วันถัดมา สถานการณ์ระหว่างหลินเยว่และฉินเหยาเหยาเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น
ตอนเช้า ฉินเหยาเหยาเปิดประตูออกมาอย่างแรง หลังจากนั้นเธอก็ทานอาหารเช้าด้วยสีหน้าเ็า ไม่ว่าหลินเยว่จะพยายามชวนคุยอย่างไร เธอก็ใช้เพียงสายตาเ็ามองตอบกลับ แต่ไม่ยอมพูดกับเขาเลยสักคำ
หลินเยว่พบว่าตัวเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกผู้หญิงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฉินเหยาเหยาเป็หนึ่งในนั้น และเฮ่อหลันเยว่ก็เป็หนึ่งในนั้นเช่นกัน สุดท้าย ก็ยังคงเป็หลินเยว่ที่เอ่ยปากขอโทษก่อน และเขาก็ลงโทษตัวเองด้วยวิธีเขาจะทำงานบ้านคนเดียวเป็เวลา 3 วันเต็ม
เมื่อได้ยินคำมั่นสัญญาของหลินเยว่ ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมของฉินเหยาเหยาในตอนแรกพลันยิ้มหวานออกมาทันที เธอพูดขึ้น “นี่เป็สิ่งที่คุณรับปากเองนะ ฉันไม่ได้บังคับคุณเลย” เธอทานข้าวอีกสองสามคำ หลังจากนั้นจึงรีบหยิบกระเป๋าถือและพุ่งตัวออกไปทำงานอย่างรวดเร็ว จากท่าทางของเธอดูเหมือนว่าเธอกำลังกลัวว่าหลินเยว่จะกลับคำทีหลัง
หลินเยว่มองเื้ัของฉินเหยาเหยาที่หายไปจากสายตา เขาจึงเพิ่งรู้สึกตัว หรือว่าเขาได้หลงกลเธอเสียแล้ว?
แต่น่าเสียดายที่เขารู้สึกตัวช้าจนเกินไป เพราะงานบ้าน 3 วันข้างหน้าเขาต้องเหมาทำเองทั้งหมดเพียงคนเดียว
หลินเยว่มองสภาพบ้านที่ไม่ค่อยสะอาดด้วยสีหน้าสลด เขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ เขาทำตัวเองแท้ๆ เชียว แต่ทว่า หากเขาได้กอดฉินเหยาเหยาอีกสักครั้ง มันก็คุ้มค่านะ
หลินเยว่พลันคิดได้ว่าวันนี้ท่านเฮ่อฉางเหอได้นัดเขาให้ไปที่บ้านของท่านฉางไท่ปรมาจารย์แห่งการแกะสลัก ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดแล้ว ดังนั้น เขาจึงรีบทานข้าวต่ออีกสองสามคำ หลังจากนั้นเขาจึงหยิบชุดคลุมแล้วพุ่งตัวออกไปข้างนอกทันทีโดยไม่ได้เก็บแม้กระทั่งจานชามบนโต๊ะ
หลินเยว่ยืนรอรถของท่านเฮ่อฉางเหอตรงทางแยกที่ได้นัดไว้แล้ว เพียงไม่นานนักรถทรงโบราณของท่านเฮ่อฉางเหอก็ขับมาถึง หลังจากหลินเยว่ขึ้นนั่งบนรถ พวกเขาทั้งสองก็นั่งรถมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของปรมาจารย์ฉางไท่
“ท่านเฮ่อครับ ปรมาจารย์ฉางไท่มีคำพูดต้องห้ามหรือเื่ที่ไม่ควรกระทำต่อหน้าท่านหรือเปล่าครับ ผมเกรงว่าอาจจะพูดผิดพลาดจนเป็การล่วงเกินท่านได้”
ระหว่างทาง หลินเยว่รู้สึกเป็กังวลจนถามท่านเฮ่อฉางเหอออกมา
“ฮ่าๆ เขาเป็คนใจเย็นมาก ไม่มีอะไรที่ต้องระวังเป็พิเศษ แต่มีอยู่นิดหนึ่ง เขาไม่ชอบคนหนุ่มสาวที่เอาแต่ยกยอปอปั้น แต่ว่าเขาจะชอบคนหนุ่มสาวที่ใส่ใจรักการเรียนรู้ เมื่อถึงบ้านของเขา คุณก็ตั้งคำถามบางอย่างดู ไม่แน่เขาอาจจะรู้สึกสนใจคุณก็ได้” ท่านเฮ่อฉางเหอพูดให้หลินเยว่รู้สึกสบายใจ และเขาก็พูดแนะนำหลินเยว่ไปในเวลาเดียวกัน
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้เขาจึงต้องฝืนยิ้มออกมา ตอนนี้เขาไม่มีความรู้เื่การแกะสลักเลย แล้วเขาจะตั้งคำถามได้อย่างไร หากรู้เร็วกว่านี้สักหน่อย เขาอาจจะทบทวนความรู้เกี่ยวกับเื่พวกนี้จากหนังสือที่เขาเคยอ่านมาตั้งนานแล้วก็ได้
ผ่านไปสิบกว่านาที พวกเขาทั้งสองคนก็มาถึงยังเขตที่พักที่เงียบสงบแต่สวยงามแห่งหนึ่ง
หลังจากหลินเยว่ลงจากรถ เขาก็มองวิวรอบๆ อย่างสนใจ ที่นี่มีต้นไม้หนาแน่นเขียวชอุ่ม เป็เขตพื้นที่ที่ดูเงียบสงบจริงๆ ซึ่งก็เป็สถานที่ที่เหมาะสมกับการพักอาศัยในยามแก่ชรา
หลินเยว่เดินตามท่านเฮ่อฉางเหอมาถึงหน้าประตูบ้านของท่านฉางไท่ ท่านเฮ่อฉางเหอแสดงท่าทีบอกให้หลินเยว่ทำตัวดีๆ หลินเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์และก็พยักหน้ารับคำ
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอเคาะประตู เพียงไม่นานประตูบ้านท่านฉางไท่ก็เปิดออก
ผู้ที่เปิดประตูกลับเป็หญิงสาวผู้หนึ่ง เธอมีอายุประมาณ 25 ปี ใบหน้างามแฝงไปด้วยความเ็า รูปร่างสูงเพรียวแต่มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามอง หญิงสาวผิวขาวผุดผ่อง ดวงตาของเธอคู่นั้นมีความเ็าแต่ไม่ดูไร้อารมณ์ แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเธอเป็คนจริงจังมีจิติญญา ร่างกายของเธอราวกับกำลังแผ่กระจายความหนาวเย็นออกมาเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ ราวกับว่าเธอ้าอยู่ห่างจากคนอื่นนับพันลี้
หลินเยว่อุทานชื่นชมอยู่ในใจ ช่างเป็หญิงสาวที่งดงามมากจริงๆ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเกิดความสงสัย ที่นี่คือบ้านของปรมาจารย์ฉางไท่มิใช่หรือ? แล้วหญิงสาวผู้นี้เป็ใครกัน? เธอมีความสัมพันธ์กับท่านฉางไท่อย่างไร? หรือว่าเธอเป็ลูกสาวของปรมาจารย์ฉางไท่?
“คุณปู่เฮ่อสวัสดีค่ะ อาจารย์กำลังรอท่านอยู่ในห้องหนังสือ” ระหว่างที่เธอพูด เธอก็เปิดทางให้กับพวกเขา ใบหน้าของเธอยังคงไม่มีรอยยิ้ม แต่ทว่าน้ำเสียงของเธอใสกังวานราวกับเสียงกระดิ่งเงิน อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“ฮ่าๆ คาดไม่ถึงว่าชิงเมิ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย ชีวิตมหาวิทยาลัยเป็อย่างไรบ้าง?” เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอเห็นหญิงสาวตรงหน้า สายตาเขาก็แสดงความประหลาดใจออกมา แต่เพียงไม่นานเขาก็พอเข้าใจได้
“สบายดีค่ะ ขอบคุณคุณปู่เฮ่อที่ห่วงใย” หญิงสาวที่ชื่อชิงเมิ่งโค้งคำนับเล็กน้อยพร้อมกล่าวขอบคุณ
“เข้าไปกันเถอะ ไปดูหน้าตาแก่คนนั้นสักหน่อย ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” ระหว่างที่ท่านเฮ่อฉางเหอพูด เขาก็พาหลินเยว่เดินเข้าไปด้านใน
ณ เวลานี้เอง ชิงเมิ่งจึงเพิ่งสังเกตเห็นหลินเยว่ เธอจึงมองหลินเยว่ด้วยสายตาราบเรียบชั่วครู่ หลังจากนั้นเธอจึงเบนสายตาออก ทำเหมือนกับว่าเธอมองไม่เห็นเขาเลยทีเดียว
“เธอชื่อหลี่ชิงเมิ่ง เป็นักศึกษามหาวิทยาลัยคุนิ และเป็นักเรียนของฉางไท่ ถ้ามีโอกาสก็ลองพูดคุยกับเธอดู สาวน้อยคนนี้เก่งทีเดียว” ท่านเฮ่อฉางเหอพูดเสียงต่ำกับหลินเยว่
หลินเยว่พยักหน้ารับ หลังจากนั้นเขาก็เดินตามท่านเฮ่อฉางเหอเข้าไปในห้องหนังสือที่ตกแต่งด้วยสไตล์โบราณห้องหนึ่ง
“ฮ่าๆ ตาแก่ฉาง คุณตายไปแล้วหรือยัง?” เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอเดินเข้าไปในห้องปุ๊บเขาก็หัวเราะเสียงดังพร้อมพูดทักทาย
“ฮ่าๆ คุณยังไม่ตาย ผมจะตายได้อย่างไร!” เป็น้ำเสียงหนักแน่นตอบกลับมา
เมื่อเดินเข้าไปในห้องหนังสือ หลินเยว่ก็ได้กลิ่นของยางสน ถึงแม้ว่าจะเป็เพียงกลิ่นจางๆ แต่ทว่ามันเป็กลิ่นที่หอมมาก หลังจากนั้นเขาก็เห็นชายชราอายุ 60 กว่าปีผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ใบหน้าแดงมีเืฝาด ดูมีสุขภาพแข็งแรง
บุคคลท่านนี้ก็คือท่านฉางไท่
หลังจากนั้นหลินเยว่ก็พบว่าในห้องหนังสือมีการจัดวางผลงานแกะสลักไม้และผลงานแกะสลักหินจำนวนมาก และยังมีผลงานแกะสลักหยกอยู่ไม่น้อย ผลงานทั้งหมดดูเหมือนกับของจริง มีชีวิตชีวา มีจิติญญาราวกับเคลื่อนไหวได้ หลินเยว่มองเห็นเพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ผลงานของท่านปรมาจารย์ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ!
ท่านเฮ่อฉางเหอส่งสายตาบอกหลินเยว่ที่ยืนอย่างสำรวมอยู่ให้นั่งลง หลังจากนั้นเขาก็ลากเก้าอี้อีกตัวด้วยท่าทีสบายๆ และนั่งอยู่ทางด้านหน้า
“คุณเป็คนที่ปกติไม่มีธุระไม่มีทางแวะมา เมื่อวานพอคุณโทรศัพท์หาผม ผมก็รู้ว่าต้องมีเื่อะไรสักอย่างแน่ๆ ว่ามาสิ ครั้งนี้มาด้วยเื่อะไรอีก? หรือว่าคิดจะให้ผมแกะสลักผลงานสักชิ้นเพื่อนำไปร่วมแข่งขันประชันอัญมณีอีกหรือ? แต่ครั้งนี้พวกเรามาตกลงกันก่อนนะ หากคุณหาหยกที่ดีกว่าครั้งที่แล้วไม่ได้ ผมไม่มีทางลงมือเองอย่างเด็ดขาด แล้วตอนนี้ผมก็ขาดแคลนเงิน ถ้าคุณ้าให้ผมแกะสลัก คุณต้องจ่ายเป็เงินก้อนใหญ่ด้วย” ท่านฉางไท่และท่านเฮ่อฉางเหอเป็เพื่อนเล่นกันมาั้แ่เด็ก บิดาของพวกเขาก็เป็เพื่อนกัน และทำให้ชื่อของท่านเฮ่อฉางเหอมีอักษรคำว่า “ฉาง” ด้วยนั่นเอง
“คุณขาดแคลนเงินเป็ด้วย?” ท่านเฮ่อฉางเหอดวงตาเบิกกว้าง เขาจ้องท่านฉางไท่ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ
เมื่อท่านฉางไท่ถูกจ้องเขม็งก็เกิดอาการหน้าแดง หลังจากนั้นจึงพูดเสียงดัง “ผมจะขาดแคลนเงินบ้างไม่ได้หรือไง? พวกนักเรียนตอนนี้ไม่ไหวเลย หากไม่มีเงินพวกเขาจะไม่ยอมเรียนกับคุณ แต่ก่อนอาจารย์เป็ใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้นักเรียนกลับใหญ่เสียกว่า ผมล่ะโมโหจริงๆ! แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ปัญหาการไม่มีผู้สืบทอดเป็ปัญหาหนักมาก ดังนั้น ผมจึงได้แต่ใช้เงินเป็ตัวกระตุ้นพวกเขา ซึ่งก็คิดเสียว่าเป็การทำคุณประโยชน์เพื่อประเทศชาติไงล่ะ”
ขณะที่พูด สีหน้าของท่านฉางไท่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เขารู้สึกผิดหวังกับพฤติกรรมของคนหนุ่มสาวในปัจจุบันจนถึงที่สุด
เพียงไม่กี่ประโยคนี้ หลินเยว่ก็รับรู้ได้ว่าท่านฉางไท่ที่อยู่เบื้องหน้าเขาเป็ปรมาจารย์ที่มีความรับผิดชอบสูงสุดผู้หนึ่ง ท่าน้าให้ศิลปะการแกะสลักมีการพัฒนาสืบทอดต่อไป ท่านจึงต้องใช้เงินส่วนตัวของตัวเองเป็ตัวกระตุ้นกับพวกนักเรียนของเขา ช่างเป็การกระทำที่ทุ่มเทจริงๆ เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกดีใจแทนนักเรียนของท่านฉางไท่ หรือว่าเขาควรจะรู้สึกเสียดายแทนกันแน่ เพราะมีอาจารย์ดีขนาดนี้อยู่ตรงหน้า แต่กลับเมินเฉยไม่ยอมใส่ใจหาความรู้!
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านฉางไท่ ท่านเฮ่อฉางเหอพลันตบโต๊ะเขียนหนังสืออย่างรุนแรงพร้อมพูดด้วยความโกรธ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ช่างไม่เอาไหนเลยจริงๆ นักเรียนแบบนี้คุณยังจะสอนพวกเขาอีกทำไม ยุ่งกับเื่ของตัวเองก็พอแล้วล่ะ!”
“คุณก็พูดอย่างสบายใจได้น่ะสิ คนพนันหินหยกมีเป็หมื่นเป็แสน คนสะสมหยกยิ่งมีเต็มไปหมด คุณไม่รู้สึกกังวลในเื่นี้ก็เป็เื่ธรรมดา แต่ดูคนที่เรียนด้านการแกะสลักสิ มีเท่าไรกัน? ตอนนี้พอมีคนเหล่านี้อยู่บ้างก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ผมคงต้องเลือกลูกศิษย์จากคนเหล่านี้ซึ่งก็เหมือนกับการเฟ้นหานายพลจากเหล่าบรรดาทหารพิการน่ะสิ มันเป็เื่ที่ช่วยไม่ได้จริงๆ” ระหว่างที่พูด ท่านฉางไท่ก็ถอนหายใจหนักๆ
เมื่อหลินเยว่ได้ยินบทสนทนาของผู้าุโทั้งสอง เขาก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาทันที เขารู้สึกอับอายในฐานะคนหนุ่มสาวผู้หนึ่ง!
ท่านเฮ่อฉางเหอรู้สึกเข้าใจความรู้สึกของสหายรักเป็อย่างดี อารมณ์โกรธที่มีพลันถูกกดทับลงมา เขาพูดปลอบใจท่านฉางไท่ “คุณก็อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวต้องมีคนที่สนใจอยากเรียนรู้จากคุณแน่ๆ ผมคิดว่าชิงเมิ่งสาวน้อยคนนี้ท่าทางไม่เลว รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วยังรักการเรียนรู้ คุณจะไม่ลองพิจารณารับเขาไว้เป็ลูกศิษย์หรอ?”
เมื่อพูดถึงหลี่ชิงเมิ่ง ท่านฉางไท่ก็เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูจากสถานการณ์แล้ว ท่านต้องพอใจเธอมากแน่ๆ ท่านฉางไท่ยกถ้วยชาขึ้นมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ เขาดื่มขึ้นอย่างสบายใจ และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เื่นี้ไม่จำเป็ต้องให้คุณพูดเตือนหรอก ผมรับเขาไว้เป็ลูกศิษย์อย่างไม่เป็ทางการแล้ว แต่การเรียนการแกะสลักไม่สามารถฝึกสำเร็จได้ในวันเดียว เขาใกล้จะสำเร็จการศึกษาแล้ว หากมาอยู่กับผมแล้วไม่มีรายได้ เขาจะรู้สึกกดดันอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมคิดจะให้เขาทำงานกับผม ต่อไปผลงานที่ผมจะแกะสลัก ผมจะให้เขาแกะสลักเป็โครงหยาบก่อน ส่วนที่เหลือผมค่อยลงมือทำเอง ส่วนหนึ่งเพื่อเป็การฝึกฝนเขา อีกส่วนเขาจะได้ยอมรับค่าตอบแทนที่น่าพอใจได้อย่างสบายใจ”
“อืม ความคิดนี้ไม่เลวเลย” ท่านเฮ่อฉางเหอพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมายิ้มๆ “หากเขารู้สึกกดดันก็สามารถส่งตัวมาให้ผมได้นะ ผมสามารถหางานดีๆ ให้เขาได้อย่างแน่นอน”
“ไปไกลๆ เลย! กล้ามาแย่งตัวกันถึงที่นี่เลยรึ! ถึงผมจะจนยังไง แต่การเลี้ยงดูลูกศิษย์สักคนก็ไม่ได้เป็ปัญหาหรอกนะ” ท่านฉางไท่พูดอย่างไม่พอใจพร้อมกลอกตาใส่ท่านเฮ่อฉางเหอ
“พูดมาซิ มาหาผมถึงที่นี่มาเพื่อทำอะไรกันแน่?”
เมื่อเริ่มเข้าสู่วัตถุประสงค์หลักที่มาในวันนี้ ในใจของหลินเยว่ก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น ความเป็อาจารย์ของท่านฉางไท่ดีมากทีเดียว หลินเยว่อยากจะติดตามและขอศึกษาเรียนรู้จากอาจารย์เช่นนี้มาก แต่เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รับเขาไว้เป็ศิษย์
“ครั้งนี้ผมไม่ได้มาหาคุณเพื่อให้คุณแกะสลักให้ แต่ครั้งนี้ผมมาที่นี่เพื่อพาเขามาด้วย เด็กคนนี้ไม่เลวทีเดียว เขารู้สึกสนใจเื่การแกะสลัก ดังนั้น ผมจึงพาเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้จากคุณ ให้เขารู้จักว่าความเป็ปรมาจารย์ที่แท้จริงเป็อย่างไร” ท่านเฮ่อฉางเหอชี้ไปยังหลินเยว่
“สวัสดีครับท่านอาจารย์ฉาง ผมชื่อหลินเยว่ครับ” หลินเยว่รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับแนะนำตัวเอง
ท่านฉางไท่มองท่านเฮ่อฉางเหอด้วยสายตาคมลึก มิตรภาพที่มีต่อกันมาหลายปี เขาย่อมเข้าใจความหมายจากการกระทำของท่านเฮ่อฉางเหอ ถึงจะพูดว่าให้ตัวเขาแนะนำสั่งสอนอีกฝ่าย แต่ความจริงแล้วก็คือเขาหาลูกศิษย์มาให้ตัวเขาหนึ่งคนเพื่อเขาได้ลองดูก่อน
หลังจากนั้นเขาจึงเบี่ยงสายตาหันไปมองทางหลินเยว่ เขากวาดตามองหลินเยว่ทั้งตัว
“คุณรู้สึกสนใจการแกะสลักมากอย่างงั้นหรือ?” ท่านฉางไท่ถามขึ้น