โครม!
ร่างไร้หัวของปีศาจหมีอัคคีโลหิตล้มลงแน่นิ่ง ประหนึ่งูเาถล่มราบ
เสียงอันหนักหน่วงเหมือนกระแทกลงบนใจของทุกคน
ปีศาจกิ้งก่าขาวคำรามด้วยโทสะ “เ้าฆ่าอัคคีโลหิต เ้าต้องตาย อ๊ากกกก หนุ่มน้อยชาวมนุษย์ เ้าถูกพิษกิ้งก่าของข้าแล้ว เ้าต้องตายอย่างไร้กังขา”
เ่ิูก้มหน้ามองรอยเืบนลาดไหล่
ลิ้นพิษขาวราวกับหิมะนั่นร้ายกาจจริงแท้ การโจมตีครั้งเดียวเหมือนถูกเกาทัณฑ์บนกำแพงเมืองระดมยิงใส่ กระดูกไหล่ดั่งถูกทำลายจนแหลกเละ แต่ทว่า...พิษร้ายหรือ?
เ่ิูยิ้มถากถาง
เปลวเพลิงสีเงินอ่อนจางค่อยๆ ห่างหายไปอย่างเชื่องช้าที่าแ
เพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์เป็หัวใจของทุกสิ่ง
ก่อนหน้าเขาจะลงมือนั้น ได้พึ่งเพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์นี้ช่วยสาวกพรรคจื่อเวยร่างผอมกะหร่องคนนั้นเอาไว้ ในเมื่อช่วยคนอื่นได้ แน่นอนว่าต้องเยียวยาตัวเองได้ ดังนั้นวินาทีที่ถูกลิ้นอาบพิษของกิ้งก่าขาว เขาจึงได้กระตุ้นเพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์ขับไล่พิษปีศาจออกไปจนหมด
การต่อสู้ที่ดำเนินไปทั้งหมดนั้น อยู่ในการวางแผนล่วงหน้าของเ่ิูหมดแล้ว
กระทั่งวินาทีแรกที่ลงมือ เ่ิูก็ได้เตรียมใจจะาเ็ไว้นานแล้ว พลังของแม่ทัพปีศาจแต่งตั้งสองตนมิใช่สิ่งที่แม่ทัพปีศาจสามัญสองตนจะเปรียบเทียบได้ เ่ิูถึงจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็หาได้ถึงขั้นทะนงตนไม่
ตอนที่ป้องกันการโจมตีครั้งแรกของแม่ทัพปีศาจอักขระสองตนนั้น เขาพึ่งพาเพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์ แต่พลังของเ่ิูที่ข้องเกี่ยวกับเพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์ในยามนี้ ทำได้เพียงสร้างกำแพงแสงป้องกันการโจมตีเท่านั้น ไม่อาจตอบโต้อีกฝ่ายได้ ดังนั้นการสังหารปีศาจหมีอัคคีโลหิต จึงต้องใช้พลานุภาพของกระชากิญญาผ่าเวหา หนึ่งในสี่กระบวนยุทธ์เทพราชันเกราะทองคำ ชั่วแวบที่ฟาดฟันปรปักษ์ หน่วงพลังปราณในกายให้หยุดนิ่ง
าของยอดฝีมือนั้น หากหยุดนิ่งแม้เพียงนิดเดียว เท่ากับตาย
เ่ิูอาศัยจุดนี้ฟันปีศาจหมีอัคคีโลหิตที่ไม่อาจขยับตัวได้จนหัวขาดคามือ
“พวกเ้ากล้าเสนอหน้ามาที่นี่ ก็สมควรเตรียมรับความตายไว้นานแล้วถึงจะถูก” เ่ิูมองปีศาจกิ้งก่าขาว เขาย่างกรายเข้าใกล้ทีละก้าวๆ ัหิมะยี่สิบตนโหยหวนกลอกกลิ้งทั่วร่างกาย ประหนึ่งัเทพปกปักกายา อำนาจกดดันัหิมะแสนพิเศษขจรขจาย มีอำนาจที่ยากจะบรรยายส่งให้เขาระงับการกระทำของระดับแต่งตั้งอีกฟากได้อย่างหมดจด
“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะสยบเ้าให้ได้” ปีศาจกิ้งก่าขาวมองศพของปีศาจหมีอัคคีโลหิต ดวงตาแดงฉานฉายแววโดดเดี่ยวและโศกเศร้า มันว่าอย่างดุร้าย “เ้าเป็ใครกันแน่? ในรายงานของกองทัพสู่ทักษิณของพวกเราไม่มีเ้าอยู่เลย”
เมื่อคำถามนี้ถูกเอ่ยออกมา คนทั้งโถงชั้นสี่ก็เงี่ยหูฟังกันอย่างตั้งใจ
เหล่าชาวยุทธ์ผู้ะเืใจอย่างหนักจากเหตุการณ์ทุกอย่างเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้เป็บุคคลศักดิ์สิทธิ์จากแดนไหนกันแน่
หนานหัวเบิกตากว้างอยู่ทางหนึ่ง นางรอคำตอบของชายอาภรณ์ขาว
ดวงเนตรงดงามนั้นมีสีสันฉาดฉายขึ้นมา
แต่ทว่า
“เตรียมใจรับความตายแล้ว รู้นามข้าไป จะมีประโยชน์อันใด?”
เ่ิูยิ้มบาง เขาเสือกกระบี่ในพริบตา
ยังคงเป็กระชากิญญาผ่าเวหา
สองเท้าสาวเข้าไป ห่างจากร่างปีศาจกิ้งก่าขาวอีกหลายสิบเมตร
ทว่าเขากระโจนขึ้นในก้าวที่สาม ร่างกายมาปรากฏตรงหน้าปีศาจกิ้งก่าขาวในชั่วลมหายใจ กระบี่ฉ่าวชางประหนึ่งน้ำพิสุทธิ์จาก์ชั้นเก้าสาดเทลงมา ตัวกระบี่ห่อหุ้มด้วยจิติญญาัหิมะขาว พลังอันน่าพิศวงของกระบวนยุทธ์ะเิออกมา กระทั่งอากาศกว้างยังเหมือนคลื่นธาตุถูกผ่าตามกระบี่สองคม
ปีศาจกิ้งก่าขาวคำรามเกรี้ยวกราด มันพ่นลิ้นพิษขาวหิมะออกมาสี่สาย
เส้นเงินสี่สายราวกับใยแมงมุมจะพันผนึกกระบี่ฉ่าวชางเอาไว้
ทว่าพลังหยุดนิ่งของกระชากิญญาผ่าเวหา ยังคงแทรกซึมเข้าไปในลิ้นพิษขาวจนถึงร่างกายของปีศาจกิ้งก่า
ปราณปีศาจนิ่งสนิท วิชาปีศาจม้วยมลาย
พริบตาที่ปีศาจกิ้งก่าขาวกระจ่างขึ้นมาว่าทำไมปีศาจหมีอัคคีโลหิตถึงได้ถูกบุรุษชุดขาวผู้นี้ฟาดฟันตายอย่างง่ายดาย ความจริงอันน้อยนิดคือเพลงกระบี่นี้ประหลาดเกินไป มันคำรามกู่ร้อง เวลาที่เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน ก็สายเกินไปเสียแล้ว...
เ่ิูไม่มีทางให้โอกาสมัน
สลาตันคมกระบี่!
กระบี่ฉ่าวชางโคจร เ่ิูกลายเป็พายุพัดอย่างบ้าคลั่ง
ไอดาบราวกับน้ำค้างแข็ง ความเย็นสุดขั้วค่อยๆ ทำให้ทั้งชั้นสี่เหมือนอยู่ในโพรงน้ำแข็ง คนทุกคนล้วนเหมือนกำลังทำาเย็นกัน
เห็นเพียงคมกระบี่เท่านั้น ไม่เห็นคน
เ่ิูประหนึ่งเป็อันหนึ่งอันเดียวกับกระบี่ฉ่าวชางไปแล้ว
ปีศาจกิ้งก่าขาวไม่รู้ถูกคมกระบี่ฟาดฟันไปกี่ครั้ง อาวุธิญญาคมกริบมีปราณน้ำแข็งเสริมความแกร่งมากพอจะตัดเกราะเกล็ดละเอียดยิบสีเงินของนางจนแบะได้ ความเย็นถึงขั้วหัวใจกรูเข้าาแ เข้าสู่กายนางครั้งแล้วครั้งเล่า
ชั่วอึดใจ ภาพกระบี่ห่างหายไปในบัดดล
กายแล่นตัดเป็กากบาท
เ่ิูหันหลังให้ เขาหยุดฝีเท้าแล้วเก็บกระบี่
ร่างกายใหญ่โตของปีศาจกิ้งก่าขาวยืนนิ่งงันอยู่บนพื้น ดวงตาแดงฉานดุจเปลวเพลิงกำลังค่อยๆ สูญเสียแววไปทีละน้อย แผลจากกระบี่มีอยู่เต็มตัว สิ่งที่น่าแปลกก็คือ แผลนั้นไม่มีเืสดพรั่งพรูออกมา กลับกันมีเพียงน้ำแข็งเย็นชั้นแล้วชั้นเล่าแข็งตัว...
“นี่...มันกระบวนยุทธ์อะไร?” ปีศาจกิ้งก่าขาวยังไม่สิ้นลมหายใจ ยามเขม็งมองเ่ิู
มันมองออก ว่าระดับพลังของนางไม่อ่อนกว่าไปเด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้านี้แน่นอน ดูท่าแล้วจะแกร่งกว่าหลายเท่าด้วยซ้ำ ทว่าสุดท้ายคนที่พ่ายและกำลังจะตาย กลับกลายเป็นางเสียเอง
ไม่ยินดีเอาเสียเลย
เ่ิูไม่ตอบ
ปีศาจกิ้งก่าหัวเราะอเนจอนาถด้วยลมหายใจสุดท้าย “พายุ...พายุกระบี่ไม่ไว้ชีวิต...แต่ว่าวันนี้...พวกเราเป็แค่ทหารชั้นเลวเท่านั้น...ตายไปก็ไม่มีผล...แต่เราทำอะไรได้ ทำอะไรได้เล่า? พวกเ้า...ต้องชดใช้...คิกๆๆ...เตรียมตระหนกกันยกใหญ่ได้เลย...”
เอ่ยไม่ทันจบ
ไอเย็นสีขาวกระจายออกมาจากกายนาง กลายเป็ก้อนน้ำแข็งสีเงินั์แช่แข็งร่างไว้ภายในตลอดกาล
ปีศาจกิ้งก่าขาว สิ้นชื่อแล้ว
เ่ิูหันกายกลับมาอย่างเชื่องช้า เขามองศพปีศาจที่ถูกน้ำแข็งผนึกไว้ ทอดถอนใจออกมาบางเบา
การที่มียอดฝีมือเผ่าปีศาจจำนวนมากปรากฏตัวที่ด่านโยวเยี่ยนครานี้มิใช่เื่บังเอิญอย่างแน่นอน น่ากลัวว่าเื้ัจะยังมีแผนการและวิธีการลงมือระยะยาวอะไรอยู่อีก ต้องเป็ปฏิบัติการฆ่าที่วางแผนมาอย่างรอบคอบ แต่มาเพื่ออะไรกันแน่นั้น เขายังมองไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ คือเหล่าปีศาจาุโของกองพลสู่ทักษิณนั้น ต้องมีเป้าหมายที่จะกระทำการบางอย่าง เช่นปีศาจหมีอัคคีโลหิตกับปีศาจกิ้งก่าขาวที่มาเพื่อตาย และเพื่อดึงดูดรวมทั้งเบนความสนใจของยอดฝีมือแห่งโยวเยี่ยน...
แม่ทัพปีศาจแต่งตั้งสองตนนี้ น่ากลัวว่าเป็เพียงวงเปิดเท่านั้น ตัวมันถึงรู้อยู่แก่ใจดีว่าที่ถูกส่งมาด่านโยวเยี่ยนก็เพื่อมาตาย
มนุษย์รักชีวิต
ปีศาจเองก็รักชีวิต
ทว่าคำสั่งทหารนั้นเหมือนประกาศิต พวกเขาไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้
คำรำพันสุดท้ายของปีศาจกิ้งก่าขาวก่อนตาย คำที่ว่า ‘เราทำอะไรได้’ เป็สุดทางของชีวิตที่ถูกครอบงำและความขมขื่นด้วยไม่อาจทำอะไรได้
แต่ความหมายแฝงอื่นในนั้น กลับทำให้เ่ิูใจเต้น
ที่ว่า ‘ตระหนกกันยกใหญ่’ นั่น้าจะบอกอะไร?
เผ่าปีศาจมาที่ด่านโยวเยี่ยนเพื่ออะไรกันแน่?
ภายนอกและภายในหอลมฝนปรอยตอนนี้ มีแม่ทัพปีศาจแต่งตั้งอย่างน้อยยี่สิบสามสิบตนปรากฏตัว กำลังระดับนี้หากปล่อยมาในสมรภูมิ อาจเรียกได้ว่าแกร่งกล้า แต่พออยู่ในกองบัญชาการใหญ่ของกองทัพโยวเยี่ยนแล้ว กลับเป็แค่ฝูงแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ขอเพียงเผ่ามนุษย์ตอบโต้เท่านั้น พวกมันก็จะถูกฆ่าล้างได้อย่างรวดเร็ว
ปีศาจาุโนับร้อยพันของกองพลสู่ทักษิณ ต้องไม่วางแผนโง่บรมส่งมาตายเช่นนี้แน่
แลกชีวิตแม่ทัพปีศาจอักขระยี่สิบสามสิบตน กับอะไร?
เ่ิูนึกไม่ออกเลย
เขานิ่งเงียบ
ชาวยุทธ์บนชั้นสี่ก็เงียบเช่นกัน
ในยามนี้ ไม่มีใครกล้าส่งแม้เศษเสี้ยวเสียง
ทั้งกลัวว่าจะรบกวนการครุ่นคิดของเ่ิู และกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจเทพสังหารผู้นี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนเคยเยาะเย้ยและยั่วโมโหเทพสังหารชุดขาวผู้นี้กันหมด
จวบจนเ่ิูส่ายหน้าแ่เบา แล้วเดินรุดไปตรงหน้าศพน้ำแข็งผนึก การกระทำและสีหน้านิ่งเหมือนแข็งเป็หินของทุกชีวิตจึงคลายลง
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องอยู่เ่ิูเพียงผู้เดียว
เทพาอาภรณ์ขาวอาบเืชุ่มโชกไปเสียครึ่ง พลันตบก้อนน้ำแข็งที่ผนึกร่างปีศาจกิ้งก่าขาวไว้อย่างเบามือ
เสียงแกร่กๆ ดังมา
ก้อนน้ำแข็งแตกเป็เสี่ยงนับไม่ถ้วน อีกสิ่งที่แตกสลายพร้อมกัน คือร่างกายของปีศาจกิ้งก่าขาวตนนั้น...
ชาวยุทธ์ประหนึ่งทำาประสาท พวกเขาสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอด
บุรุษผู้นี้ กระทั่งศพยังไม่ยอมปล่อยผ่าน
นับั้แ่ที่เ่ิูเผยตัวจนแม่ทัพปีศาจแต่งตั้งสองตนสิ้นชื่อนั้น ยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ เ่ิูผู้ตัดสินใจฆ่าด้วยวิธีการอันเผ็ดร้อนในการต่อสู้ พาให้ดวงใจและเืเนื้อของทุกคนเต้นเร่า ชาวยุทธ์ทุกคนในชั้นสี่ภาวนาขอให้อย่าเจอศัตรูอย่างนี้ตลอดชีวิต คนที่ขวัญอ่อนหน่อยน่ากลัวว่าพอเจอเ่ิูที่ใด คงนอนฝันร้ายไปหลายคืน
หลังความเงียบอันแสนสั้นและยาวนานผ่านพ้นไป
“ข้าผู้น้อยผู้าุโของพรรคจื่อเวยเหลียงเฉวียน ขอบพระคุณน้องชายที่ช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าน้องชาย...” อาจารย์อาเคราดำยาวผู้เหลือแขนเพียงข้างเดียวคำนับให้เ่ิู เขาถามไถ่ ท่าทีนอบน้อม สีหน้าเคารพ เห็นได้ชัดว่า้าผ่อนคลายบรรยากาศ
เ่ิูชำเลืองมองเขาแล้วพยักหน้าเล็กๆ
แต่พริบตาต่อมา เขาส่งกระบี่ฉ่าวชางในมือผ่าอากาศเข้าหาร่างสาวกจื่อเวยข้างกายอาจารย์เหลียงเฉวียน
“อ๊า” สาวกจื่อเวยผู้นั้นร้องลั่น เขารีบหลบไปอีกทาง แล้วว่าอย่างขวัญกระเจิง “เ้า...เ้าทำอะไร?”
เ่ิูไม่เอ่ยแม้แต่คำเดียว เขาฟันกระบี่ลงไปอีกครั้ง
“อาจารย์อา ช่วยข้าด้วย” สาวกจื่อเวยผู้นั้นวิ่งหลบเข้าหาฝูงชนอย่างปราดเปรียวพลางะโลั่น เขาชี้หน้าเ่ิูแล้วโอดร้อง “เ้า...เ้าทำอะไร...ข้าไม่ได้ทำผิดอะไรต่อเ้าเลยนะ...ศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิง ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
อาจารย์เคราดำหน้าเปลี่ยนสี เขาคว้ากระบี่มือเดียวแล้วออกหน้า
กระบี่ยาวทรงอำนาจประหนึ่งจุดไฟเผาภพ เป็เพลงกระบี่ป้องกันหนึ่งในสามชั้นยอดของจื่อเวย ดั่งผนึกราวปิดกั้น
เขาฝืนยกกระบี่ขึ้นกันการจู่โจมของเ่ิู เหลียงเฉวียนทั้งตะลึงและโกรธเคือง “ท่าน...ทำไม...ทำไมท่านถึงจะฆ่าศิษย์พรรคจื่อเวยของเราด้วย...หากเขาทำอะไรผิด ข้าต้องขอโทษแทนเขา ความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ เป็ความผิดของพวกเราเอง”
เหลียงเฉวียนอดกลั้นโทสะแล้วเจรจา
ความจริงแล้วพลังแกร่งกล้าที่เ่ิูสำแดงก่อนหน้านี้ ไหนจะฐานะที่เป็ปริศนา ทำให้ผู้าุโหนึ่งในหกคนของพรรคจื่อเวยผู้นี้นึกเกรงด้วยกลัวจะลูบหน้าปะจมูก ไม่อาจไม่กล้ำกลืนเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่ายเอาไว้
แต่เ่ิูไม่พูดอันใด
กายแวบวาบเมื่อเสียดกระบี่ออกไปอีกครั้ง
“อ๊า....อ๊า ทำไม เ้าไม่ชอบขี้หน้าคนพรรคจื่อเวยหรือ? อยากจะฆ่าล้างคนของพรรคให้สิ้นเลยงั้นหรือ?” สาวกพรรคจื่อเวยผู้นั้นวิ่งพรวดพราดไปมา เขาหลบการโจมตีไม่หยุด เอ่ยพลางปลุกอารมณ์ของคนอื่นไปด้วย
ชาวยุทธ์เกิดความวุ่นวายขึ้นจนได้
“ท่าน...น้องชาย หากเ้าอยากฆ่าคน ก็ต้องให้เหตุผลมาก่อน” เหว่ยเทียนิะโหน้าแดงด้วยโกรธจัด
ใครจะรู้ว่าเ่ิูจะไม่มองเขาแม้แต่หางตา ยังคงระดมแทงกระบี่หาสาวกพรรคคนนั้นต่อไป
สาวกพรรคจื่อเวยผู้นั้นร่ำร้องพลางถอยกรูด
“อย่านะ” หนานหัวโพล่งออกมาจนได้
กลุ่มคนอลหม่าน
บ้างเริ่มสีหน้าเดือดดาล
ฉับพลัน
หลี่รุ่ยสาวกพรรคร่างผอมผู้รักษาอาการมาตลอดเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา มากันอยู่ตรงหน้าสาวกจื่อเวยผู้นั้น ว่าเสียงดัง “จอม...จอม...จอม...จอมยุทธ์ ท่านเป็คนดี ข้าขอร้องท่านล่ะ...ได้โปรดอย่าฆ่าศิษย์น้องหมู่เลย เขาไม่ใช่คนเลว...เขา...”
พูดไม่ทันขาดคำ
เ่ิูเสียดกระบี่สู่ปลายจมูกหลี่รุ่ย
คมกระบี่ห่างจากจมูกไม่ถึงหนึ่งเส้นผมดี
กระบี่หยุดนิ่ง
เ่ิูมองบุรุษอายุน้อยร่างผอมโซแต่มีพลังประหลาด มองคนที่แม้จะกลัวจนแข้งขาอ่อนและฟันกระทบกันแต่ก็ไม่หนีกระบี่ของเขาไปไหน เด็กหนุ่มส่ายหน้า ั์ตามีแววชื่นชม ฉับพลันก็หัวเราะแ่เบา “เ้าเซ่อ เ้าโง่ เ้าคนดี”
หลี่รุ่ยชะงัก
ผัวะ!
ตัวกระบี่ตัดขวาง เ่ิูหักข้อมือกระแทกสันกระบี่เข้ากับเอวหลี่รุ่ย
หลี่รุ่ยโดนกระแทกจนปลิวไปไกล ตกอยู่บนพื้นสิบกว่าเมตรห่างจากนั้น
เ่ิูควบคุมพลังได้ดีมาก หลี่รุ่ยยังยืนอยู่ได้ นอกจากกลิ่นอายกระบี่ที่เขารู้สึกถึงในกระแสเืแล้ว ก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย
จู่โจมหลี่รุ่ยออกไปแล้ว เ่ิูก็ไม่ใช้กระบี่อีกต่อไป เขาเพียงคลี่ยิ้มเย็นมองสาวกพรรคจื่อเวยผู้นั้น แล้วเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “หลบกระบี่ข้าได้สี่ครั้ง พลังของเ้าเหนือกว่าอาจารย์อาของเ้าเสียอีก อายุยังน้อย แต่กลับมีพลังมากถึงเพียงนี้ เฮอะๆ”
สาวกผู้หน้าตาแตกตื่นพลันนิ่งค้าง
และเหลียงเฉวียนที่โกรธขึ้งอยู่ด้านข้างพลันมีความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมาในประสาท เขาล่วงรู้ความจริง แล้วร้องเสียงดัง เขาหันหน้าเขม็งมองศิษย์แซ่หมู่คนนั้น กัดฟันตะเบ็งเสียง “เ้า...เ้ามิใช่หมู่ซิ่ว เ้าเป็ใคร? ทำไมถึงคล้ายหมู่ซิ่วได้ขนาดนี้ เ้า...”
สาวกจื่อเวยหมู่ซิ่วสีหน้าไม่รู้เื่ “อาจารย์อาเหลียง ท่านพูดอะไรน่ะ? ข้าไม่เข้าใจ”
เหลียงเฉวียนโมโห “เ้ายังปิดบังข้าอยู่อีก? หมู่ซิ่วฝึกยุทธ์ได้แค่น้ำพุสิบตาเท่านั้น จะไปหลบกระบี่จอมยุทธวัยเยาว์สี่ครั้งติดได้อย่างไร? เมื่อครู่แม้เ้าจะดูแตกตื่น แต่ร่างกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวมาก กระบี่ใดก็ทำร้ายไม่ได้ หมู่ซิ่วไม่มีความสามารถเช่นนี้ เ้าไม่ใช่หมู่ซิ่ว...เ้าเป็ใคร?”
เมื่ออาจารย์อาพูดคำนี้ออกไป ทั้งชั้นสี่ของหอก็ตกตะลึง
สายตานับไม่ถ้วนจดจ้องที่ร่างของหมู่ซิ่ว
คนที่ยืนอยู่ข้างเขาพลันรักษาระยะห่างเหมือนน้ำยามลด
หมู่ซิ่วมองรอบด้าน พลันก็หัวเราะคิกๆๆ ขึ้นมา
เสียงเขาเปลี่ยนไป
เสียงต่ำทุ้มเฉกเช่นบุรุษ กลับกลายเป็เสียงสตรีแสนไพเราะ
บรรยากาศแปลกประหลาดเหลือเกิน
หมู่ซิ่วหัวเราะพลางกระชากผมตัวเองออกมา ได้ยินเสียงเหมือนผ้าไหมถูกฉีกขาดดังแว่ว ภาพที่ะเืตาหูอวดโฉมแก่สายตา เห็นเพียงหนังหัวของหมู่ซิ่ว รวมทั้งหนังหน้าถูกถลกออกมา กระนั้นก็ยังมีชั้นผิวแทรกอยู่ด้านในอีก...
ประหนึ่งถอดเสื้อผ้า
หนังมนุษย์ชั้นหนึ่งถูกฉีกออกมา
ใต้หนังมนุษย์นั้น มิใช่กระดูกหรือเืเนื้อรำไรเช่นที่ควรเป็
แต่เป็...
ร่างดรุณีอายุอานามน่าจะสิบห้าสิบหก
ดรุณีงามละเอียด ร่างกายประดุจแกะสลักจากหยกและแป้งฝุ่น ดั่งเซียนหญิงน้อยร่วงหล่นจากฟากฟ้าสู่โลกมนุษย์
เสียงหัวเราะไพเราะนั้นต้องเป็ของเด็กสาวตาโตบริสุทธิ์สดใสดุจธาราในใบไม้ร่วงอย่างแน่แท้
“ไม่สนุกเลย เ้าจับได้ซะแล้ว” เด็กสาวโยนหนังมนุษย์หมู่ซิ่วลงบนพื้นตามสะดวก จัดชุดหรูฉวินตัวเล็กบนร่างสักเล็กน้อย ชักกระบี่งามเล่มเล็กคล้ายของเล่นออกมาจากฝักที่เอว นางพองแก้มอย่างโกรธๆ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เ้าคนเลว เปิดโปงข้า ข้าจะฆ่าเ้า...เข้ามา ห้ามหลบนะ ข้าจะฟันเ้าให้ตายเลย”