ตระกูลจิ่งนั้นร่ำรวยและโดยเฉพาะกับบรรดาเสาหลักในอนาคตของตระกูลเหล่านี้ด้วยแล้วยิ่งใส่ใจดูแลเป็พิเศษ
อ๋าวหรานมองดูอาหารเลิศรสที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ อดทอดถอนใจไม่ได้ว่าอาหารที่เขาทานตอนอยู่มหาวิทยาลัยนั้นมันเปรียบได้กับอาหารหมาชัดๆ
......
คนกลุ่มหนึ่งนั่งลงหน้าโต๊ะกินข้าวทรงกลม นอกจากพวกอ๋าวหรานทั้งสามคนแล้ว ยังมีจิ่งจื่อกับจิ่งรุ่ย ความสัมพันธ์ของจิ่งเซียงกับจิ่งรุ่ยดูเหมือนจะไม่เลวทีเดียว สาวน้อยสองคนหันศีรษะเข้าหากันพูดคุยกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ยังหัวเราะเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน แต่ที่ทำให้อ๋าวหรานค่อนข้างใก็คือจิ่งจื่อ หนุ่มน้อยดื้อรั้นหัวแข็งผู้นี้ เมื่ออยู่กับจิ่งฝานกลับดูเป็เด็กดีเชื่อฟังขึ้นมา ไม่มีท่าทางยโสโอหังดูถูกคน กลับเป็ท่าทางวอนขอความรู้เหมือนคนคอแห้งกระหายน้ำก็มิปาน
ั้แ่เลิกเรียนจนมาถึงตอนนี้ เขาเอาแต่ถามจิ่งฝานเกี่ยวกับปัญหาในวิชาเรียน ในตอนแรกอ๋าวหรานยังฟังรู้เื่บ้างไม่รู้เื่บ้าง เพราะเริ่มแรกพวกเขาเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับเื่ที่จิ่งฝานพูดไปในวันนี้ แค่จิ่งจื่อถามลงลึกขึ้นอีกสักหน่อย ฟังมาถึงตอนสุดท้ายอ๋าวหรานก็ถึงกับสับสนงุนงงไปเลย เื่ที่ทั้งสองคนพูดขยายออกไปถึงเื่ความรู้ใหม่แล้ว ระดับความยากของเื่พวกนี้มันอยู่ในระดับสูงชัดๆ
อ๋าวหรานอดทอดถอนใจไม่ได้ชื่ออัจฉริยะนี่ไม่ได้ได้มาอย่างง่ายดายเลย หากไม่มีความขยันและความทุ่มเท ต่อให้เป็คนที่ฉลาด เป็อัจฉริยะสักเพียงใดก็คงจะกลายเป็คนธรรมดาที่ไม่ได้รับความสนใจเข้าสักวัน
ทอดถอนใจเสร็จแล้ว อ๋าวหรานกลับเริ่มรู้สึกสงสารตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าฝั่งไหนก็ไม่สามารถพูดแทรกได้เลย เขาจึงเลือกที่จะทานอาหารเลิศรสของตัวเองไปเงียบๆ คงจะดีกว่า
อ๋าวหรานกำลังกินอย่างตั้งใจ กลับได้ยินเสียงจิ่งจื่อถามเขาว่า “คุณชายอ๋าว ต่อไปเ้าก็จะเรียนวิชาแพทย์กับเราหรือ? ไม่รู้ว่าในคาบเรียนวันนี้คุณชายอ๋าวฟังรู้เื่สักกี่มากน้อย?”
หันศีรษะไปมองจึงพบว่าจิ่งฝานกับจิ่งจื่อเหมือนจะคุยกันจบแล้ว ตอนนี้จิ่งจือมือหนึ่งคีบตะเกียบแกว่งไปแกว่งมา อีกมือเท้าค้างเอียงคอมองเขา ยกมุมปากขึ้นยิ้มโผล่ฟันคมสีขาวสว่างออกมาเล็กน้อย ในตาเต็มไปด้วยแววสัพยอกหยอกล้อ ทั้งดูชั่วร้ายและน่ารักอย่างละนิดอย่างละหน่อย
อ๋าวหรานเดาว่าเ้าหนุ่มน้อยนี่ไขข้อสงสัยของตนเองไปจนหมดแล้ว ถูกทะเลแห่งความรู้หล่อเลี้ยงไว้เรียบร้อยแล้วจึงรู้สึกสุขใจ พออกพอใจแล้วจึงหันมาล้อเขาเล่นเสียหน่อย
อ๋าวหรานที่ตระหนักได้เองว่าตัวเองอายุปูนนี้แล้วก็คร้านจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับหนุ่มน้อยมอสองผู้นี้ จึงทำท่าทางตั้งอกตั้งใจ พูดอย่างตัดตะปูตัดเหล็ก [1] ว่า “ฟังเข้าใจทุกคำเลย”
เขาพูดจบจิ่งจื่อก็ตกตะลึงอย่างชัดเจน คนที่เหลืออีกสามคนก็มองอ๋าวหรานด้วยสีหน้าใ โดยเฉพาะจิ่งเซียง นางมีท่าทางตกอกใยิ่ง
กลับเห็นอ๋าวหรานยิ้มน้อยๆ “แต่พอเอาคำพวกนี้มารวมกันก็ฟังไม่เข้าใจแล้ว”
“พรืด~”
“ฮ่าฮ่า~”
อ๋าวหรานพูดจบสาวน้อยทั้งสองก็อดไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา มุมปากของจิ่งจื่อกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ตะเกียบในมือไม่ได้ถือให้มั่นคง ทำให้หล่นลงไปบนพื้น
อ๋าวหรานมองเห็นจิ่งฝานตกตะลึงอยู่ตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะส่งรอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสวไปให้เขา ในใจกำลังขบคิดว่าหรือว่าตัวเอกอัจฉริยะของเราจะฟังมุกตลกแห้งๆ เมื่อกี้ไม่เข้าใจ?
การขบคิดนี้ทำให้เขาพลาดมองเห็นสายตาที่ซับซ้อนอย่างยิ่งของจิ่งฝาน
“เ้ายังมีหน้าพูดออกมาอีก” จิ่งจื่อผู้รู้สึกเหมือนถูกล้อ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือผู้รู้” อ๋าวหรานเองก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยที่จิ่งจื่อยังคงป่วยโรคมอสองต่อไป อีกทั้งยังโยกศีรษะไปมาท่องคำโบราณออกมาด้วย
ตลกจนสาวน้อยทั้งสองหัวเราะอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
จิ่งเซียงหัวเราะพอแล้ว ถามอย่างสงบนิ่งว่า “ถ้าอย่างนั้นเ้ายังจะเรียนอยู่หรือไม่?”
อ๋าวหรานตอบพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอน แต่เกรงว่าต่อไปคงไม่อาจเรียนกับพวกเ้าได้แล้ว ข้าคงต้องไปเรียนกับเด็กน้อยพวกนั้นแล้ว”
จิ่งจื่อพูดแทรกขึ้นมาว่า “กลัวแต่ว่าแม้แต่เด็กน้อยพวกนั้นเ้าก็ยังสู้ไม่ได้”
อ๋าวหรานตอบว่า “ข้าไม่อายที่จะเอ่ยปากถามผู้ที่ด้อยกว่า”
จิ่งจื่อกลอกตามองบน
“ไม่เป็ไร ข้าสอนเ้าเอง ค่อยๆ เรียน” จิ่งฝานที่ไม่พูดมานานจู่ๆ ก็พูดขึ้น
ชั่วขณะนั้นอ๋าวหรานรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง เขาหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังก่อนตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดียิ่ง ลูกศิษย์คารวะท่านอาจารย์ เชิญดื่มชา”
พูดจบ ก็นำถ้วยชาข้างมือส่งไป เดิมทีก็ทำไปอย่างนั้นเอง แต่ไม่คิดว่าจิ่งฝานถึงกับรับถ้วยนั้นไป ดื่มหมดรวดเดียว
อ๋าวหรานตะลึงแล้ว ถ้วยนี้เขาดื่มไปก่อนอึกหนึ่งแล้ว!
“คุณชายอ๋าว! เ้านี่ดวงดีเสียจริงนะ” มีคนเป็สุขมีคนทุกข์ อ๋าวหรานมีความสุขอยู่ตรงนี้ แต่จิ่งจื่อตรงนั้นกลับขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน
แท้จริงแล้วก็พอเข้าใจได้ไม่ยาก เวลาครึ่งวันที่ได้รู้จักกันนี้ อ๋าวหรานค้นพบว่าหนุ่มน้อยผู้เป็โรคเด็กมอสองผู้นี้เลื่อมใสจิ่งฝานเป็อย่างมาก เขามองไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา แต่นอบน้อมต่อจิ่งฝาน ให้ความเคารพต่อว่าที่ผู้นำคนต่อไปคนนี้เป็อย่างมาก ท่าทางเหมือนลูกศิษย์ผู้คลั่งไคล้อาจารย์
อีกทั้งถึงแม้จิ่งจื่อจะดูเป็พวกเอ้อระเหยลอยไปลอยมา แต่แท้จริงแล้ว เขาเป็คนขยัน รักความก้าวหน้า จิ่งจื่อเลื่อมใสจิ่งฝาน แน่นอนเป็เพราะว่าอยากศึกษาความรู้จากเขาให้มากขึ้น แต่จิ่งฝานในฐานะนายน้อยตระกูลจิ่งก็ไม่ได้ว่างมากขนาดนั้น ไม่มีทางมีกำลังกายกำลังใจใดๆ จะไปสอนผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ อีกทั้งจิ่งจื่อเป็คนรักศักดิ์ศรีของตนเองยิ่ง จึงไม่ยินยอมที่จะไปทำเื่สร้างความลำบากให้กับผู้อื่น แค่ได้มีโอกาสบ้างบางเวลาได้คุยกับจิ่งฝานสักเล็กน้อย เขาก็พอใจมากแล้ว
แต่ผลสรุปกลายเป็ว่าถูกอ๋าวหรานเอาเปรียบไปเปล่าๆ โมโหแทบตาย!
เชิงอรรถ
[1] ตัดตะปูตัดเหล็ก(斩钉截铁)หมายถึง การพูดอย่างเด็ดขาด