หลังจากคุยกับท่านเฮ่อฉางเหอเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเยว่ก็เดินเล่นรอบๆ โรงงานไปเรื่อยๆ เขาตั้งใจฟังช่างผู้ชำนาญทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์หินหยก เพราะทุกครั้งที่หลินเยว่ฟังช่างเหล่านี้แสดงความคิดเห็น เขามักจะได้ความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
ผ่านไปไม่นานหนัก หลินเยว่พลันรู้สึกว่ามีคนกำลังสะกิดเขาอย่างเบาๆ ทางด้านหลัง เมื่อเขาหันหน้ากลับไปมองจึงพบว่าเป็ใบหน้าเล็กๆ อันงดงามไร้ที่ติของสาวน้อยผู้หนึ่ง
“สะ...... สวัสดี” สาวน้อยตรงหน้าก็คือสาวน้อยที่เขาเห็นตอนที่เขาเพิ่งมาถึงที่โรงงาน เธอคือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่านเฮ่อฉางเหอและเฮ่อโย่วจ้างคนนั้น และตอนนี้สาวน้อยผู้นี้ก็กำลังจ้องเขาตาโตอยู่ การกระทำของเธอทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี
“สวัสดีค่ะ พี่หลินเยว่” เฮ่อหลันเยว่ส่งยิ้มหวานบริสุทธิ์ให้กับหลินเยว่ หลังจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน
“คุณรู้จักผม? คุณชื่ออะไรหรือครับ?” หลินเยว่คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีชื่อเสียงขนาดนี้ สาวน้อยน่ารักเบื้องหน้าคนนี้ยังรู้จักชื่อเขาเสียด้วย
“ใช่สิคะ พี่หลินเยว่เก่งขนาดนี้ หนูจะไม่รู้จักพี่ได้อย่างไรล่ะ หนูชื่อเฮ่อหลันเยว่ พี่เฮ่อโย่วจ้างเป็พี่ชายของหนู คุณปู่เฮ่อฉางเหอเป็คุณปู่ของหนู”
“ที่แท้ก็คือคุณหนูเฮ่อนั่นเอง คุณหนูมาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?” หลินเยว่ถามขึ้น
“มีสิคะ พี่หลินเยว่บอกหนูได้ไหมคะว่าวันนั้นพี่เอาชนะพี่ชายและคุณปู่ของหนูได้อย่างไร? หนูรับรองว่าจะไม่บอกเื่นี้กับคนอื่น” ดวงตากลมโตของเฮ่อหลันเยว่จ้องมาที่เขา เธอทำหน้าเหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นมากจริงๆ
“เอ่อ...... เื่นี้......ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อีกอย่างผมก็ไม่ได้ชนะพี่ชายและคุณปู่ของคุณหนูสักหน่อย ผมก็แค่ค่อนข้างโชคดีเท่านั้นเอง” หลินเยว่รู้สึกไม่กล้าสบตาดวงตาที่มีแต่ความบริสุทธิ์ของเฮ่อหลันเยว่
เขารู้สึกว่าการพูดโกหกต่อหน้าสายตาอันบริสุทธิ์แบบนี้ถือว่าเป็ความผิดอย่างมหันต์ และตอนนี้เขาก็กำลังทำความผิดอย่างมหันต์นั้นเสียด้วย!
“พี่หลินเยว่ไม่เชื่อเยว่เยว่” เฮ่อหลันเยว่ทำปากยู่ขึ้น เธอมองหลินเยว่ด้วยสีหน้าเศร้าสลด
หลินเยว่รู้สึกใจนสะดุ้งเฮือกอย่างกะทันหัน สีหน้าของสาวน้อยผู้นี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไปหรือเปล่า เมื่อสักครู่ยังมีใบหน้าสดใสราวกับพระอาทิตย์แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าสลดราวกับมีเมฆทึบปกคลุมอยู่
“ผมไม่ได้โกหกคุณหนูจริงๆ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น......” หลินเยว่รู้สึกว่ามือไม้ของเขาทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่อสาวน้อยตรงหน้าอย่างไรดี
“พี่หลินเยว่กำลังโกหกหนู! หนูจะไปฟ้องคุณปู่ของหนู บอกคุณปู่ว่าพี่รังแกหนู!” ระหว่างที่พูด เฮ่อหลันเยว่ก็หมุนตัวทำท่าจะวิ่งไปยังทิศที่ท่านเฮ่อฉางเหออยู่
“อย่านะ!” หลินเยว่รีบคว้ามือของเฮ่อหลันเยว่เอาไว้ หากเขายอมให้เธอพูดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาคงไม่มีโอกาสพูดแก้ต่างให้ตัวเองพ้นผิดหรือพูดปัดความรับผิดชอบได้เลย ราวกับเป็การตกลงไปในแม่น้ำเหลืองแล้วไม่มีวันล้างได้สะอาด เขาจึงรีบพูดขึ้น “คุณหนูอย่าบิดเบือนความหมายที่ผมพูดได้หรือเปล่าครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น... จริงๆ นะ”
เฮ่อหลันเยว่ทำสีหน้าราวกับว่าเธอกำลังถูกรังแกอย่างหนัก เธอโอดครวญพร้อมทั้งมองไปทางหลินเยว่ “พี่หลินเยว่บอกว่าเยว่เยว่ไม่มีเหตุผล!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเยว่รู้สึกว่าบนศีรษะของเขากำลังเกิดภาพอีกากำลังบินผ่าน และทิ้งไว้เพียงเครื่องหมายจุดๆๆ ......
เขารู้สึกหมดคำพูดจริงๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเฮ่อหลันเยว่อย่างไรดี เพราะหากเขาพูดอะไรผิดพลาดไป ก็จะกลายเป็ว่าเขาจะมีความผิดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกระทง ดังนั้น เขาจึงนิ่งเงียบและมองเฮ่อหลันเยว่ด้วยสีหน้าอึ้งๆ แทน เขาเตรียมจะใช้กลยุทธ์ “ไร้เสียง” ในการต่อกรกับเธอ
แต่ทว่าวิธีการของหลินเยว่กลับไร้ผลอย่างสิ้นเชิง
“พี่หลินเยว่ยอมรับโดยปริยายแล้ว” เฮ่อหลันเยว่พูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
ยอมรับโดยปริยาย?
ยอมรับโดยปริยายเื่อะไร?
ยอมรับโดยปริยายเื่ที่คุณหนูไร้เหตุผล?
หลินเยว่รู้สึกว่าเขากำลังจะสติแตก เขาไม่สามารถต่อว่าเธอได้ และก็ไม่สามารถทำร้ายเธอได้เหมือนกัน ในที่สุดเขาจึงพูดอย่างคนหมดปัญญา
“ผมขอพูดอย่างชัดเจนอีกครั้งว่า ผมไม่ได้โกหกคุณหนู และก็ไม่ได้รังแกคุณหนู ยิ่งไปกว่านั้นผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณหนูไร้เหตุผล คุณหนูพูดออกมาเถอะว่าคุณหนู้าจะทำอะไรกันแน่ครับ?” ในเมื่อทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ แสดงว่าเธอกำลังมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างอยู่
และก็เป็ไปตามที่คาดการณ์ไว้ เฮ่อหลันเยว่รีบเปลี่ยนใบหน้าอันแสนเศร้าสลดของเธอให้กลายเป็ใบหน้ายิ้มแย้มสดใส หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ใส่หลินเยว่พร้อมถามขึ้น “พี่หลินเยว่คะ พี่สาวสุดสวยที่ไปดูแลพี่ที่โรงพยาบาลเป็แฟนของพี่ใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่” หลินเยว่ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด หลังจากนั้นเขาก็มองเฮ่อหลันเยว่อย่างสงสัยพร้อมถามขึ้น “คุณหนูถามเื่นี้ทำไมล่ะครับ?” เขาไม่เชื่อหรอกนะว่าอีกฝ่ายจะพูดอ้อมโลกขนาดนี้เพื่อถามถึงเื่เล็กๆ แค่นี้เอง
“เป็ไปได้อย่างไรคะ? เมื่อวานหนูโทรศัพท์หาพี่สาวแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นพี่สาวก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันที พี่สาวสุดสวยจะไม่ได้เป็แฟนของพี่ได้อย่างไร พี่สาวเขาสวยขนาดนี้ แล้วก็ยังใส่ใจพี่มากเลยนะ” ใบหน้าเล็กๆ ของเฮ่อหลันเยว่แสดงสีหน้าออกมาว่าเธอไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด
“ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวนะ! คุณหนูบอกว่าคุณหนูเป็คนโทรศัพท์หาเธออย่างงั้นหรอครับ?” หลินเยว่มองเฮ่อหลันเยว่อย่างข้องใจ
“ใช่สิ พี่สาวสุดสวยคนนั้นดีกับพี่จะตาย พอรับสายโทรศัพท์จากหนู พี่สาวก็รีบออกเดินทางมาจากอำเภอเล็กๆ แห่งนั้นทันทีเพื่อมาดูแลพี่เลยนะ พี่หลินเยว่ พี่สาวเขาดีกับพี่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่ใช่แฟนของพี่ล่ะ?” เฮ่อหลันเยว่ถามอย่างสงสัย
“ไม่ใช่สิ! เธอเป็คนโทรศัพท์หาผมแล้วคุณหนูเป็คนรับสายไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงกลายเป็ว่าคุณหนูเป็คนโทรศัพท์หาเธอได้ล่ะ?” หลินเยว่เริ่มรู้สึกสับสนกับข้อมูลนี้ เฮ่อหลันเยว่ไม่มีความจำเป็ที่จะต้องโกหกเขา แต่ทำไมฉินเหยาเหยาต้องโกหกเขาด้วยล่ะ?
หรือว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่? หรือว่าเธอไม่้าให้เขารู้ความจริงบางอย่างหรือเปล่า?
ดวงตาของเฮ่อหลันเยว่กลอกไปมา หลังจากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน “พี่หลินเยว่โง่จัง พี่สาวสุดสวยคนนั้นต้องชอบพี่แน่ๆ เลย แต่ก็เป็เพราะว่าพี่สาวเขาอายก็เลยไม่อยากให้พี่รู้ ดังนั้น พี่สาวเขาถึงได้พูดอย่างนี้กับพี่ไงล่ะ พี่หลินเยว่โง่จริงๆ!”
หลินเยว่รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ ฉินเหยาเหยาชอบเขาอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในหลายๆ เื่ รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หลินเยว่ก็รู้สึกว่าคำอธิบายนี้ก็สมเหตุสมผลเป็อย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะดีใจอยู่ในใจ
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกสงสัยกับอีกคำถามหนึ่ง เขาจึงถามเฮ่อหลันเยว่ออกไป “คุณหนูรู้เบอร์ของเธอได้อย่างไรล่ะ แล้วทำไมถึงโทรหาเธอได้หรอ?”
“โง่จัง หนูก็แค่หยิบโทรศัพท์ของพี่ขึ้นมา พอเห็นว่าบนหน้าจอมีเบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้ที่พี่โทรออกอยู่บ่อยๆ หนูก็เลยกดโทรออกไป คาดไม่ถึงว่าหนูจะทายได้ถูกต้องจริงๆ ทำไมหนูถึงฉลาดแบบนี้ล่ะ! อิอิ......” เฮ่อหลันเยว่ปรบมือพร้อมยิ้มอย่างน่ารัก ราวกับว่าเธอกำลังปรบมือชื่นชมกับความฉลาดของตัวเอง
หลินเยว่เบะปากเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นใครชมตัวเองแบบนี้มาก่อน ตอนที่เขาอยู่ที่อำเภอชาง เขารู้จักคนเพียงไม่กี่คน ทำให้คนที่เขาโทรหาบ่อยที่สุดก็คือฉินเหยาเหยา
และเวลานี้เองที่เขาเห็นดวงตาของเฮ่อหลันเยว่กลอกไปมาอีกครั้งโดยบังเอิญ หัวใจของเขาเต้นกระตุกอย่างใ เขารู้สึกว่าเขาต้องรีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“คุณหนูเฮ่อหลันเยว่คนดี พี่ยังมีธุระต่อ ต้องขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากพูดจบ หลินเยว่ก็ไม่รอให้เฮ่อหลันเยว่คิดอะไรได้ทัน เพราะตัวของเขานั้นรีบโกยแนบออกไปไกลอย่างทันที
เฮ่อหลันเยว่ไม่ได้วิ่งตามหลินเยว่ไป แต่เธอกลับหยิบสมุดบันทึกเล่มสวยขนาดเล็กขึ้นมาจากในกระเป๋าด้วยท่าทีสดใสผ่อนคลาย หลังจากนั้นเธอจึงเปิดด้านในขึ้นพร้อมทั้งหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มขีดๆ เขียนๆ เป็ข้อความดังนี้......
“ปี 200X เยว่เยว่แสนฉลาดวางแผนหลอกถามพี่ชายหลินเยว่ที่แสนซื่อบื้อให้สารภาพความจริงเกี่ยวกับเื่ราวระหว่างเขาและพี่สาวสุดสวยคนนั้น เยว่เยว่แสนฉลาดช่วยพี่ชายหลินเยว่ที่แสนซื่อบื้อให้รู้ความจริงเื่ที่พี่สาวสุดสวยชอบเขา เยว่เยว่แสนฉลาดได้ทำความดีอันยิ่งใหญ่เื่หนึ่ง เยว่เยว่ต้องมีอายุยืนยาวนับร้อยปี คุณปู่ก็ต้องมีอายุยืนยาวนับร้อยปี และพี่ชายก็เช่นกัน พี่ชายหลินเยว่ที่แสนซื่อบื้อจะทำอย่างไรกับพี่สาวสุดสวยคนนั้นนะ? เยว่เยว่แสนฉลาดจะติดตามเื่นี้ต่อไป เยว่เยว่แสนฉลาดจะต้องประสบความสำเร็จในเื่นี้อย่างแน่นอน หวังว่าพี่สาวเทพธิดาฉางเอ๋อจะช่วยปกป้องคุ้มครองเยว่เยว่แสนฉลาดคนนี้ด้วยเถิด”
หลังจากเขียนเสร็จ เฮ่อหลันเยว่ก็ปิดสมุดบันทึกแสนรักเล่มเล็กของเธอลงอย่างพอใจ ส่วนบนหน้าสมุดบันทึกเล่มเล็กเล่มนี้มีตัวหนังสือที่เขียนไว้อย่างสะดุดตาว่า “นักสืบสาวเยว่เยว่”
ไม่รู้ว่าหากหลินเยว่ได้เห็นสมุดบันทึกเล่มนี้เขาจะถึงกับกระอักเืออกมาหรือไม่? เพราะตัวเขาถูกคนอื่นเรียกว่าไอ้ซื่อบื้อ อีกทั้งยังกลายเป็พระเอกในสมุดบันทึกของคนอื่นเสียด้วย
ณ เวลานี้ หลินเยว่ก็กำลังครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉินเหยาเหยาอย่างเงียบๆ เมื่อยิ่งคิดทบทวนเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เฮ่อหลันเยว่พูดก็มีเหตุผล ในใจของเขาเกิดความรู้สึกหวานซึ้งขึ้นทันที
“คาดไม่ถึงว่าสาวน้อยคนนี้จะมี EQ สูง แต่เธอก็ออกจะแสบไปหน่อย”
หลินเยว่ได้แต่รำพึงเบาๆ คนเดียว
ตอน่เวลาค่ำ ฉินเหยาเหยากลับมาถึงบ้านด้วยท่าทางระแวดระวัง ราวกับว่าเธอเป็กระต่ายน้อยที่กลัวว่าจะต้องเจอกับสุนัขจิ้งจอกตัวร้าย ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน เธอยังแอบชะโงกหน้าเข้ามาสังเกตการณ์ก่อนว่ามีศัตรูอยู่ในบ้านหรือไม่ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครแล้ว เธอจึงค่อยๆ เดินย่องเข้ามาในบ้านและคิดจะพุ่งตัวตรงเข้าไปในห้องส่วนตัวของเธอทันที
“เธอไม่กินข้าวก่อนหรอ?” หลินเยว่ยกจานกับข้าวออกมาจากทางห้องครัวพอดี เมื่อเห็นเื้ัของฉินเหยาเหยา เขาจึงถามขึ้น
ฉินเหยาเหยารู้สึกใกับเสียงของหลินเยว่เป็อย่างยิ่ง เธออุทานออกมาหนึ่งคำ และในชั่วพริบตาเธอก็พุ่งตัวตรงเข้าไปในห้องของตัวเองทันที ภายในห้องรับแขกเหลือแต่เพียงเสียงของเธอที่ลอยออกมา “ฉันกินข้าวมาจากข้างนอกแล้ว!”
หลินเยว่เหลือบกลับไปมองกับข้าวที่เขาทำเองกับมืออยู่ชั่วขณะ แล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เฮ่อ น่าเสียดายจัง!