อุณหภูมิบริเวณก้นเหวต่ำกว่า้ามากนัก
คนสองคนที่นอนอยู่ด้านนอกทั้งคืนตัวแข็งทื่อด้วยความหนาวเย็น กระทั่งฮั่วเยี่ยนไหวพาไป๋เซี่ยเหอเข้าไปในถ้ำแล้วจุดฟืน ร่างกายจึงค่อยมีความอบอุ่น
ฮั่วเยี่ยนไหวพาร่างของไป๋เซี่ยเหอขยับเข้าไปใกล้ฟืนอีกเล็กน้อย
ระหว่างที่กำลังขยับอยู่นั้น
แววตาของฮั่วเยี่ยนไหวก็มืดมนลง เขายื่นมือไปเลิกแขนเสื้อของนางอย่างรวดเร็ว รูม่านตาของเขาหดลงเล็กน้อยทันที
นางาเ็ที่ข้อมือได้อย่างไร?
เมื่อวานยามที่เขาพันแผลที่หลังให้นาง ข้อมือยังไม่มีาแใดๆ เลย
นอกจากนี้คราบเืยังดูสดใหม่!
ฮั่วเยี่ยนไหวคลายผ้าเช็ดหน้าที่พันข้อมือของนางออก าแเรียบร้อยดี ราวกับถูกอาวุธมีคมบาด
ทว่าอาวุธมีคมจากที่ใดกัน?
หลังจากตกลงมาที่ก้นหน้าผา พวกเขาล้วนปลอดภัยดี เหตุใดถึงยังาเ็ได้?
เสียงฝีเท้าที่ฟังดูยุ่งเหยิงและไร้ระเบียบดังขึ้นด้านนอก
ฮั่วเยี่ยนไหวลุกขึ้นยืนด้วยความระแวดระวัง
“ท่านอ๋องอยู่ด้านในหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวมุ่นคิ้วเล็กน้อย เขาบังร่างของไป๋เซี่ยเหอเอาไว้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก่อนจะเดินออกไปนอกถ้ำ
“ข้าอยู่นี่”
นอกจากอิ๋งเฟิง ยังมีอินทรีโลหิตอีกห้าคน และยังมีหมอหลวงฉินอีกคน
“ท่านอ๋อง ท่าน...เป็อะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวมีสีหน้าซับซ้อน เขามองไปข้างหลังเป็ครั้งคราว “อืม”
“แต่ว่า...เมื่อก่อนต้องใช้เวลาถึงสามวัน พอพวกกระหม่อมหาท่านไม่เจอ ก็ร้อนใจแทบตาย กลัวว่า...”
ความเ็ปที่ท่านอ๋องได้รับนั้นเรียกได้ว่าปางตายเชียว!
“ท่านหมอตรวจชีพจรให้ท่านอ๋องเถิด”
หมอหลวงฉินจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง “ทุกอย่างเป็ปกติ เพียงแต่ของสิ่งนั้นไม่ใช่ว่าไม่กำเริบ แต่ถูกยับยั้งอย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ? ท่านหาวิธียับยั้งของสิ่งนั้นได้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เปล่า”
น้ำเสียงของฮั่วเยี่ยนไหวยังคงเฉยเมย แต่คิ้วที่ขมวดมุ่นแฝงไว้ด้วยความสับสน
ไม่มีผู้ใดเข้าใจของสิ่งนั้นที่อยู่บนร่างของเขามากไปกว่าเขาแล้ว
เขาต้องทุกข์ทรมานตลอดหลายปีมานี้
แม้ว่าจะรักษาทุกปี ทว่าเมื่อถึง่ต้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี อาการจะต้องกำเริบหนหนึ่ง
อาการกำเริบกินเวลาสามวัน ทำให้เขาเ็ปเจียนตาย
ในอดีตทุกคราที่อาการกำเริบ เขาล้วนแล้วแต่พึ่งพาเข็มเงินกับการแช่น้ำยา หากฝืนร่างกายจะะเิตาย
ทว่าครั้งนี้...
อาการกลับบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
จนเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
ฮั่วเยี่ยนไหวหยิบผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเืที่ถูกพันไว้ที่ข้อมือของไป๋เซี่ยเหอเมื่อครู่นี้ออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะส่งให้หมอหลวงฉิน
หมอหลวงฉินไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ เขารับมันไปด้วยใบหน้าจริงจัง “นี่มันเืพ่ะย่ะค่ะ”
อิ๋งเฟิงกลอกตาอย่างอดรนทนไม่ไหว “ขอร้องล่ะท่านหมอหลวงฉิน คนตาไม่บอดย่อมรู้ว่านี่คือเื”
หมอหลวงฉินลูบเครา รอยยิ้มกระอักกระอ่วนถูกบดบังอยู่ใต้เครายาวสีขาว
เขานำผ้าเช็ดหน้ามาอังที่จมูก
กลิ่นหอมบนผ้าเช็ดหน้านับว่าเป็ของคู่กับสตรีทุกนาง ทว่า...
“เป็เืจิ้งจอกพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงฉินะโเสียงดังจนทำให้อิ๋งเฟิงตกอกใ “เืจิ้งจอกอะไรขอรับ?”
คงไม่ใช่...จิ้งจอกน้อยตัวนั้นกระมัง?
อิ๋งเฟิงใจนขาอ่อน
แววตาของฮั่วเยี่ยนไหวมืดมนด้วยความใทันที แววตาคมปลาบราวกับน้ำค้างแข็งจับจ้องไปที่ใบหน้าของหมอหลวงฉิน ก่อนจะถามอย่างร้อนรน “ท่านแน่ใจหรือ?”
ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากเขาว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็ของผู้ใด
นอกจากนี้ เขายังถอดมันออกจากข้อมือของไป๋เซี่ยเหอด้วยตนเอง
“เป็เืจิ้งจอกไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงฉินสบกับแววตาเย็นเยียบชวนให้หวาดผวาคู่นั้นโดยไม่ขลาดกลัวแม้แต่น้อย เขามั่นใจในวิชาแพทย์ของตนเองเป็อย่างมากมาแต่ไหนแต่ไร
เขามองฮั่วเยี่ยนไหวด้วยสีหน้ามั่นใจ แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “กระหม่อมเคยรักษาจิ้งจอกน้อยของท่านอ๋องมาก่อน จึงแยกแยะว่าเป็เืจิ้งจอกได้อย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
ในเวลานี้แววตาของฮั่วเยี่ยนไหวที่แต่เดิมเย็นเยียบกลับลุ่มลึกขึ้นหลายส่วน
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ถูกถอดออกมาจากข้อมือของไป๋เซี่ยเหอ
นอกจากนี้
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเืนั้นเป็เืจากาแที่ข้อมือของไป๋เซี่ยเหอ
ยามที่เขาถอดผ้าเช็ดหน้า แม้ว่าาแที่ข้อมือของนางจะตกสะเก็ดแล้ว ทว่าคราบเืที่เปื้อนอยู่รอบๆ าแย่อมไม่สามารถหลอกลวงได้
ทว่าหมอหลวงฉินไม่มีความจำเป็ต้องหลอกเขา
นี่มันเื่อะไรกันแน่?
ไป๋เซี่ยเหอ...จิ้งจอกน้อย...
จิ้งจอกน้อย...ไป๋เซี่ยเหอ
“พวกเ้ากลับไปก่อน อิ๋งเฟิงไปนำรถม้ามา”
ทุกคนรับคำสั่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันไป หุบเหวแห่งนี้จึงเหลือเพียงฮั่วเยี่ยนไหวกับไป๋เซี่ยเหอแค่สองคน
ฮั่วเยี่ยนไหวหันหน้าไปมองไป๋เซี่ยเหอ เขาที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมา ยังอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจ
เขาเห็นเพียงว่าเหนือศีรษะของเด็กสาวที่นอนอยู่บนพื้นที่ปูด้วยฟางและเสื้อผ้านั้นมีใบหูขนปุกปุยสีขาวโผล่ขึ้นมา สิ่งนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อใบหูโผล่ขึ้นมาแล้ว มันก็กระดิกไปมาสองสามที ดูน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง
ฮั่วเยี่ยนไหวอยู่ร่วมกับจิ้งจอกน้อยมาเนิ่นนาน เขาย่อมจำใบหูที่มีขนปุกปุยคู่นั้นได้ในปราดเดียว
เป็จิ้งจอกน้อยจริงๆ
หางปุกปุยขนาดมหึมาจำนวนเก้าหางส่ายไปมาอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่หางจิ้งจอกแล้วจะเป็อะไร?
หากไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอีก เช่นนั้นก็โง่แล้ว!
ฮั่วเยี่ยนไหวยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าขาวซีด หัวใจที่เย็นเยียบและแข็งกระด้าง มีความกระวนกระวายผุดขึ้น
ภาพเบื้องหน้าคือสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
แววตาสีดำขลับของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้า ราวกับ้าจะมองให้ทะลุไปถึงจิติญญาของไป๋เซี่ยเหอก็ไม่ปาน
เขาคาดเดาได้อย่างคร่าวๆ แล้ว
ไป๋เซี่ยเหอคือจิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยก็คือไป๋เซี่ยเหอ
นางรู้อยู่แก่ใจว่าหากตนเองเสียเืมากไปจะกลายร่างเป็จิ้งจอก แล้วเหตุใดถึงต้องป้อนเืให้เขา?
หรือจะบอกว่าเพื่อช่วยเขาแล้ว นางไม่ได้สนใจว่าตนเองจะกลายร่างหรือไม่?
ฮั่วเยี่ยนไหวเดินมายืนอยู่ข้างกายของไป๋เซี่ยเหอ เขานั่งลง แล้วยื่นปลายนิ้วเรียวยาวดุจหยกไปปัดปอยผมบนหน้าผากของนางอย่างเบามือ การกระทำนั้นอ่อนโยนอย่างเหลือเชื่อ
ปลายนิ้วที่เย็นะเืเล็กน้อยัักับใบหูที่มีขนปุกปุยนั้น ััอันอ่อนนุ่มเป็ของจริง ขณะเดียวกันก็มอบความรู้สึกอันคุ้นเคย
เมื่อพบตำแหน่งของฮั่วเยี่ยนไหวแล้ว อิ๋งเฟิงก็นำรถม้าลงไปยังตำแหน่งนั้นอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุดลงที่หน้าปากถ้ำ
“ท่านอ๋อง รถม้ามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เนื่องจากรู้ว่าหวังเฟยในอนาคตอยู่ข้างในถ้ำด้วย บางทีนางอาจได้รับาเ็ ดังนั้นอิ๋งเฟิงจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เพียงส่งเสียงเรียกอยู่ข้างนอกเท่านั้น
เวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา
ฮั่วเยี่ยนไหวเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหล่อเหลาไร้เทียมทานไม่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นแม้แต่น้อย
เขาอุ้มสตรีไว้ในอ้อมแขนด้วยความระมัดระวัง
อิ๋งเฟิงสูดลมหายใจเย็น คาดไม่ถึงว่าเ้านายของเขาจะอุ้มสตรี
เซ่อเจิ้งอ๋องที่ไม่ยอมให้สตรีเข้าใกล้เกินหนึ่งเมตร นึกไม่ถึงว่าจะเป็ฝ่ายอุ้มสตรีด้วยมือตนเอง!
แม้ว่าสตรีนางนั้นจะเป็หวังเฟยในอนาคตก็ตาม
ทว่าก็เพียงพอให้เขาใจนคางหล่นได้แล้ว
เพียงแต่...
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เขางุนงงเล็กน้อย
เขาเห็นเพียงว่าสตรีในอ้อมแขนของฮั่วเยี่ยนไหวถูกห่อด้วยผ้าห่มผืนใหญ่
อุณหภูมิที่หุบเหวแห่งนี้ต่ำมาก การที่สตรีกลัวหนาวย่อมเป็เื่ที่อิ๋งเฟิงเข้าใจได้
เพียงแต่สิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ก็คือ
สตรีที่ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขน นอกจากดวงตาที่ปิดและจมูกที่โผล่พ้นออกมาแล้ว ส่วนอื่นของร่างกายล้วนถูกห่อไว้ในผ้าห่มอย่างเรียบร้อย
ไม่เผยออกมาแม้แต่น้อย
ถูกห่อราวกับมู่ไหน่อี[1]ก็ไม่ปาน
นี่ออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่?
อิ๋งเฟิงยังไม่ทันถอนสายตาออกไปจากร่างของไป๋เซี่ยเหอ น้ำเสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้น
“ชอบยืนอยู่ที่นี่นัก มิสู้นั่งท่าม้าที่นี่ดีหรือไม่?”
------------------------
[1] มู่ไหน่อี หมายถึง มัมมี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้