หลิวซานกุ้ยสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินที่สวยงาม ด้านนอกสวมชุดคลุมสีน้ำตาลเข้มประดับขน กำลังบังคับเกวียนลาไปยังบ้านเกาจิ่ว
เดิมทีเขาได้นัดหมายไว้เรียบร้อย เมื่อทั้งครอบครัวไปถึงหน้าประตูบ้านของเกาจิ่วจึงเห็นว่ามีบ่าวรับใช้ยืนรออยู่ด้านนอก
พวกเขารีบขึ้นมาต้อนรับทันทีที่เกวียนของครอบครัวหลิวซานกุ้ยมาถึง
“นายท่านสาม ในที่สุดท่านก็มาเสียที นายท่านจิ่วรอคอยท่านแต่เช้าตรู่แล้ว เดินวนไปมาจนเกือบทำให้หินในลานบ้านเปราะไปหมด”
บ่าวรับใช้คนนี้เป็คนช่างพูด เดาว่าคงทำงานต้อนรับและส่งแขกเป็ประจำ
หลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นว่า แม้ว่าบ่าวรับใช้จะสวมใส่ชุดเหมียนอ๋าว แต่ดูออกว่าเป็ชุดใหม่ ดูมีพลังชีวิตไม่เลว เดาว่าเกาจิ่วคงปฏิบัติต่อคนเบื้องล่างเป็อย่างดีทีเดียว
หลิวซานกุ้ยกล่าวทักทายและหัวเราะ ก่อนที่คนผู้นั้นจะให้บ่าวคนอื่นปลดที่กั้นประตูและให้คนนำเกวียนลาเข้าไป แล้วเอ่ยเชิญหลิวซานกุ้ยและครอบครัว
เมื่อเข้าไป หลิวซานกุ้ยก็เรียกให้คนนำของลงมาจากเกวียนลา เกาจิ่วได้ยินเสียงก็รีบวิ่งมา
“ฮ่าๆ ข้าดูเวลาและคิดว่าพวกเ้าน่าจะมากันแล้ว”
หลิวซานกุ้ยยิ้ม “อากาศเย็นเกินไป หากออกมาแต่เช้าตรู่ ข้ากลัวว่าลูกๆ จะหนาวกัน ดังนั้นจึงออกจากบ้านช้าหน่อย”
“เป็เื่สมควร สมควรแล้ว”
ภรรยาของเกาจิ่วไม่ได้อยู่บ้าน ได้ยินว่าในตำบลมีคุณหนูบ้านคนรวยออกเรือน นางจึงไปร่วมงานมงคล
เขาจึงเชิญแม่เฒ่าจางที่มีความคุ้นเคยกับคนในครอบครัวตระกูลหลิวมานั่งเป็เพื่อน
หลิวเต้าเซียงและคนอื่นๆ พากันทานของว่างและจิบน้ำชาไปด้วย ส่วนหลิวซานกุ้ยที่มาในวันนี้ นอกจากจะมาสวัสดีปีใหม่แล้วก็ยังอยากรบกวนเกาจิ่วหนึ่งเื่
“เ้าว่าอะไรนะ?” เกาจิ่วตกตะลึงมากที่ได้ยินคำพูดของเขา
สงสัยว่าตนเองไม่ใช่ลูกในไส้?
หลิวซานกุ้ยมีสีหน้าย่ำแย่ เื่นี้เดิมทีก็เอ่ยปากอย่างยากเย็น หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเขากับเกาจิ่วในสองปีมานี้ และรู้สึกว่าเกาจิ่วคือคนที่เชื่อถือได้ เขาคงไม่มีทางบอกกล่าวให้ได้ยิน
“ใช่ เื่นี้ข้าได้พินิจอย่างถี่ถ้วนลึกซึ้ง ว่ากันว่าหลานชายคนโตกับลูกคนโตมักจะเป็หัวแก้วหัวแหวนของผู้ใหญ่ แต่ท่านแม่ข้าให้กำเนิดพวกเราห้าพี่น้อง แต่ไม่ชอบข้าอยู่คนเดียว”
สีหน้าของเกาจิ่วนั้นเคร่งขรึม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ย “หากว่าเหล่าฮูหยินในบ้านเ้าลำเอียง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะลำเอียงให้คนทั้งสี่ แต่กลับ...”
หลิวซานกุ้ยกล่าวเสริมว่า “เดิมทีนี่เป็เื่ในครอบครัวข้าจึงไม่ได้เฉลียวใจแต่อย่างใด แต่ลูกสาวรองเตือนข้าเอง อีกอย่างข้ากับท่านแม่ไม่ได้คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ยังพอมีความคล้ายกับท่านพ่อข้าอยู่บ้างเล็กน้อย และเหมือนกับท่านย่าที่จากไปด้วย”
เกาจิ่วครวญครางเล็กน้อย เขาเป็คนของซูจื่อเยี่ย ย่อมรู้ว่าชีวิตก่อนที่หลิวซานกุ้ยจะแยกครอบครัวนั้นเป็อย่างไร เดิมทีเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าบ้านไหนก็มักจะมีลูกที่ไม่ได้รับความเอ็นดูจากบิดามารดาเป็ธรรมดา
“เ้าแน่ใจหรือว่าเป็ความจริง?”
“แน่นอน ไม่เพียงแต่ตัวข้าเองที่รู้สึกผิดปกติ กระทั่งภรรยากับลูกสาวเองก็รู้สึกว่ามันซับซ้อนซ่อนเงื่อน แม่ยายข้าบอกว่า หน้าตาข้าไม่เหมือนกับคนบ้านเดิมแม้แต่น้อย แล้วยังบอกอีกว่าพ่อแม่ข้าไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับข้า มีพ่อแม่ที่ไหนที่ทำกับลูกเช่นนี้ ท่านแม่ข้ายิ่งแล้วใหญ่ เหมือนเห็นข้าเป็ศัตรูอย่างไรอย่างนั้น”
ขณะที่หลิวซานกุ้ยเอ่ยออกมา ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่าเื่นี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน
“เ้าบอกว่าเ้าเกิดในตัวจังหวัดหรือ?” เกาจิ่วรู้สึกว่าเื่นี้จำต้องรายงานกับนายน้อยของเขาให้ทราบ
หลิวซานกุ้ยพยักหน้าและตอบว่า “ใช่ ตอนนั้นท่านแม่ตั้งครรภ์ข้า แล้วจึงไปทำงานที่จังหวัดกับท่านพ่อ หากจะพูดว่าข้าเป็ลูกที่ท่านแม่คลอดมาจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่นางไม่รักข้า อีกอย่างปีที่แล้ว เพียงเพื่อสินเ้าสาวเล็กน้อยของภรรยาข้า นางถึงกับทำร้ายพวกข้าสามีภรรยาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
เื่นี้เกาจิ่วเองก็รับรู้ ตอนนั้นเขาไม่กระจ่างว่า ใต้หล้านี้เหตุใดจึงมีมารดาที่จิตใจโเี้อำมหิตได้ถึงเพียงนี้ ว่ากันว่าลูกคือเืเนื้อของแม่ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รักใคร่เอ็นดู
“ข้ายังจำเื่นั้นได้ ตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าผิดปกติ เพียงแต่เห็นว่าพวกเ้าไม่เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน”
หลิวซานกุ้ยยิ้มอย่างขมขื่น “ก่อนที่ปู่ของข้าจะเสียชีวิตก็เอาแต่กำชับข้าว่าต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ห้ามดื้อกับพวกท่าน ต้องเป็ลูกชายที่กตัญญู”
เพียงเพราะเขากตัญญูเกินไป ดังนั้นเขาจึงกลายเป็คนที่ลำบากตรากตรำมากที่สุดในครอบครัว
“เ้า...” เกาจิ่วเห็นใจเขา
หลิวซานกุ้ยกล่าวต่อว่า “ในบรรดาคนที่ข้ารู้จัก ไม่เพียงแต่เ้าเท่านั้นที่มีความสามารถ ข้าเองก็รู้สึกว่าข้าเชื่อในตัวเ้าได้คนเดียว ก่อนที่ข้าจะมา เคยแอบสืบถามคนในหมู่บ้านมาก่อน เพียงแต่พวกเขาต่างก็บอกว่า ตอนที่ข้ากลับมาก็อายุสี่ถึงห้าเดือนแล้ว ทว่ากลับมาเพียงไม่กี่วัน ข้าก็ถูกท่านปู่กับท่านย่าอุ้มไปแล้ว”
สำหรับเพื่อนร่วมรุ่นเ่าั้ของเขา เพียงแค่เริ่มรู้จัก ยังไม่มีสัมพันธ์อะไรต่อกัน
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้อีกครั้ง “ทุกปีที่ครอบครัวข้าไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลเชงเม้งกับวันส่งท้ายปีเก่า ข้าก็ไม่มีส่วน แต่ก่อนข้าคิดเพียงว่าท่านแม่เกลียดชังปู่กับย่าที่อุ้มข้าไปจากนางั้แ่ยังเล็ก จึงพาลให้นางเกลียดชังข้าไปด้วย เพียงแต่ตอนนี้เพิ่งคิดได้ จึงยิ่งรู้สึกว่าเื่นี้ต่างออกไป มีความเป็ไปได้อย่างมากที่ข้าไม่ใช่ลูกที่นางคลอด”
เกาจิ่วได้ยินก็ยิ่งรู้สึกว่าหลิวซานกุ้ยไม่ใช่ลูกในไส้ของหลิวฉีซื่อจริงๆ
เมื่อเห็นว่าเกาจิ่วไม่พูดไม่จา หลิวซานกุ้ยจึงคิดว่าเขาคงลำบากใจแล้วเอ่ยว่า “หากเ้าคิดว่าเื่นี้สืบยาก ก็คิดเพียงว่าข้ามาระบายความอัดอั้น อย่าเก็บไปคิดเลย”
เกาจิ่วรีบส่ายหน้า ล้อกันเล่นน่า ท่านพ่อของคนที่นายน้อยให้ความสำคัญ เขาจะกล้าไม่รับปากได้หรือ?
หากนายน้อยรู้เข้า คงได้ไล่ตะเพิดเขาแน่
“แค่การสืบเื่ในอดีตเท่านั้น เพียงแต่เวลาผ่านไปช้านาน การจะตรวจสอบคงมีความยาก ข้าว่า เ้าอย่าได้เก็บไปคิดมากนัก ถึงอย่างไรเ้าก็แยกครอบครัวออกมาอยู่แล้ว หากถูกนางก่อกวนไม่เลิกจริง ก็พาภรรยาและลูกๆ ของเ้าไปเล่าเรียนที่อำเภอเถิด แม้ว่ากัวซิวฝานจะสอบผ่านจวี่เหริน แต่อาจารย์ที่เก่งกว่าเขาในอำเภอก็มี ข้าเองก็พอรู้จักหลายท่าน ้าให้ข้าแนะนำคนที่ดีที่สุดให้หรือไม่?”
หลิวซานกุ้ยส่ายหน้าและกล่าวว่า “น้ำใจของเ้าข้ารับไว้แล้ว เดิมทีอาจารย์ของข้าคือกัวซิวฝาน ข้ากับเขาปรึกษากันแล้ว ปีนี้คงต้องออกไปทัศนาจรพร้อมกับเขาสักรอบ”
อ่านตำราหมื่นเล่ม มิสู้การออกผจญหมื่นลี้
เกาจิ่วยิ้มออกมา ตอนนี้เป็โอกาสเหมาะของหลิวซานกุ้ยที่จะออกไปทัศนาจรอย่างมาก ด้านหนึ่งก็เพื่อสร้างสัมพันธ์กับบัณฑิตทั่วสารทิศ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อเข้าใจวัตนธรรมประเพณีของแต่ละที่
“ได้บอกหรือไม่ว่าจะไปเมื่อใด?”
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “หลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบใม้ร่วง ใน่ที่ข้ายังอยู่จะรีบสร้างบ้านใหม่ให้เสร็จเรียบร้อย ถึงตอนนั้นคงต้องจ้างแรงงานสักหน่อย เพราะ้าให้รีบเก็บงานให้เสร็จโดยเร็ว”
ดวงตาของเกาจิ่วสว่างขึ้นและยิ้ม “โอ้ ในที่สุดเ้าก็ยอมสร้างบ้านใหม่แล้วหรือ?” นี่เป็เื่ดียิ่งนัก
หลิวซานกุ้ยหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างเก้อเขิน “ปีที่แล้วยังไม่สร้าง เพราะรู้สึกว่าจะเป็ที่สะดุดตาเกินไป ตอนนี้ผ่านมาแล้วสองปี คิดว่าปีนี้การสร้างบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนขนาดไม่ใหญ่ คงไม่ถูกจับตามองมากนัก”
เกาจิ่วมองเขาอย่างลึกซึ้ง ชายที่ดูซื่อตรงและโง่เขลาคนเดิม หลังจากได้เล่าเรียนมาแล้วความคิดอ่านก็ทะลุปรุโปร่งกว่าเดิมนัก
“เ้าวางใจได้ หากเ้าไปทัศนาจรจริง ข้าจะช่วยดูแลครอบครัวเ้าให้มาก”
เขาพูดคุยเื่การก่อสร้างบ้านใหม่กับหลิวซานกุ้ยต่ออีกเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “เื่อิฐสีน้ำเงินละก็ ข้ามีสหายที่คุ้นเคยอยู่คนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเตาเผาอิฐของเขาไม่ได้อยู่ในอำเภอถู่หนิว แต่อยู่ที่อำเภอใกล้เคียง เขามีที่ดินตรงนั้นซึ่งเหมาะสมกับการเผาอิฐสีน้ำเงิน ฝีมือการเผาอิฐของลูกน้องเขา ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวหรอกนะ ไม่เพียงแต่ทำให้อิฐสีน้ำเงินเรียงกันเป็ระเบียบ ทั้งยังไม่ผุพังง่าย หากแช่น้ำนานแรมปีก็ทนทานกว่าของบ้านอื่น ไม่ร่วนง่าย หากเ้าคิดว่าเหมาะสม ข้าจะช่วยเ้าเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้ ให้เขาคิดราคาพิเศษที่สุดให้เ้า”
หลิวซานกุ้ยได้สืบไว้ก่อนแล้ว ปริมาณการผลิตของอิฐสีน้ำเงินนั้นนับว่าน้อยมาก ครอบครัวที่พอมีเงินจะก่ออิฐสีน้ำเงินด้วยความสูงสองถึงสามเมตร ส่วน้าจะใช้แผงไม้โปร่งล้วน เพียงแต่เขานึกถึงคำพูดของบุตรสาวที่บอกว่า จำต้องสร้างบ้านที่ก่อด้วยอิฐสีน้ำเงินทั้งหลัง
เขาจึงกัดฟันและแข็งใจตอบตกลงไป
“ข้าไม่รู้ว่าอิฐสีน้ำเงินนั้นมีมูลค่าอย่างไรบ้าง?”
เกาจิ่วมองเขาอย่างไม่กระจ่าง
หลิวซานกุ้ยถูฝ่ามือ แล้วเอ่ยอย่างเกรงใจ “ไม่รู้ว่าลูกรองข้าไปได้ยินใครบอกว่า บ้านที่ก่อด้วยอิฐสีน้ำเงินจะอุ่นในฤดูหนาวและเย็นในฤดูร้อน ดังนั้น...”
เขาลำบากใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเงินในบ้านจะพอให้นางได้ใช้เท่าไร อ้อ ใช่สิ ครอบครัวเขายังต้องซื้อบ่าวรับใช้ นี่คงต้องสิ้นเปลืองเงินอีกก้อนใหญ่
เกาจิ่วยิ้มและตอบว่า “ข้าออกหน้าให้ ย่อมต้องคิดราคาที่ถูกที่สุดให้เ้า หากขายผู้อื่นคงก้อนละสองอีแปะ ขายให้เ้าคงใช้เพียงก้อนละหนึ่งอีแปะ”
หลิวซานกุ้ยคิดตาม อิฐสีน้ำเงินก้อนละหนึ่งอีแปะนั้นเขาไม่รู้ว่าแพงหรือถูก จึงเอ่ยถาม “บ้านเอ้อร์จิ้นย่วนและเรือนรับรองซ้ายขวา ต้องใช้ราวกี่ก้อน?”
เกาจิ่วถอนหายใจเล็กน้อยและพูดว่า “เรือนหลักหนึ่งหลังต้องมีห้องปีกตะวันออกและตะวันตก ห้องเอ่อร์ฝางสองฝั่ง ราวหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน บ้านเ้ามีเด็กเยอะ เดาว่าคงอยากให้ลูกมีห้องของตัวเอง ลูกสาวสามคนลูกชายสองคน ลูกชายยังต้องมีห้องตำรา ลูกสาวก็ต้องมีห้องหลักกับห้องเก็บของ รวมกับห้องเอ่อร์ฝางของสาวรับใช้ทั้งแก่และเด็ก รวมกันแล้ว ยังมีห้องรับรองแขก เรือนเก็บของ แล้วก็เรือนบริวารทั้งทิศเหนือและใต้ อย่างน้อยก็คงหลักหนึ่งล้านก้อน”
เกาจิ่วไม่ใช่คนงานก่อสร้าง เขาจึงคำนวณออกมาคร่าวๆ ซึ่งแท้จริงจำนวนอาจมีขาดเกินไปบ้าง
อิฐสีน้ำเงินหนึ่งล้านก้อน เท่ากับเงินเกือบหนึ่งพันตำลึง แล้วยังต้องมีกระเบื้องเคลือบและอื่นๆ อีก
ทันใดนั้นหลิวซานกุ้ยก็รู้สึกว่าครอบครัวของเขาคงต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างลำบากตรากตรำอีกแล้ว
บ้านเขามีทรัพย์สินประมาณไหน เกาจิ่วพอมีตัวเลขในใจอยู่คร่าวๆ
“หากเ้า้าสร้างบ้านด้วยอิฐสีน้ำเงินทั้งหลัง ก็ยังไม่ต้องรีบร้อนสร้างให้เสร็จในคราวเดียว ขอเพียงเหลือพื้นที่ไว้เป็พอ จากที่ข้าดู ลูกชายสองคนของเ้ายังเล็ก ตอนนี้ทำห้องของลูกสาวคนโตสองคนก่อน เมื่อเรือนแต่ละหลังสร้างเสร็จ ก็ตามด้วยเรือนบริวารให้บ่าวรับใช้ที่เหลือพัก ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็ค่อยๆ สร้าง”
เกาจิ่วรู้สึกว่าหลิวซานกุ้ยคงไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้นานนัก ทว่าที่แห่งนี้ยังคงเป็รากเหง้าของเขาในอนาคต แม้จะเดินทางจากไปไกลเพียงใด แต่บ้านเกิดก็ควรสร้างบ้านทิ้งไว้ แม้ว่าจะไม่มีคนอยู่ แต่ในใจก็รู้สึกมั่นคงกว่า
หลิวซานกุ้ยกำลังคำนวณในใจว่าเงินอาจไม่พอ เมื่อได้ยินคำแนะนำจากเกาจิ่วแล้วจึงเห็นด้วย
“ที่เ้าพูดมาถูกต้อง ข้ายังคิดจะซื้อบ่าวรับใช้อีกไม่กี่คน ลูกสาวต่างก็เติบใหญ่กันแล้ว ในบ้านก็มีเด็กเยอะ ลำพังท่านแม่ยายคงดูแลไม่ไหว”
หลิวซานกุ้ยยังมีความคิดอีกหนึ่งเื่ก็คือ หวงเสียวหู่มีบ้านอยู่ในจังหวัด ได้ยินว่าบ้านที่เขาอาศัยอยู่ก็เป็บ้านเอ้อร์จิ้นย่วน และมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติ
เขาไม่้าให้บุตรสาวคนโตแต่งงานไปแล้วถูกดูแคลน ดังนั้นเื่การซื้อบ่าวรับใช้ให้บุตรสาวจึงเป็เื่อันดับต้นๆ
สำหรับเื่ที่หลิวซานกุ้ยจะซื้อทาสนั้น เกาจิ่วแค่เสนอแนะเล็กน้อยเพื่อให้เขาพอมีหลักในการเลือกบ้าง แต่ไม่ได้บอกว่าจะช่วยทั้งหมด
ท้ายที่สุดเื่การซื้อทาส ต่อไปจะกลายเป็สมบัติของครอบครัวหลิวซานกุ้ยอยู่ดี หากเกาจิ่วยุ่งมากเกินไป อาจทำให้คนเกิดความระแวดระวัง
-----