนซึ่งเป็เขตปลอดภัย อีกทั้งยังมีหลิวต้าหงที่เป็ ‘เ้าถิ่น’ อยู่ด้วย พวกเขาจึงรู้สึกวางใจมาก
ซูฉางอันเปิดม่านของรถม้าออก ทำให้พบว่าเขาโยวหยุนแตกต่างจากพื้นที่ด้านนอกราวคนละโลกเลย ที่นี่ไม่มีหิมะกองพะเนินราวกับดินแดนทางเหนือ หน้าผาสองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด ที่นี่ไม่เหมือนที่เมืองฉางเหมินเลยสักนิด มันแลดูงดงามเหลือเกิน
เขาหันมองทิวทัศน์ที่ไม่เคยได้เห็นใน่ชีวิตสิบหกปีที่ผ่านมารอบๆ ตัว น่าเสียดายที่แสงจันทร์ในคืนนี้หมองหม่นยิ่งนัก เขาจึงมองภาพไม่ชัดสักเท่าไร
ในตอนที่ซูฉางอันกำลังนึกเสียดายอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็พบว่าเส้นทางด้านหน้ามีเงาสีดำของใครบางคนขวางอยู่ แต่เพราะเงานั้นเองก็อยู่ในความมืด เขาจึงมองเห็นไม่ชัด เป็สัตว์ร้ายในป่างั้นรึ? เขาคิดเช่นนั้น
“วี้!”
ยังไม่ทันจะได้ถาม จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางเขาที่เงียบสงัดอย่างกะทันหัน เสียงนั้นถูกกดลงต่ำอย่างประหลาด ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่น่าพิศวงเหลือเกิน
ซูฉางอันรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว รังสีแห่งความหนาวเย็นพุ่งขึ้นมาั้แ่เท้าจรดหัว แล้วพุ่งพล่านไปทั่วทุกอณูภายในร่างกาย และไปจบลงที่หนังศีรษะ ทำให้เขาร่างสั่นเทาขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
“นั่นอะไรน่ะ?” ซูฉางอันรู้สึกได้ว่าเสียงของตนกำลังสั่นอยู่
“น่าจะเป็ปีศาจบนเขาล่ะมั้ง?” หลิวต้าหงไม่ค่อยมั่นใจนัก เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้อย่างประหลาด
ขบวนรถลดความเร็วลง ซูมั่วกับคนอื่นๆ ต่างก็พากันชะโงกหน้าออกมาดู พวกเขาอยากจะถาม แต่ก็ถูกบรรยากาศอันแสนประหลาดหยุดเอาไว้เสียก่อน
หลิวต้าหงยื่นโคมไฟไปทางด้านหน้า แล้วค่อยๆ เคลื่อนรถม้าเข้าไปใกล้เงาดำนั้นอย่างเชื่องช้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ที่หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดออกมามากมาย
ซูฉางอันกับกู่หนิงเองก็เบิกตากว้าง แล้วจ้องไปที่เงาดำตรงหน้าตาไม่กะพริบ กู่หนิงถึงขั้นแอบขับเคลื่อนกำลังภายในเพื่อเตรียมพร้อมสู้เลยทีเดียว เขามีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตแล้ว หากเป็เพียงสัตว์ป่า หรือปีศาจธรรมดา กู่หนิงย่อมสู้ได้อยู่แล้ว
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า ก่อนจะหยุดลงในจุดที่ไม่ได้ห่างจากเงาดำนัก
มันเป็เงาของมนุษย์ เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำ กำลังก้มหน้าลงต่ำ ที่มือถือเครื่องดนตรีที่ไม่ทราบชนิดอยู่ด้วย คล้ายจะเป็ขลุ่ยบางอย่าง เสียงเมื่อครู่น่าจะเป็เสียงที่ดังออกมาจากเครื่องดนตรีชนิดนี้นั่นเอง
ภาพตรงหน้าแลดูน่าพิศวงอย่างประหลาด ภายในเขาโยวหยุนที่เต็มไปด้วยปีศาจ ‘มนุษย์’ คนหนึ่งกำลังบรรเลงบทเพลงที่น่าสลดหดหู่ด้วยเครื่องดนตรีงั้นรึ
“อึก!” ลูกกระเดือกเคลื่อนขยับ หลิวต้าหงกลืนน้ำลายอึกใหญ่เข้าไปในลำคอ เขาค่อยๆ ยื่นโคมไฟเข้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ้าจะดูใบหน้าของคนตรงหน้าชัดๆ
ซูฉางอันหยิบดาบมาจับเอาไว้ในมือ เขายังฝึกกระบวนดาบนั้นไม่ได้ ยังชักดาบออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เพียงจับดาบขนาดใหญ่เอาไว้ เขาก็จะรู้สึกปลอดภัยขึ้นมามาก ฝ่ามือของกู่หนิงเองก็มีแสงสีขาวเปล่งประกายขึ้น เขาเตรียมพลังเวทเอาไว้แล้วเช่นกัน องครักษ์ทุกคนต่างก็หยิบอาวุธของตนออกมา พลางจ้องไปที่เงาดำนั้นตาไม่กะพริบ แม้แต่ซูโม่กับพวกก็หยิบอาวุธออกมาด้วยเช่นกัน พวกเขามีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตกันหมดแล้ว หาใช่ศิษย์ที่ไม่มีทางสู้แต่อย่างใด มีเพียงกู่เซี่ยนจวินเท่านั้นที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ภายในรถม้า ราวสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอเช่นนั้น
ทว่าเงาดำนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย เขาเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงอย่างไม่สนใจใคร ท่าทางของเขาแลดูผ่อนคลายเหลือเกิน ผิดกับซูฉางอันกับพวกที่ทำท่าราวกำลังจะเผชิญหน้ากับทหารทั้งกองทัพเช่นนั้น การเผชิญหน้าของพวกเขาในตอนนี้ ไม่ต่างไปจากสิงโตผู้แสนดุร้ายที่กำลังยืนประจันหน้ากับฝูงแกะเพียงลำพังเลย
ในที่สุดบทเพลงนั้นก็บรรเลงมาจนถึงตอนจบ...
เงาดำเก็บเครื่องดนตรีประหลาดเข้าที่อย่างใจเย็น แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า
ในที่สุดซูฉางอันก็มองเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจนแล้ว เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเงาดำนั้นแล้วเช่นกัน
ซูโม่ส่งเสียงกรีดร้องเสียงดังลั่น เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่สูดหายใจเข้าลึกด้วยความหวาดกลัว
มันเป็ใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เป็ผู้ชาย บางทีก็เป็ผู้หญิง บ้างก็หนุ่มบ้างก็แก่ บ้างก็สวยบ้างก็อัปลักษณ์ บางทีก็เป็มนุษย์ บางทีก็เป็สัตว์ร้าย
เขายกมือขึ้น มือซ้ายขาวเนียนราวกับหยกเนื้อดี ทว่ามือขวากลับแห้งเหือดราวกับโครงกระดูก
เขาส่งยิ้มมาให้คนทั้งหลาย รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอำมหิตและการกลั้นแกล้ง
ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ขยับขึ้นอย่างเชื่องช้า เสียงของเขาแหบพร่า ไม่ต่างไปจากเสียงของเลื่อยยามเสียดถูกับไม้อันแสนผุกร่อนเลย
เขากล่าวขึ้น “ร้อยอสูรออกล่า!”