เมื่อหยวนอวี่ได้ยินคำของจวินเหยียน มือทั้งสองข้างถึงกับจับผ้าห่มตนไว้แน่น นางก้มศีรษะลงอยู่เป็นาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ “หานอ๋องทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว แม้หยวนอวี่จะสู้ใครๆ ไม่ได้สักแค่ไหน แต่ก็ยังเป็บุตรสาวสายตรงของหยวนจวิ้นอ๋องที่ทั้งไทเฮา ฮองเฮาและฝ่าาต่าง้าจะพระราชทานสมรสให้นานแล้ว แต่เป็เพราะตัวหม่อมฉันเองที่ไม่อยากแต่งงานเร็วเพียงนั้น เสด็จพ่อมีหม่อมฉันเป็บุตรสาวเพียงคนเดียว หากแต่งออกไป ในจวนก็จะเหลือท่านเพียงผู้เดียว แม้จะยังมีสาวใช้ ผ่อจื่อและบ่าวรับใช้คนอื่นๆ อยู่ด้วย แต่พวกเขาก็ล้วนมีความแตกต่างทางฐานะ ย่อมต้องมีหลายๆ เื่ที่เสด็จพ่อไม่อาจบอกกล่าวได้”
อวิ๋นซีอดไม่ได้ให้คิดอยากจะยกนิ้วโป้งให้สตรีตรงหน้าผู้นี้เสียจริง เพราะไม่อาจไม่พูดได้ว่า สตรีผู้นี้รู้ดีว่าประเด็นสำคัญอยู่ตรงไหน คนเพียง้าจะบอกจวินเหยียนว่า หยวนจวิ้นอ๋องมีตนเป็บุตรสาวเพียงคนเดียว แน่นอนว่าย่อมต้องเป็คนสำคัญของบิดามากมายเพียงไร อีกทั้งยังเป็การบอกกล่าวว่าตนเป็คนฉลาด รู้อะไรมากมาย
“เปิ่นหวางนึกว่าเ้าจะมาหาชายในดวงใจที่หานโจวนี่ เพราะหากเป็เช่นนั้น เปิ่นหวางย่อมสามารถช่วยเ้าสรรหาบุคคลที่เหมาะสมได้” จวินเหยียนส่ายหน้าด้วยท่าทีคลับคล้ายจะเสียดายเล็กน้อย “ถึงแม้หานโจวจะอยู่ห่างไกลถึงตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ได้หรูหราเท่าเมืองหลวง ทว่าคนที่นี่ก็ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม และไม่มีการแก่งแย่งอันใดมากมาย ส่วนเื่สามภรรยาสี่อนุนั้น ที่นี่ก็เรียกได้ว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย นอกเสียจากจะเป็ความคุ้นชินที่ไม่ดีของเหล่าขุนน้ำขุนนางที่ติดมาจากเมื่อครั้งอยู่ในเมืองหลวง”
อวิ๋นซีลุกขึ้นมองจวินเหยียนไปทีหนึ่ง “เอาล่ะ ถึงแม้ตัวท่านจะอยากเป็พ่อสื่อแม่ชัก แต่ก็อย่าได้คิดจะมาเป็ให้เสี้ยนจู่เลยเพคะ เสี้ยนจู่เป็ถึงธิดาเพียงคนเดียวของหยวนจวิ้นอ๋อง ดังนั้น เื่การแต่งงานใดๆ ล้วนต้องให้ฝ่าาเป็ผู้ตัดสินพระทัย อีกประการ ยามนี้สุขภาพของเสี้ยนจู่เองก็ไม่ค่อยจะดีนัก พวกเราควรปล่อยให้นางได้พักผ่อนต่อนะเพคะ”
จวินเหยียนพยักหน้า “ได้ เปิ่นหวางเชื่อฟังคำพูดของชายา” พูดจบก็มองไปยังหยวนอวี่ แล้วจึงพูดเสียงเรียบ “ความเป็อยู่ของที่นี่ไม่อาจเทียบเมืองหลวงได้ คนที่เพิ่งมาถึงก็ไม่แน่ว่าจะเกิดเป็อะไรขึ้นมาบ้าง ทว่า ในเมื่อเ้าเลือกมาที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ต้องเตรียมใจไว้ให้ดี เปิ่นหวางเพียงกังวลว่าสุขภาพเ้าจะไม่ถูกกับสภาพดินฟ้าอากาศจนอาจถึงขั้นทำลายชีวิตน้อยๆ ของเ้าไปได้เลย”
เมื่อพูดจบ จวินเหยียนก็เดินออกไปจากห้องพักของหยวนอวี่อย่างรวดเร็ว ขณะที่อวิ๋นซีกลับทำเพียงมองไปยังเตี๋ยอีและอิ๋งอิ๋ง “สภาพภูมิประเทศของหานโจวไม่อาจสู้เมืองหลวงได้ จึงเป็เื่ปกติหากพวกเ้าที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็ครั้งแรกจะมีอาการไม่ถูกกับสภาพดินฟ้าอากาศ เพราะตัวข้านี้เคยติดตามบิดาไปทำการรักษาให้คนไข้อยู่หลายปีย่อมทราบดีว่า บางคนอาจได้รับผลที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตด้วยเพราะสาเหตุนี้ ดังนั้น หากว่าพวกเ้ามีอาการเวียนศีรษะพะอืดพะอมละก็ ทางที่ดีควรรีบส่งข่าวไปยังเมืองหลวง และเตรียมตัวไปจากที่นี่”
เมื่ออิ๋งอิ๋งได้ยินก็ทำเพียงกล่าวเรียบๆ “พระชายาเจตนาพูดให้ผู้อื่นใมากไปกระมังเพคะ”
อวิ๋นซีเม้มปากยิ้มบางๆ “หากพวกเ้าคิดว่าข้ามีเจตนาพูดเพื่อให้กลัว เช่นนั้นก็ลองออกไปสอบถามหมอคนอื่นดูเถิด หรือหากสามารถลองถามชาวบ้านละแวกนี้ได้ก็ยิ่งดี เพราะคนนอกพื้นที่ที่มายังหานโจวมักเกิดปัญหาเช่นนี้เป็ประจำจนพบเห็นได้บ่อยครั้งยิ่ง ถึงขนาดที่ว่าบางครั้งเดินๆ อยู่บนถนนก็ยังอาจพบเห็นพ่อค้าที่มาเยือนหานโจวเป็ครั้งแรกเป็ลมล้มพับได้ถมเถไป”
เมื่อพูดจบ อวิ๋นซีเองก็เดินมุ่งหน้าออกไปด้านนอก “รู้ทั้งรู้ว่าบนร่างตนมีาแก็ยังสู้อุตส่าห์เดินทางไกลมาหานโจวอีก หานโจวสภาพอากาศเลวร้าย ไม่เหมาะจะพักผ่อนรักษาตัวเป็ที่สุด”
เมื่อเตี๋ยอีได้ยินแล้ว สีหน้าก็ซีดขาวไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปทางหยวนอวี่ที่มีสีหน้าไม่ดีเช่นกัน “คุณหนู ท่านรู้สึกเวียนศีรษะ คลื่นไส้บ้างหรือไม่เ้าคะ? ”
เมื่อหยวนอวี่ได้ยินก็ส่ายศีรษะเบาๆ อยู่หลายหน กระทั่งหยุดลงจึงได้รู้สึกคลื่นไส้จริงๆ “อิ๋งอิ๋ง เ้ารีบออกไปสืบดูว่ามีปัญหาอย่างที่อวิ๋นซีพูดเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แล้วก็ไปสืบมาว่านครหานโจวนี้มีหมอท่านใดที่วิชาแพทย์ล้ำเลิศบ้าง”
หากให้พูดความจริง ตัวนางยามนี้ก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เกรงว่าเื่ทุกอย่างจะเป็ไปดังที่อวิ๋นซีว่าไว้ สำหรับหยวนอวี่แล้ว ในตอนแรกที่มาถึงหานโจวนี้ได้ก็เพราะอาศัยความเืร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ในกายและใจที่มันคะนึงหาแต่พี่จวินเหยียน จึงได้มุ่งหน้ามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ทว่าตอนนี้ดูท่าเื่ราวต่างๆ จะซับซ้อนกว่าที่ตนคิดไว้มาก ส่วนอวิ๋นซีผู้นั้นเพียงเจอแค่สองครั้งก็พอจะรู้แล้วว่าคนไม่ใช่สตรีที่จะต่อกรด้วยได้ง่าย
“เ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” เมื่อพูดจบ นางก็เดินออกไปด้านนอก
อวิ๋นซีออกมาจากเรือนฉิ่นเยว่ได้ไม่ไกลก็เห็นจวินเหยียนยืนรออยู่ที่ใต้ร่มไม้ ยามนี้เขาสวมชุดแดงยืนอยู่ตรงนั้นพลางยิ้มที่มุมปากขณะมองมายังนาง อวิ๋นซีจ้องมองตอบด้วยสีหน้าอึ้งงัน ต่อให้คนทั้งสองจะอยู่ด้วยกันทุกวี่ทุกวัน แต่บางครั้งนางก็ยังอดตะลึงค้างในความงามของเขามิได้
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า การมีชีวิตอยู่มาถึงสามชาติย่อมมีโอกาสได้เห็นชายงามมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะดวงตาสีฟ้าหรือว่าดวงตาสีดำ นางล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว ทว่าจวินเหยียนนั้นกลับต่างออกไป คนสามารถสังหารบุรุษรูปหล่อทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้ภายในวินาทีเดียว
“เหตุใดกว่าจะออกมาได้จึงนานเพียงนั้น มิหนำซ้ำยังถูกรูปลักษณ์ของข้าทำให้ถึงกับต้องหยุดยืนลุ่มหลงเช่นนี้อยู่อีก? ” เขายิ้มแย้มขณะเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงจูงมือนางเดินมุ่งหน้าไปยังประตูสู่เรือนชั้นห้า อันที่จริงในทุกๆ ครั้งที่ได้เห็นนางตะลึงอึ้งได้เพราะตน ทำให้เขารู้สึกดีใจยิ่งนัก
เดิมทีเขามักคิดอยู่เสมอว่า รูปลักษณ์อะไรเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ทว่าตอนนี้ที่ได้เห็นนางลุ่มหลงในใบหน้านี้ของตนนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด หรืออย่างน้อยๆ ก็ยังทำให้นางชอบได้ นี่สิที่คุ้มค่าเป็อย่างยิ่ง
อวิ๋นซีอยากจะดึงมือตนกลับ แต่กลับพบว่ายามนี้เขาจับจูงไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม และเมื่อดึงกันไปดึงกันมาได้เพียงครู่ สุดท้ายนางจึงทำได้เพียงต้องปล่อยให้คนผู้นี้จับจูงไปอย่างทำอะไรไม่ได้ “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะลอบใช้เข็มแทงท่านสักสองเข็มหรือ”
“เมื่อครู่เ้าก็ทำเช่นนั้นกับหยวนอวี่โดยที่คนไม่รู้ผีไม่รู้ไปแล้วมิใช่หรือ? ” ถึงแม้ในตอนที่นางตบมือหยวนอวี่เบาๆ เพื่อเป็การปลอบใจจะแฝงไว้ด้วยพฤติการณ์ลับๆ บางประการ แต่นั่นก็มิอาจรอดพ้นหูตาฉับไวของเขาไปได้ อีกทั้ง เขาเองก็รู้ดีอยู่ว่าสตรีข้างกายเขาไม่มีทางยิ้มแย้มด้วยท่าทีปรองดองถึงเพียงนั้นกับอีกฝ่ายได้แน่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าคนจะแอบลงมือแบบลับๆ
“ไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเื่อะไร” อวิ๋นซีมองไปยังเขา สีหน้าเปิดเผยยิ่ง “หม่อมฉันเพียงแต่เป็คนมีใจเมตตา จึงได้อยากช่วยตรวจอาการให้นางก็เท่านั้น ดังนั้น ท่านอ๋องจะตรัสมั่วๆ เช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ประเดี๋ยวจะเป็การทำลายชื่อเสียงของหม่อมฉันไปเสียหมด”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็อดหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาไม่ได้ “ใช่แล้ว ชายารักไร้เดียงสามีเมตตาที่สุดเลย” ที่จริงแล้วนางเป็ท้องดำ [1] น้อยชัดๆ เขาไม่เคยเห็นด้านที่ไร้เดียงสาของนางเลยสักครั้ง ถึงกระนั้นจวินเหยียนก็เพิ่งจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการพูดจากดำเป็ขาวว่าเป็เช่นนี้เอง
อวิ๋นซีกลอกตา เดินมุ่งไปข้างหน้าด้วยรู้อยู่ว่าคนผู้นี้ในใจไม่ได้คิดดังที่พูด แท้จริงแล้วนางไม่ได้ทำอันใดเลยสักนิด นอกจากจะใส่ยาให้หยวนอวี่นิดหน่อยก็เท่านั้น ซึ่งยานี้มีผลให้คนมีอาการพะอืดพะอมคลื่นไส้ราวกับป่วยเพราะไม่ถูกกับสภาพอากาศ
หากหยวนอวี่ยอมจากไปด้วยตัวเองก็คงดีหน่อย เพราะตอนนี้นางยังไม่อยากลงมือหรือคิดจะเสียเวลาไปกับอีกฝ่ายให้มากมาย แต่หากคนไม่ยินดีที่จะจากไปแต่โดยดี และยังถึงขั้นคิดลงมือผ่านทางหวานหว่าน นางย่อมไม่มีทางอนุญาตให้เื่นี้เกิดขึ้นแน่ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่รู้ความจริงก็ยังนับว่าดีกว่านี้ ทว่าตอนนี้ที่ได้รู้แล้วว่านั่นคือลูกของตน นางย่อมไม่มีทางอนุญาตให้ใครมาทำร้ายเด็กคนนั้นอย่างเด็ดขาด
“ทำไม หรือว่าเ้าไม่เชื่อในคำพูดของข้า? ” จวินเหยียนมองนางที่พยายามเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยปากถาม
อวิ๋นซีหยุดฝีเท้าเพื่อหันมองเขา จากนั้นก็พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่าน จอมปลอมเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่ในใจคิดว่าข้าโหดร้าย แต่ปากกลับเออออบอกว่าข้าไร้เดียงสามีเมตตา บุรุษเยี่ยงท่านล้วนชอบพูดอย่าง แต่ในที่ลับกลับทำอีกอย่างกันหมดเลยหรือ? ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็รีบดึงคนเข้ามาในอ้อมแขน เขามองนางทีหนึ่ง จากนั้นจึงบรรจงจูบบนริมฝีปากนาง และเป็นานกว่าจะยอมปล่อย “เป็อย่างไร รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเปิ่นหวางมิใช่คนที่พูดอย่างทำอย่าง หากแต่เปิ่นหวางชอบทำแล้วค่อยพูดมาโดยตลอด”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็กัดฟันมองเขา “คนเลว อันธพาล”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ท้องดำ(腹黑)หมายถึง คนที่ภายนอกดูเป็คนดีมีน้ำใจ แต่จริงๆ แล้วในใจกลับมีความคิดชั่วร้าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้