บทที่ 2 เผชิญหน้าพยัคฆ์อุดร
ความเงียบในป่าลึกนั้นแตกต่างจากความเงียบในเมืองอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เปี่ยมไปด้วยเสียงกระซิบของชีวิต... เสียงใบไม้เสียดสี เสียงแมลงกรีดปีก และเสียงหัวใจของมู่หลันที่เต้นรัวราวกับกลองศึกในอก
เบื้องหน้าเธอคือภาพความจริงที่บิดเบี้ยวที่สุด ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะหนังตอกหมุดเหล็ก แบกดาบและคันธนู กำลังเคลื่อนพลผ่านไปอย่างเป็ระเบียบ ทุกย่างก้าวของอาชาศึกสูงใหญ่ส่งผลให้พื้นดินที่ชื้นแฉะสั่นะเืเล็กน้อย พวกเขาไม่ใช่แค่นักแสดงในโรงถ่าย... นี่คือของจริง กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันและวินัยเหล็กกล้าที่แผ่ออกมาจากตัวพวกเขานั้น เย็นเยียบและจับต้องได้จนมู่หลันแทบหยุดหายใจ
‘ใจเย็นไว้มู่หลัน ใจเย็นไว้’ เธอบอกตัวเองในใจพลางกำกระจกหยกในมือแน่นจนเย็นเฉียบ ‘ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์ โวยวายไปก็มีแต่จะตายเร็วขึ้น สถานการณ์เช่นนี้... สู้ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือข้อมูลและการเอาตัวรอด’
ความคิดของเธอเฉียบคมและเป็ระบบอย่างน่าประหลาด อาจเป็เพราะสัญชาตญาณดิบที่ถูกปลุกขึ้น หรืออาจเป็เพราะวิกฤตการณ์ล้มละลายของครอบครัวได้หล่อหลอมให้เธอแข็งแกร่งเกินกว่าหญิงสาวทั่วไป
ขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวเพื่อหลบให้ลึกเข้าไปในพุ่มไม้...
“หยุด!”
เสียงห้าวะโก้อง ทำลายความเงียบของพงไพร มู่หลันแข็งทื่อราวกับถูกสาปเป็หิน หัวใจของเธอร่วงหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม
นายทหารร่างกำยำผู้หนึ่งชี้ดาบยาวมาทางพุ่มไม้ที่เธอซ่อนตัวอยู่ ดวงตาของเขาคมกริบราวกับเหยี่ยว “ในพุ่มไม้นั่นมีคน! ออกมา!”
‘ให้ตายเถอะ! นี่มันกลางป่าชายแดน ใครจะมาซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ได้? หรือจะเป็พวกสายลับจากเผ่าอนารยชนทางเหนือ? แต่กลิ่นอายไม่เหมือน ข้าััไม่ได้ถึงจิตสังหารเลยแม้แต่น้อย’ เหล่าอู่ ทหารผู้ติดตามเพ่งคิดอย่างสงสัย
มู่หลันรู้ว่าไม่มีทางหนีอีกต่อไป เธอสูดหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจากที่ซ่อน
วินาทีที่ร่างของเธอปรากฏแก่สายตาทหารทั้งกอง ความเงียบอันน่าอึดอัดก็เข้าปกคลุมโดยฉับพลัน
เหล่าทหารหาญที่ผ่านสมรภูมิมานับครั้งไม่ถ้วนถึงกับอ้าปากค้าง พวกเขาเคยเห็นสตรีงดงามมามากมาย ทั้งคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวง หรือสาวงามต่างเผ่า แต่สตรีตรงหน้าพวกเขากลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
นางสวมอาภรณ์ประหลาดพิสดาร กางเกงสีน้ำเงินเข้มรัดรูปที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เสื้อตัวบนก็บางเบาแปลกตา ผมยาวสลวยถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างง่ายๆ เผยให้เห็นลำคอระหงและใบหน้าที่ แม้จะซีดเซียวและเปรอะเปื้อนดินโคลน แต่ก็ไม่อาจปิดบังความงามอันโดดเด่นและดวงตาที่ทอประกายกล้าแกร่งคู่นั้นได้
‘นางเป็ใครกัน? ภูตผีปีศาจหรือ?’
‘เสื้อผ้าพิกลนัก ไม่ใช่ชาวฮั่นแน่ๆ’
‘ดูนางสิ แม้จะตกอยู่ในวงล้อม แต่แววตากลับไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความระแวดระวัง น่าทึ่งนัก’ เหล่าทหารทั้งหลายต่างครุ่นคิด
ท่ามกลางความตื่นตะลึงนั้นเอง กองทหารได้แหวกออกเป็ทาง ปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนหลังม้าสีนิลทมิฬที่สูงใหญ่กว่าม้าตัวใดในกอง
เพียงแรกเห็น มู่หลันก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
เขาไม่ได้สวมเกราะเต็มยศเหมือนทหารคนอื่น แต่เป็เพียงชุดเกราะหนังสีดำสนิทที่เข้ารูปอวดให้เห็นสัดส่วนร่างกายที่สมบูรณ์แบบ แผ่นหลังตั้งตรงดุจหอกทวน ใบหน้าคมคายราวกับสลักจากหยกชั้นดี คิ้วกระบี่พาดเฉียงขึ้นสู่ขมับ ดวงตาเรียวคมดุจพญาอินทรี... เ็า ลึกล้ำ และอ่านไม่ออก ราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปถึงจิติญญาของคนได้
นี่คือผู้นำของคนเหล่านี้ คือพยัคฆ์ในฝูงหมาป่า
“เ้าเป็ใคร มาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของเขาเรียบสนิท แต่กลับแฝงไว้ด้วยอำนาจที่ทำให้คนฟังต้องหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง
มู่หลันกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคอ เธอรู้ว่าคำตอบของเธอในตอนนี้ จะเป็ตัวตัดสินความเป็ความตายของตัวเอง เธอจึงเลือกที่จะตอบคำถามด้วยคำถาม เพื่อซื้อเวลาและประเมินสถานการณ์
“พวกท่านเป็ใคร แล้วที่นี่คือที่ไหน” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้มั่นคงที่สุด แม้ว่าภายในจะสั่นสะท้านไปหมดแล้วก็ตาม
เหล่าอู่ตะคอกกลับมาทันที “บังอาจ! ท่านแม่ทัพถาม เ้ามีหน้าที่ตอบ! อย่ามาเล่นลิ้น!”
แม่ทัพ? คำนี้ทำให้มู่หลันใจหายวาบ เธอเจอเข้ากับตัวละครระดับบิ๊กเข้าให้แล้ว
บุรุษบนหลังม้าเพียงยกมือขึ้นเล็กน้อย เหล่าอู่ก็สงบปากลงทันที สายตาคมกริบคู่นั้นยังคงจับจ้องมาที่มู่หลันไม่วางตา “ข้าคือเว่ยหลง แม่ทัพพิทักษ์อุดรแห่งต้าถัง ที่นี่คือป่าเฮยหลง ชายแดนทางเหนือ”
ต้าถัง... ราชวงศ์ถัง!
ข้อมูลที่ได้รับทำให้สมองของมู่หลันขาวโพลนไปชั่วขณะ นี่เธอทะลุมิติย้อนกลับมาไกลนับพันปี! แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เธอก็ดึงสติกลับมาได้ทันควัน เวลานี้ไม่ใช่เวลามาใกับประวัติศาสตร์
“ข้า... ข้าเป็เพียงหญิงชาวบ้านที่พลัดหลงกับขบวนเดินทาง” เธอสร้างเื่ขึ้นสดๆ “เกิดเหตุโจรป่าปล้นชิง ข้าหนีตายเข้ามาในป่านี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว”
แม่ทัพเว่ยหลงหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาฉายประกายแห่งความไม่เชื่อถือ “หญิงชาวบ้าน? แต่เสื้อผ้าของเ้า ข้าไม่เคยเห็นผ้าเนื้อแบบนี้มาก่อน อีกทั้งสำเนียงการพูดของเ้าก็แปลกประหลาดยิ่งนัก”
‘นางโกหก แววตาของนางตอนพูดถึงโจรป่าไม่ได้ฉายแววหวาดกลัว แต่กลับนิ่งสงบเกินไป การยืนของนาง แม้จะดูอ่อนแอ แต่กลับมั่นคงไม่โคลงเคลง สตรีที่หนีตายจากโจรป่ามาหลายวันไม่มีทางเป็เช่นนี้ได้ นางเป็ใครกันแน่? สายลับที่ถูกส่งมาในรูปแบบใหม่หรือ?’ เว่ยหลงพยายามคิดหาเหตุผลประกอบ
มู่หลันใจเต้นแรง... เขาจับพิรุธได้!
“เสื้อผ้าของข้า เป็ของที่ตกทอดมาจากบ้านเกิดอันห่างไกล ส่วนสำเนียง อาจเป็เพราะข้าเดินทางรอนแรมมานาน” เธอยังคงยืนกรานข้างๆ คูๆ
“บ้านเกิดอันห่างไกล? ไกลแค่ไหนกันเชียว ถึงขนาดทำให้คนของข้าซึ่งเดินทางไปทั่วหล้าไม่เคยพบเคยเห็น” เว่ยหลงกล่าวเย้ยหยันเล็กน้อย ก่อนจะตวัดสายตาไปเห็นกระจกในมือของเธอ “แล้วนั่น คืออะไร”
ฉิบหายแล้ว! มู่หลันรีบซ่อนกระจกไว้ด้านหลัง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“ขอดู” เว่ยหลงออกคำสั่งสั้นๆ แต่หนักแน่นราวกับภูผา
มู่หลันลังเลใจ กระจกบานนี้คือสิ่งเดียวที่อาจจะพาเธอกลับบ้านได้ เธอจะให้ใครไปไม่ได้เด็ดขาด
“ข้า ให้ไม่ได้เ้าคะ” เธอตอบปฏิเสธอย่างสุภาพแต่เด็ดเดี่ยว
บรรยากาศรอบข้างพลันเย็นเยียบลงถนัดตา เหล่าทหารต่างจับจ้องมาที่เธอเป็ตาเดียว ราวกับเธอกำลังลบหลู่เทพเ้า เหล่าอู่ถึงกับชักดาบออกมาครึ่งหนึ่งด้วยความโกรธา
‘์! นางเป็ใครกัน กล้าปฏิเสธท่านแม่ทัพพยัคฆ์อุดร! นางไม่รู้หรือว่าเพียงคำพูดคำเดียวของเขา ก็สามารถสั่งปะาคนได้ทั้งหมู่บ้าน!’ ชาวบ้านที่แอบดูอยู่ไกลๆ คิดว่าเธอไม่รอดแน่
เว่ยหลงไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยว แต่รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวเขากลับน่ากลัวยิ่งกว่า เขาลงจากหลังม้าอย่างช้าๆ ท่วงท่างดงามสง่าราวกับพยัคฆ์ที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ แล้วเดินตรงมาหามู่หลัน
ทุกย่างก้าวของเขา... ราวกับเหยียบลงบนหัวใจของเธอ
เขาสูงกว่าเธอมากนัก เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้า เงาของเขาก็ทาบทับร่างของเธอจนมิด มู่หลันต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับเขา
ในระยะใกล้เช่นนี้ เธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด
มันไม่ใช่แค่แรงกดดัน แต่เป็พลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็น มันทำให้หัวของเธอปวดหนึบขึ้นมาทันที ภาพรอบตัวซ้อนทับกันเล็กน้อย และเธอก็เห็น ไม่สิ เธอรู้สึกถึงกระแสความคิดและเจตนาของเขาได้ลางๆ
สงสัย... ้าคำตอบ... ไม่ได้คิดจะฆ่า... แต่ถ้าจำเป็ก็ไม่ลังเล...
นี่มันอะไรกัน? หรือว่านี่คือ พลังวิเศษที่ติดตัวเธอมา?
“ข้าขอดู” เว่ยหลงย้ำคำเดิมอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเบาลง แต่กลับกดดันยิ่งกว่าเดิม
มู่หลันกัดริมฝีปากล่าง สมองของเธอประมวลผลด้วยความเร็วสูงสุด ถ้าเธอยืนกรานปฏิเสธ มีหวังได้ตายอยู่ตรงนี้แน่ แต่ถ้าให้ไป ก็เท่ากับทิ้งความหวังที่จะได้กลับบ้าน
‘ทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้คือการประนีประนอม... และแสดงให้เขาเห็นว่าฉันไม่ได้มีพิษมีภัย’
“ท่านแม่ทัพ” เธอเปลี่ยนสรรพนาม เรียกเขาอย่างให้เกียรติ “สิ่งนี้เป็ของดูต่างหน้าชิ้นสุดท้ายของมารดาข้า มีความสำคัญต่อจิตใจของข้ายิ่งนัก หากท่านเพียงอยากจะดู ข้ายินดีให้ท่านดู แต่ได้โปรดอย่าได้ยึดมันไปจากข้าเลย ถือว่าสงสารหญิงผู้ไร้ที่พึ่งคนนี้เถิด”
น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย แววตาฉายแววอ้อนวอนอย่างจริงใจ นี่คือการแสดงที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตของเธอ ผสมผสานความจริง (ความสำคัญของกระจก) กับคำโกหก (เื่ของดูต่างหน้ามารดา) ได้อย่างแเี
แววตาของเว่ยหลงอ่อนลงเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาพยักหน้าช้าๆ
มู่หลันจึงยื่นกระจกหยกให้เขาอย่างจำใจ นิ้วของทั้งสองัักันเพียงแ่เบาในชั่ววินาทีที่ส่งมอบ กระแสไฟฟ้าสถิตสายหนึ่งพลันแล่นปราดขึ้นมา ทำให้ทั้งคู่ชะงักไปพร้อมกัน
เว่ยหลงรับกระจกไปพิจารณา ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจกับความวิจิตรของมัน แต่เมื่อมองไปยังหน้ากระจกที่ขุ่นมัว เขาก็ขมวดคิ้วแน่น
“มันก็แค่กระจกสำริดเก่าๆ บานหนึ่ง” เขากล่าวพลางส่งคืนให้เธอ
มู่หลันรับกลับมาไว้ในอ้อมอกราวกับเป็สมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก
“สำหรับท่านอาจจะใช่ แต่สำหรับข้า มันคือโลกทั้งใบ” เธอกล่าวเสียงแ่ แต่ทุกคำพูดเต็มไปด้วยความหมาย
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เว่ยหลงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของมู่หลันราวกับจะค้นหาความจริงทั้งหมด เขากำลังตัดสินใจ ตัดสินชะตาของเธอ
“เ้า พูดจาแปลกประหลาด ท่าทางน่าสงสัย” เขากล่าวขึ้นในที่สุด “แต่ดวงตาของเ้าไม่มีแววของฆาตกรหรือคนหลอกลวง ข้าจะยังไม่ปักใจเชื่อเื่ราวของเ้า แต่ก็จะไม่ฆ่าเ้าเช่นกัน”
มู่หลันถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วประโยคต่อมาของเขาก็ทำให้เธอต้องกลับมาใจหายวาบอีกครั้ง
“ทว่า การปล่อยสตรีท่าทางพิรุธไว้ที่ชายแดนตามลำพัง ถือเป็ความประมาทต่อความมั่นคงของต้าถัง”
เขาหันไปสั่งการทหารด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“คุมตัวนางไว้! เดินทางไปพร้อมกับกองทัพ จนกว่าข้าจะสืบจนรู้ว่า แท้จริงแล้วเ้าเป็ใครกันแน่!”
สิ้นคำสั่ง ทหารสองนายก็เข้ามาประกบซ้ายขวาของเธอทันที มู่หลันไม่ได้ขัดขืน เธอรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์
นี่ไม่ใช่การช่วยเหลือ แต่มันคือการจับกุมในรูปแบบหนึ่ง
เธอถูกนำตัวไปนั่งบนรถม้าที่ว่างเปล่าท้ายขบวน กลายเป็นักโทษในสายตาของทุกคน ดวงตาหลายสิบคู่จับจ้องมาที่เธอด้วยความสงสัยและไม่เป็มิตร
มู่หลันมองลอดช่องหน้าต่างออกไป เห็นแผ่นหลังอันองอาจและโดดเดี่ยวของแม่ทัพเว่ยหลงที่ควบม้ากลับไปนำหน้าขบวนเช่นเดิม เขาดูห่างไกลและเข้าไม่ถึงราวกับอยู่คนละโลก
เธอถอนหายใจยาว ก้มลงมองกระจกหยกในมือที่บัดนี้กลับมานิ่งสนิทอีกครั้ง
‘เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย’ เธอนึกปลอบใจตัวเอง ‘การเป็นักโทษของแม่ทัพใหญ่ อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยกว่าการเร่ร่อนในป่าคนเดียวล่ะนะ’
มุมปากของเธอยกขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆ ที่แฝงไว้ด้วยความขม