เขียนจดหมายให้แฟน?
แรกเริ่มเดิมทีจี้เจียงหยวนแค่อยากชื่นชมสิ่งสวยงามเท่านั้น ต่อมาขณะหาเื่สนทนากับเซี่ยเสี่ยวหลานเพราะสะกดกลั้นหัวใจที่สั่นไหวไว้ไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนี้จะคุยถูกคอทีเดียว อย่างน้อยก็น่าสนใจกว่าเหล่าหญิงสาวที่เขาเคยทำความรู้จักด้วยหลังกลับประเทศ
เขานึกว่ากำลังคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลานได้ดีเสียอีก เพราะเขาเองก็ดูออกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสนใจในสิ่งที่เขาพูดมาก
พอคุยกันไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็บอกว่าจะกลับหอพักไปเขียนจดหมายให้คนรักหนุ่มอย่างไม่สะทกสะท้าน สหายเซี่ย เธอซื่อตรงแบบนี้ไม่ค่อยดีนักหรือเปล่า?
เราสนทนากันอย่างสนุกสนาน เป็การรับรู้ที่ผิดพลาดของเขาหรือ
จี้เจียงหยวนกลับไม่ได้ผิดหวังอะไรหนักหนา เขายังไม่ได้รู้สึกกับเซี่ยเสี่ยวหลานถึงขั้นนั้น และเขาก็ไม่ใช่คนที่เพียงโดนปฏิเสธก็อับอายจนกลายเป็โมโห จี้เจียงหยวนแค่อยากจะหัวร่อ เหล่าสัตว์ร้ายที่ตกดึกก็กระสับกระส่ายไม่เป็สุขพวกนั้น รู้ไหมว่าปุบผางามประจำมหาวิทยาลัยคนใหม่นี้มีคนรักหนุ่มแล้ว
หรือว่า นี่เป็เพียงเหตุผลที่ใช้ปฏิเสธเขาทางอ้อมกันนะ
สรุปอย่างรวบรัด จี้เจียงหยวนยิ้มแย้มกลับหอพัก สิ่งที่รอคอยเขาอยู่คือการสอบปากคำของเพื่อนร่วมห้อง
สิ่งที่รอคอยเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ก็คือการสอบปากคำของเพื่อนร่วมห้องเช่นกัน รอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าซูจิ้งราวกับจับเธอและจี้เจียงหยวนว่าเป็คู่ชู้รักได้คาเคียง
“ทำไมเธอไม่คุยกับนักศึกษาจี้เขาต่ออีกหน่อย? ฉันอุตส่าห์ลากคนอื่นไปแล้ว สร้างโอกาสให้เธอเชียวนะ!”
เหล่าเพื่อนร่วมห้องดูสงสัยใคร่รู้อย่างเห็นได้ชัด
มีแค่หยางหย่งหงคนเดียวที่รู้สึกลังเล “เพิ่งเข้าเรียนก็มีแฟนแล้ว คงไม่ดีเท่าไรหรือเปล่า?”
หยางหย่งหงแสดงความคิดเห็นในมุมมองที่เป็ห่วง ทว่าซูจิ้งกลับไม่เห็นด้วย “ในกฎมหาวิทยาลัยของหัวชิงมีข้อที่ไม่อนุญาตให้มีความรักหรือ? พี่ใหญ่ นั่นมันแิที่คร่ำครึแล้ว แม้จะบอกว่าหัวชิงมีชายเยอะหญิงน้อย แต่คนโดดเด่นอย่างสหายจี้เจียงหยวนนี่ก็ใช่ว่าจะเจอได้บ่อยๆ นะ เธออย่าตัดชะตาวิวาห์ของน้องหกสิ”
เซี่ยเสี่ยวหลานยกสองมือขึ้นอย่างยอมจำนน “คงทำให้เธอผิดหวังแล้วล่ะ ชะตาวิวาห์นี้ถูกกุดทิ้งด้วยมือฉันเองนี่แหละ เพราะฉันบอกนักศึกษาจี้ไปว่า ฉันจะกลับหอมาเขียนจดหมายให้คนรัก!”
“เสี่ยวหลาน เธอกำลังล้อเล่นสินะ ใช้เื่นี้หลอกนักศึกษาจี้ ที่สนามตะวันตกมีคนตั้งมากมายขนาดนั้น หากมีคนได้ยิน...”
แม้ไม่ชอบจี้เจียงหยวน แต่ข้ออ้างออกจะมีถมเถไปนี่นา
ซูจิ้งไม่เข้าใจ คนอื่นๆ ใช้สายตาอัศจรรย์ใจมองเธอเหมือนกัน
“ฉันไม่ได้หลอกเขา ฉันจะเขียนจดหมายให้คนรักจริงๆ !”
ไปหน่วยงานของโจวเฉิงคงส่งผลกระทบที่ไม่ดีเท่าไรนัก เื่ราวครั้งก่อนยังไม่ผ่านพ้นไปด้วยซ้ำ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงตั้งใจว่าจะเขียนจดหมายให้โจวเฉิงแทน เธอจะถามไถ่เกี่ยวกับผลพวงของเื่นี้ และพิจารณาว่าเธอสามารถชดเชยได้หรือไม่ ถ้าทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่เธอส่งเนื้อแพะเข้ากองทัพ... เซี่ยเสี่ยวหลานมิอาจปล่อยปัญหานี้ไว้โดยไม่แยแสได้
สาวๆ ห้อง 307 รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
เซี่ยเสี่ยวหลานมีแฟนแล้วจริงๆ รึ?!
ในค่ำคืนนี้ ความอยากรู้อยากเห็นทั้งหมดของพวกเธอถูกปลุกขึ้นมาบัดดล ถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าคบกันั้แ่มัธยมปลายใช่หรือไม่ โจวลี่ิ่ถึงกับกรีดร้องอีกด้วย “แม่ฉันบอกว่าถ้ามีผู้ชายเขียนจดหมายให้ฉัน จะส่งให้อาจารย์อย่างแน่นอน ความรักแบบเด็กๆ ตอนมัธยมปลายมันไม่มีคำตอบ ฉันควรทุ่มเทใจทั้งหมดให้การเรียน... ในโรงเรียนมีฉันแค่คนเดียวที่สอบติดหัวชิง ฉันยังคิดเลยว่าแม่พูดถูก! แต่เธอมีความรักตอนมัธยมปลาย และเป็เพื่อนร่วมห้องของฉันได้ด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานเธอนี่มันประหลาดเหลือทน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานััได้ถึงความแค้นเคืองที่มาจากเหล่าคนโสด
เธออยากพูดยิ่งนัก อันที่จริงทุกคนไม่จำเป็ต้องอิจฉา ดูท่าสถานะคนโสดของเธอก็อยู่ไม่ไกลแล้วเช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานติดอยู่ท่ามกลางการเลือก
ประธานเซี่ยผู้สามารถตัดสินใจในการเจรจาทางธุรกิจมูลค่าร้อยล้านอย่างแน่วแน่ได้ กลับจัดการปัญหาหัวใจของตนเองให้ดีไม่ได้
การเจรจาธุรกิจคือประสบการณ์ที่เธอสั่งสมมา การทำโจทย์คณิตศาสตร์ โจทย์ฟิสิกส์หรือเคมี เธอก็เชี่ยวชาญในสิ่งเหล่านี้ เพราะเธอเคยเรียนมาั้แ่ชาติก่อนน่ะสิ ทว่าเธอนั้นไม่เคยมีความรักจริงๆ การดูตัวที่มีเป้าหมายสมรสไม่นับว่าเป็ความรัก นั่นคือการที่ทั้งสองฝ่ายนำคุณสมบัติออกมาวางนำเสนอบนโต๊ะ และเป็การเจรจาธุรกิจที่เหมาะสมอีกรูปแบบหนึ่ง
ธุรกิจคงเป็เหตุผล ในขณะที่ของอย่างความรักนี้เป็เื่เกี่ยวกับอารมณ์
เมื่อเธอเห็นโจวเฉิงก็จะหน้าแดงและใจเต้นแรง
กระทั่งความขัดแย้งทางแิเื่ขั้นตอนการแต่งงานที่ไม่ตรงกันยังถูกเซี่ยเสี่ยวหลานเพิกเฉยด้วยซ้ำ
เธอรู้สึกว่าความรักมันช่างยากเย็นเสียจริง คนสองคนชอบพอกันยังไม่เพียงพออีกหรือ ดูเหมือนยังมีอะไรมากกว่านั้นสินะ เวลาที่แบ่งให้การเรียน แบ่งให้การงาน แรงกายแรงใจที่แบ่งให้แฟนหนุ่ม ควรจัดการอย่างไรดี?
----------------------------------------
ในอีกด้านหนึ่ง บ้านหวังก็มีค่ำคืนที่น่าประทับใจเช่นกัน
หวังก่วงผิงให้หวังเจี้ยนหัวเชิญคนบ้านหลิ่วมาเป็แขก ไม่เพียงแต่ขอบคุณหลิ่วซานที่ให้บ้านหวังหยิบยืมเงินเพื่อฝ่าฟันความลำบาก หวังก่วงผิงยัง้าถือโอกาสทำความรู้จักเกี่ยวกับกิจการอุดมศึกษาจากศาสตราจารย์หลิ่วด้วย ทว่าขณะทุกคนกำลังเจรจาพาทีกันอย่างเบิกบานนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หวังเจี้ยนหัวลุกไปเปิดประตู เป็เซี่ยจื่ออวี้ที่เดิมตามหลังเขาเข้ามา
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกผิดเป็อย่างยิ่ง “คุณลุงคุณป้าคะ ฉันมาสายไปแล้ว ไม่ได้ช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ”
หร่านซูอวี้กัดฟันเสียแทบแหลก
เซี่ยจื่ออวี้วางผลไม้ที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะอีกด้วย ใครเขาสนใจผลไม้กับองุ่นพวกนี้กัน!
ศาสตราจารย์หลิ่วเป็ผู้ทำลายความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้น “ที่แท้มีแขกอีกนี่เอง พวกเราเสียมารยาทแล้ว ที่นั่งก่อนโดยไม่รอแขกมาให้ครบ”
คุณนายหลิ่วยิ้มน้อยๆ “นั่งด้วยกันเถอะค่ะ”
สีหน้าของหลิ่วซานไม่เปลี่ยน
สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเซี่ยจื่ออวี้ เธอนึกว่าพอตนเองโจมตีกะทันหันแบบนี้ คนบ้านหลิ่วต้องทำอะไรบ้างอย่างแน่นอน ใครจะรู้ว่าพวกเขาไม่เห็นเป็เื่สำคัญด้วยซ้ำ รวมไปถึงหลิ่วซาน หญิงสาวคนนี้ที่ใช้สถานะรุ่นพี่เข้าใกล้หวังเจี้ยนหัว และอยากแย่งชิงหวังเจี้ยนหัวไปจากเธอ
หวังเจี้ยนหัวกระแอมเล็กน้อย “จื่ออวี้ นี่คือศาสตราจารย์หลิ่ว คุณนายหลิ่ว รุ่นพี่หลิ่วเธอเองก็เคยเจอแล้วสินะ นี่คือเซี่ยจื่ออวี้ เป็นักศึกษาที่วิทยาลัยเหมือนกัน เป็คนรักของผมครับ”
เซี่ยจื่ออวี้ทักทายทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ในเมื่ออีกฝ่ายยังไร้ยางอายได้ เธอก็ไม่กลัวว่าหนังหน้าจะหนาหรือไม่เช่นกัน
เธอมาเยือนด้วยตนเองโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้ แน่นอนว่าพ่อแม่ของหวังเจี้ยนหัวย่อมไม่ยินดีแน่นอน ทว่าเซี่ยจื่ออวี้มัวแต่พะวงขนาดนั้นไม่ได้แล้ว ่นี้ท่าทีของบ้านหวังที่มีต่อเธอเป็อย่างไร เซี่ยจื่ออวี้รับรู้ได้เป็อย่างดี ตอนส่งยาส่งเงินส่งเสื้อผ้าไปที่ไร่ หร่านซูอวี้ไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้เลย โชคดีที่เธอยังสามารถเข้ามาบ้านหวังเพื่อ ‘รุกฆาต’ โดยความ้าของหวังเจี้ยนหัวได้ หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือหลังจากเซี่ยจื่ออวี้บอกใบ้เป็นัย เธอก็สามารถมาที่นี่ผ่านการชักชวนจากปากหวังเจี้ยนหัวได้
อย่างไรเสียก็เป็หวังเจี้ยนหัวที่เรียกเธอมาร่วมรับประทานอาหาร เธอไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถูกไหม?
อาหารมื้อนี้ ต่างคนต่างมีความคิดของตนเองอยู่ภายในใจ
เนื่องจากเซี่ยจื่ออวี้อยู่ด้วย เื่หลักของหวังก่วงผิงและศาสตราจารย์หลิ่วจึงไม่สามารถดำเนินบทสนทนาต่อไปได้ ทั้งสองครอบครัวทำได้แค่คุยประเด็นอื่นเล็กๆ น้อยๆ หร่านซูอวี้จึงชมว่าหลิ่วซานเก่ง และคุณนายหลิ่วก็ชมหวังเจี้ยนหัวจากใจจริง “เจี้ยนหัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่งได้ทั้งที่อยู่ชนบท เก่งกว่าซานซานของเราเสียอีกค่ะ”
หร่านซูอวี้คิดเหมือนกันว่าลูกชายของเธอเพียรพยายามมาก ทว่าหวังเจี้ยนหัวกลับมอบโอกาสนี้ให้เซี่ยจื้ออวี้เป็จุดเด่น
“ตอนนั้นต้องขอบคุณเอกสารทบทวนของจื่ออวี้น่ะครับ ผมถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ถ้าจะพูดเื่ฉลาด ผมเองก็เทียบจื่ออวี้ไม่ได้ พ่อครับ ่นี้จื่ออวี้เขาทำชั้นเรียนกวดวิชาด้วย เป็ชั้นเรียนสำหรับนักเรียนที่ใกล้จะสอบจงเข่า [1] และเกาเข่าโดยเฉพาะ พ่อว่าความคิดนี้ของเธอเป็อย่างไร?”
หวังก่วงผิงยังไม่ได้ตอบ ศาสตราจารย์หลิ่วก็พูดออกมาด้วยความประหลาดใจทีเดียว
“่นี้ฉันได้ยินว่านักเรียนส่วนหนึ่งของวิทยาลัยรวมกลุ่มกัน และสอนพิเศษให้คนอื่นข้างนอก ขนาดไม่เล็กเสียด้วย รับนักเรียนเป็ร้อย ที่แท้นักศึกษาเซี่ยเป็ผู้รับผิดชอบหรือ?”
“ศาสตราจารย์หลิ่ว คุณชมเกินไปแล้ว ขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากมายหรอกค่ะ ่คนเยอะที่สุดมีนักเรียนทั้งหมดราวสองร้อยกว่าคน จะว่าไป แรงบันดาลใจนี้ได้รับมาจากรุ่นพี่หลิ่วนะคะ รุ่นพี่ช่วยเจี้ยนหัวหางานพิเศษทำ ฉันถึงนึกออกว่าในเมื่อตลาดมีความ้าในด้านนี้ ทำไมไม่เปิดสถาบันกวดวิชาโดยเฉพาะสักแห่งล่ะ? แบบนี้ทั้งได้ฝึกฝนประสบการณ์สอนของพวกนักศึกษาในวิทยาลัย ทั้งทำให้นักเรียนที่้าเรียนเสริมได้รับความช่วยเหลือ... ความคิดนี้ยังไม่ค่อยสมบูรณ์น่ะค่ะ ฉันเพิ่งเริ่มลองทำเท่านั้น”
เซี่ยจื่ออวี้พูดอย่างฉะฉาน ศาสตราจารย์หลิ่วตั้งใจฟังมาก และในที่สุดหวังก่วงผิงก็มองเซี่ยจื่ออวี้ เซี่ยจื่ออวี้มีความสามารถเช่นนี้ มันทำให้เขามองเธอด้วยสายตาคู่ใหม่ได้
เชิงอรรถ
[1]中考 จงเข่า หรือ 初中学业水平考试 คือ การสอบวัดระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจำเป็ต้องสอบจงเข่า หลังจากนั้นนักเรียนสามารถใช้ผลคะแนนจงเข่าในการสมัครสอบเข้าเรียนระดับมัธยมปลายหรือสายการเรียนอื่นที่เทียบเท่าได้