“ข้าน้อยเองขอรับ” หลิวต้าหงไม่กล้าเสียมารยาท รีบยกมือแสดงตัวทันที
“หึๆ เช่นนั้นทุกท่านก็ตามข้ามา ส่งรถม้าให้องครักษ์เถอะ พวกเขาจะเป็คนจัดการเอง”
หลิวต้าหงกับพวกส่งรถม้าให้องครักษ์เป็ผู้ดูแล แล้วเดินตามคนชราเข้าไปในจวนตามคำสั่ง
ภายในจวนอ๋องมีอ๋องอยู่หนึ่งคน และมีโหวเยอยู่ถึงสามคน เรียกได้ว่าตระกูลนี้มีตำแหน่งสูงส่งมากจนถึงมากที่สุดแล้ว ภายในจวนก็แลดูหรูหรางดงาม มีทั้งเครื่องปั้น เครื่องหยก และของประดับอื่นๆ มากมาย อย่าว่าแต่คนวัยรุ่นที่ไม่เคยได้ออกจากเมืองฉางเหมินอย่างซูฉางอันกับพวกเลย แม้แต่หลิวต้าหงที่พบเจอโลกมามาก เคยเห็นอะไรๆ มาเยอะก็ยังตะลึงจนตาค้างเลย
พ่อบ้านพากลุ่มคนเดินทะลุสวนหลายแห่ง จนมาถึงห้องรับแขกแห่งหนึ่ง “พาแขกทั้งหลายไปพักเถอะ” เขาสั่งกับสาวใช้ที่รออยู่ก่อนแล้ว
จากนั้นจึงหันกลับมาพูดกับกลุ่มคนอีกครั้ง “ทุกท่าน วันนี้พักที่นี่กันก่อน ท่านองครักษ์หลิว มากับข้าสักครู่ ท่านอ๋องมีเื่อยากจะคุยกับท่าน”
หลิวต้าหงส่งสัมภาระให้ลูกน้อง จากนั้นก็ขานตอบพ่อบ้านชรา แล้วเดินตามออกไปในที่สุด
ซูฉางอันและกู่หนิงได้พักอยู่ในห้องเดียวกัน ซูฉางอันลูบจับผ้าปูที่ขาวสะอาดของตน มันทั้งนุ่มและลื่นเลยทีเดียว เขาคิดขึ้นในใจ... จวนอ๋องไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย แค่เตียงที่ไม่สำคัญอะไร ก็ดีกว่าเตียงที่บ้านเราเป็ร้อยเท่าแล้ว แต่เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง เขาก็พบว่ากู่หนิงกำลังขมวดคิ้วมุ่นอยู่ ด้วยความนึกสงสัย จึงกล่าวถามออกไป “เฮ้ เ้าเป็อะไรไป วันนี้ข้าเห็นเ้าขมวดคิ้วมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ ข้าอยู่ร่วมเมืองกับเ้ามาตั้งหลายปี ยังไม่เคยเห็นเ้าขมวดคิ้วบ่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
กู่หนิงหัวเราะขมขื่น “สหายซู ไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลรึ?”
“ไม่ชอบมาพากลงั้นรึ? ก็ใช่ จะว่าไปแล้ว เ้าก็เป็คนของตระกูลกู่ ไม่น่าต้องมาพักกับพวกเราที่นี่ อย่างน้อยก็ควรต้องมีห้องเป็ของตัวเองสินะ?” ซูฉางอันพูดส่งๆ
“สหายซู คิดอะไรของเ้า! ตระกูลกู่มีญาติมิตรอยู่มากมาย แม้บิดาของข้าจะมาด้วยตนเอง ท่านก็ยังต้องพักอยู่ที่นี่เลย แล้วนับประสาอะไรกับข้าเล่า? ข้าหมายถึงเื่อื่นต่างหาก”
“เื่อื่นรึ?”
“ใช่! สหายซูไม่สังเกตรึ ว่าวันนี้ในจวนมีองครักษ์เดินตรวจตรามากและบ่อยเกินไป?” กู่หนิงพูดด้วยใบหน้าหนักอึ้ง
“งั้นรึ?” ซูฉางอันหวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง วันนี้มีองครักษ์และทหารอยู่เยอะมากจริงด้วย มักจะมีองครักษ์ที่มีอาวุธครบมือเดินตรวจตราอยู่ภายในจวนเสมอ แต่เพราะเขาไม่เคยมาที่จวนอ๋องแห่งตระกูลกู่ จึงคิดว่าคงไม่ใช่เื่แปลกที่จวนอ๋องจะมีการตรวจตราแ่าเช่นนี้
“ข้าคิดว่าจวนอ๋องเป็เช่นนี้อยู่แล้วเสียอีก” ซูฉางอันตอบตามความจริง จากนั้นจึงถามขึ้นอีกครั้ง “มันเป็เื่น่าแปลกหรือ?”
“อืม แปลก” กู่หนิงพูดต่อไป “หัวหน้าตระกูลกู่นับเป็คนที่เก่งกาจที่สุดในดินแดนทางเหนือแล้ว ต่อให้จะเป็ในแผ่นดินต้าเว่ย เขาก็ถือเป็ยอดฝีมืออันดับต้นๆ เช่นกัน อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย แม้แต่เผ่าปีศาจที่อยากจะแฝงตัวเข้ามาในจวน ก็ไม่อาจหลบสายตาของเขาพ้นได้ ไม่จำเป็ต้องใช้องครักษ์พวกนี้เลยสักนิด แต่เ้าดูสิ วันนี้ด่านตรวจที่ประตูเมืองเข้มงวดเป็อย่างมาก แล้วตอนนี้ในจวนก็เต็มไปด้วยองครักษ์อีก ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่คุณหนูคุณชายที่ชอบใช้อำนาจข่มคนไปทั่วก็ไม่โผล่หน้ามาเลยสักคน ต่างก็หลบอยู่แต่ในห้องราวกับเต่าที่มุดหัวอยู่ในกระดอง ตระกูลกู่มีการตรวจตราเข้มงวดและจริงจัง ราวกับว่ากำลังจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวเช่นนั้น!”
กู่หนิงพูดด้วยท่าทางจริงจัง เล่นเอาซูฉางอันที่อยู่ข้างกันรู้สึกขนลุกไปหมดแล้ว
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง ท่านอ๋องกู่มีคนที่กลัวด้วยรึ?” ซูฉางอันแสร้งพูดราวไม่แยแส คล้ายอยากจะทำลายบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวที่กู่หนิงสร้างขึ้น
“จะว่าไปแล้ว ในแผ่นดินต้าเว่ยแห่งนี้ นอกจากนักรบแห่งดาราจักรเพียงไม่กี่คนกับมหาจักรพรรดิแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครที่ทำให้ตระกูลกู่เกรงกลัวถึงเพียงนี้อีก แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้น พวกเราระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า”
“อืม” ซูฉางอันขานรับ เมื่อกอดดาบเล่มใหญ่เอาไว้ เขาก็มักจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นมามาก... ดาบเล่มนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน มั่วทิงอวี่ยกมันให้เขาก่อนตาย แต่ั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา ซูฉางอันก็ชักมันออกมาไม่ได้อีกเลย ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด และใช้วิธีไหนก็ตาม มันคล้ายกับสัตว์ร้ายที่แอบซุ่มอยู่ภายในถ้ำของตัวเอง เมื่อมีศัตรูที่มีฝีมือสมเป็คู่ต่อสู้มาเยือน จึงจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา ก็เหมือนที่มันเคยทำในคืนนั้น กระจายพลังไปทั่วปฐี ทำให้พิภพสั่นะเืในเสี้ยววินาที
คิดไปพลาง เปลือกตาของซูฉางอันก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาที่สะลืมสะลือ รู้สึกราวได้กลับไปในคืนนั้นอีกครั้ง เขาเห็นมั่วทิงอวี่ยกดาบ และะโขึ้นสูง เห็นวู๋ถงร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็สายเื เห็นหญิงในชุดเขียวปลดผ้าขาวที่ปกปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ
“สหายซู! สหายซู!” ในขณะที่ซูฉางอันกำลังพยายามมองใบหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงคนนั้นให้ชัดเจน จู่ๆ เสียงของกู่หนิงก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“อืม” ซูฉางอันขานรับ เขายันตัวลุกขึ้น แล้วขยี้ตาตัวเอง จากนั้นจึงมองไปยังกู่หนิงที่แต่งกายเป็ระเบียบเรียบร้อย พลางถามขึ้น “นี่มันยามไหนแล้ว?”
“ตอนนี้เช้าแล้ว!” กู่หนิงกล่าว “เมื่อครู่ท่านองครักษ์หลิวมาบอกให้เราเก็บของเตรียมออกเดินทางได้แล้ว”
“อ้อ ข้าหลับไปนานขนาดนี้แล้วหรือนี่?” ซูฉางอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาหลับไปนานถึงสี่-ห้าชั่วยามแล้วหรือนี่
“ก็ใช่น่ะสิ! เดิมที ข้ายังคิดจะชวนเ้าไปรับประทานอาหารด้วย แต่เห็นว่าเ้ากำลังหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก แต่โม่โม่ห่วงว่าเ้าจะหิว ก็เลยบอกให้เตรียมขนมซูปิ่งมาด้วย” พูดไปพลาง กู่หนิงก็ยื่นขนมที่ถูกห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าบางๆ สีเขียวมาให้ ซึ่งบนผ้าผืนนั้นมีลายดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักปักอยู่ด้วย
“โม่โม่เป็คนซื้อรึ?” ซูฉางอันหาวหวอด จากนั้นจึงตาสว่างในที่สุด
“ถูกต้องแล้ว” กู่หนิงพูดตามความจริง
ซูฉางอันรีบรับห่อผ้ามา แล้วเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง ในนั้นมีขนมซูปิ่งบรรจุอยู่ทั้งหมดสามชิ้นด้วยกัน พลันกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็โชยมาเตะจมูก ซูฉางอันไม่ได้กินอะไรมาตลอดทั้งคืน เมื่อได้กลิ่นหอมจากอาหารตรงหน้า จึงอดต่อไปไม่ไหว รีบหยิบขนมซูปิ่งหนึ่งชิ้นขึ้นมากินทันที
ซูปิ่งในวันนี้อร่อยจริงๆ... ซูฉางอันแอบคิดขึ้นในใจ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอร่อยอยู่แล้ว หรือเป็เพราะโม่โม่เป็คนซื้อมาให้กันแน่
“จริงสิ เมื่อวานนี้ไม่ได้เกิดเื่อะไรใช่ไหม?” ซูฉางอันกินซูปิ่งอย่างมีความสุขพลางถามกู่หนิงไปด้วย
“อืม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ดูท่า ข้าคงจะกังวลไปเอง ช่างน่าขายหน้าเสียจริง”
“ไม่เป็ไร ที่เ้าพูดมาก็มีเหตุผล อยู่ข้างนอก ระวังตัวหน่อยก็ดี พ่อข้ามักจะบอกกับข้าเสมอว่าคนเราต้องมีเล่ห์เหลี่ยม รู้จักใส่ร้ายคนอื่นบ้าง แต่ก็ห้ามลืมที่จะระแวงระวัง ไม่ให้คนอื่นทำร้ายตนได้”
“...” กู่หนิงรู้สึกเหมือนสิ่งที่ซูฉางอันพูดมาจะไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไรนัก แต่เพราะซูฉางอันมีขนมอยู่เต็มปาก จึงพูดไม่ค่อยชัดเจนนัก เขาจึงยังคิดไม่ออกว่าส่วนไหนของคำพูดที่ไม่ถูกต้องกันแน่
ซูฉางอันกินขนมไปถึงสองชิ้นในคราเดียว แต่ก็ยังรู้สึกราวไม่หนำใจ กำลังจะหยิบขนมชิ้นที่สามขึ้นมากิน แต่ก็ราวนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงวางขนมชิ้นสุดท้ายลงบนผ้าเช็ดหน้า จากนั้นก็ลงมือห่ออย่างระมัดระวัง แล้วเก็บมันเอาไว้ในอกอย่างดี
“เหตุใดสหายซูถึงไม่กินเล่า? ไม่ถูกปากรึ?” กู่หนิงรู้สึกสงสัยเหลือเกิน ขนมนั้นก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทั้งซูฉางอันก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งคืน น่าจะหิวมากจึงจะถูก
“เออ...” ซูฉางอันปั้นหน้าไม่ถูก ราวมีผู้มาพบเห็นความลับของตัวเข้าแล้วเช่นนั้น เขาแสร้งทำนิ่งเฉย แล้วกล่าวขึ้น “ตอนนี้ก็สายมากแล้ว เอาไว้ค่อยกินทีหลังดีกว่า เรารีบไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ก่อนเถอะ”
เขาไม่รอให้กู่หนิงถามต่อ รีบแบกดาบใหญ่เอาไว้บนแผ่นหลัง แล้วดึงกู่หนิงออกไปจากจวนอ๋องทันที
พวกเขามาที่ประตูจวนภายใต้การนำทางของคนรับใช้ภายในจวน
หลิวต้าหงกับพวกมารออยู่แล้ว ซูฉางอันอยากจะกล่าวทักทายหลิวต้าหง แต่กลับพบว่าหลิวต้าหงมีสีหน้าย่ำแย่มาก เกรงว่าเมื่อคืนต้องเกิดเื่ไม่น่ายินดีขึ้นแน่ แต่เพราะยังอยู่หน้าจวนอ๋อง จึงยังพูดอะไรมากไม่ได้ ได้แต่เพียงขึ้นไปนั่งรอบนรถม้าพร้อมกับกู่หนิงเท่านั้น ทว่าเมื่อขึ้นไปบนรถม้าแล้วจึงพบว่าคุณชายตระกูลกู่ที่ว่ายังไม่มาเลย
ซูฉางอันนึกประหลาดใจ เขาคิดขึ้นในใจว่าคุณชายผู้นี้ช่างผยองเสียจริง ถึงปล่อยให้คนอื่นๆ มารอเช่นนี้ แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เขาก็ได้ยินหลิวต้าหงฟาดแส้ลงบนม้า แล้วสั่งให้ออกเดินทางเสียก่อน
“ท่านหัวหน้าองครักษ์ ไม่รอคุณชายกู่คนนั้นแล้วรึ?” กู่หนิงเองก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกัน จึงกล่าวถามขึ้น
“รับมาเรียบร้อยแล้ว เป็คุณหนูน่ะขอรับ ตอนนี้นางไปอยู่บนรถม้าคันเดียวกับแม่นางซูโม่แล้วขอรับ” หลิวต้าหงที่อยู่ด้านนอกพูดด้วยน้ำเสียงระคนขมขื่น
ซูฉางอันกับกู่หนิงรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในคำพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามว่าอย่างไรดี บรรยากาศภายในรถม้าจึงเงียบขรึมลงไปมาก
ขบวนรถม้ามุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็ออกมาจากเมืองเป่ยหลานแล้ว
“เป็คุณหนูคนไหนกันหนอ ไม่แน่สหายกู่อาจรู้จักก็ได้” สุดท้ายซูฉางอันก็ทนอึดอัดไม่ไหว จึงพยายามหาเื่คุยเพื่อทำลายความตึงเครียดภายในรถม้า
“กู่เซี่ยนจวิน” หลิวต้าหงตอบ น้ำเสียงของเขาแลดูขมขื่นกว่าเดิมมาก
“กู่เซี่ยนจวิน? เป็ชื่อที่คุ้นจริงๆ” ซูฉางอันครุ่นคิด รู้สึกราวเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกเสียที จึงจะหันไปถามกู่หนิงที่อยู่ข้างกัน แต่ก็พบว่ากู่หนิงมีสีหน้าซีดเผือด ซีดจนไม่มีสีเืหลงเหลืออยู่เลย
“เป็หนึ่งในสามโหวของตระกูลกู่ จิงเทียนโหว-กู่เซี่ยนจวินงั้นรึ” เสียงของกู่หนิงสั่นเครือ ราวมีบางอย่างตื้ออยู่ในลำคออย่างไรอย่างนั้น
“อืม” หลิวต้าหงที่อยู่ด้านนอกตอบเสียงกลุ้ม
“ท่านองครักษ์ช่างเหลวไหลยิ่งนัก! รับงานเช่นนี้มาได้อย่างไร! นี่อาจนำความตายมาสู่ตัวเลยนะ!” กู่หนิงกดเสียงต่ำ คล้ายกับว่ากลัวศิษย์คนอื่นๆ จะได้ยินเช่นนั้น
หลิวต้าหงนิ่งเงียบไป ต้องบอกว่าไม่รู้ว่าจะตอบกลับมาอย่างไรจึงจะถูก
“เพราะอะไรกัน?” ซูฉางอันไม่เข้าใจ เขาคิดไม่ออกว่าทำไมการเปลี่ยนตัวคุณชายของตระกูลกู่มาเป็หญิงที่ชื่อกู่เซี่ยนจวินจึงนำความตายมาสู่พวกเขาได้?
“สหายซูอาจยังไม่รู้ กู่เซี่ยนจวินคนนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรา แต่กลับมีพร์ล้ำเลิศ เป็ยอดอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนทางเหนือ นางรับตำแหน่งเป็หนึ่งในโหวของตระกูลกู่ทั้งที่อายุยังน้อย เรียกได้ว่า เป็คนรุ่นหลังที่สำคัญมากเลยทีเดียว หากคนเช่นนี้อยากไปที่เมืองฉางอันจริง ใยต้องจ้างให้ท่านหัวหน้าองครักษ์คอยอารักขาด้วย ตระกูลกู่มียอดฝีมืออยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งคนเ่าั้ก็มีฝีมือดีกว่าท่านองครักษ์หลิวเป็ร้อยๆ เท่าเลยก็ว่าได้”
“ลองหวนนึกถึงความผิดปกติที่ข้าบอกเ้าเมื่อคืนนี้ดูสิ ตระกูลกู่ไปมีเื่มีราวกับบางสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ยังกลัว และเป็ไปได้มากว่าคนที่ไปมีเื่กับสิ่งนั้น ก็คือจิ้งเทียนโหวกู่เซี่ยนจวินคนนี้นั่นเอง”
จู่ๆ ลมหนาวก็พัดโหมเข้ามา มันทำให้ผ้าม่านบนรถม้าเปิดออกจนหมด ซูฉางอันจึงรู้สึกหนาวขึ้นมา
“คุณชายกู่พูดถูกแล้ว” หลิวต้าหงพูดต่อประโยคของกู่หนิง “เมื่อคืนนี้ ตอนที่ข้ารู้ว่าคนที่ต้องอารักขาไปส่งเป็จิ้งเทียนโหว เดิมข้าก็อยากจะปฏิเสธเช่นกัน แต่จวนอ๋องบ้าอำนาจยิ่งนัก พวกเขาเอาชีวิตของข้ากับพวกมาขู่ ไม่เว้นแม้แต่พวกท่านด้วย จะว่าไปแล้ว ข้าหลิวต้าหงเป็เพียงคนป่าที่ไม่มีค่าอะไร ต่อให้ต้องตายก็ไม่เป็ไร แต่หากข้าทำให้ชีวิตของท่านเจว๋กับคุณชายต้องมาจบสิ้นลง แบบนั้น ข้าคงไม่อาจไปสู้หน้าพวกท่านในยมโลกได้”
“ตระกูลกู่อยากส่งกู่เซี่ยนจวินไปที่เมืองฉางอัน แต่ก็กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ พวกเขาย่อมต้องหาฉากบังตาอยู่แล้ว และฉากบังตานั้นก็คือพวกเรายังไงล่ะ”
เสียงของกู่หนิงแปรเปลี่ยนไปเป็เย็นเยียบ ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งมีมากจนแทบจะทะลักออกมา
ฉางอันเคยเห็นความรู้สึกนั้นในดวงตาของมั่วทิงอวี่มาก่อน เขารู้ดีว่านั่นคือความโกรธเกรี้ยวนั่นเอง!