กิ่งไม้แห้งเหี่ยว สระน้ำที่ไร้สีสัน กระดูกขาวและทิวทัศน์ที่เหี่ยวเฉาพลันถูกเสียงใสกังวานของทารกน้อยทำลายความหม่นหมองไปหมดสิ้น แค่นางเปล่งเสียง เรือนที่เงียบงันแห่งนี้ก็ราวกับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ใบหน้างามของหลัวอู๋เลี่ยงเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ครั้งก่อนตอนที่นางได้ยินเ้าหนูน้อยเรียกพี่ชายว่า “พิ พี่” นางก็อดอิจฉาไม่ได้ ครั้งนี้เมื่อได้ยินเ้าหนูตรงหน้าเรียกนางว่า “เลี่ยง เลี่ยง” นางก็พอจะเข้าใจได้ว่าคงเป็เพราะได้ยินคนอื่นเรียกนางว่าแม่นางหลัว เ้าตัวเล็กจึงได้เรียกนางเช่นนี้ เ้าหนูน้อยเหตุใดจึงชอบพูดตามคนอื่นเช่นนี้ นางเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
ทว่าหลัวอู๋เลี่ยงยังไม่ทันหุบยิ้ม ก็เห็นเ้าตัวเล็กไถลลงจากศีรษะม้าผ่านบานหน้าต่าง เพียงรวดเดียวก็ไถลมาถึงโต๊ะเขียนหนังสือ บัดนี้ทั้งหมึกและกระดาษล้วนถูกนางทับไว้ใต้ก้นน้อยๆ นั้น กระดาษก็กลายเป็ยับยู่ยี่ ส่วนหมึกก็กระเซ็นไปทั่ว หญิงสาวเมื่อเห็นภาพนี้ก็ทั้งโกรธทั้งนึกขัน
“เ้าตามข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร ทำตัวอย่างกับเ้ากรรมนายเวรเชียวนะ”
จากนั้นจึงอุ้มนางขึ้น
มือคู่น้อยของเฉินโย่วยกขึ้นพร้อมกับต้นหญ้าต้นหนึ่งในมือส่งให้หญิงสาวที่อุ้มตน แม้มันจะเริ่มเฉา แต่ก็ยังพอมองเห็นสีเขียวกับใบเล็กๆ ทั้งสี่ใบของมันที่ดูน่ารักไม่น้อยได้อยู่
ริมฝีปากของหญิงสาวพลันโค้งขึ้น
เ้าม้าสีนิลเมื่อเห็นใบหน้างามหลังหน้าต่างนั้นประดับด้วยรอยยิ้ม ก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
เฉินโย่วน้อยเมื่อทำการแลกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ก็ทำทีราวกับรู้งาน รีบมุดเข้าไปในอ้อมอกของแม่นางหลัว
หลัวอู๋เลี่ยงแม้คิดจะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่จนปัญญา คิดในใจว่าเ้าหนูน้อยนี่คงเห็นนางเป็แหล่งอาหารไปแล้วกระมัง
หญิงสาวยังคงตระกองกอดทารกไว้แนบอก สายตาเหลือบมองของที่กระจัดกระจายบนโต๊ะเขียนหนังสือ ถัดไปนอกหน้าต่าง เ้าม้าสีนิลก็ยังคงยืนเอ้อระเหยอยู่ที่เดิม ภาพตรงหน้าทำให้ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มบางๆ ในใจพลันหอมหวานไปด้วยความสุข
นางชอบเ้าทารกน้อยนี่ ชอบเหลือเกิน ต่อให้เ้าทารกน้อยนี้จะมาสะกิดแผลเก่าในใจนางจนรู้สึกปวดแปลบในบางครา ทว่าในเวลาเดียวกันดวงใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
ทารกน้อยเมื่อดื่มนมเสร็จก็มีท่าทีง่วงซึม ตากลมโตคู่น้อยกะพริบช้าลงจนแทบจะปิดลง ไม่นานนักแพขนตาคู่ยาวนั้นก็ปิดสนิทจริงๆ
หลัวอู๋เลี่ยงแม้ในใจอยากจะอุ้มนางไปนอนบนเตียง ขณะกำลังใคร่ครวญ ก็คิดว่าส่งนางกลับขึ้นหลังเ้าม้าสีนิลเห็นจะเป็การดีกว่า ถึงอย่างไรอยู่บนหลังเ้าม้าก็คงจะปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่เป็แน่
ยิ่งกว่านั้นคือ นางไม่อยากให้นายท่านใหญ่เห็นเด็กคนนี้
ในที่สุด เมื่อทารกขึ้นไปอยู่บนหลังม้าแล้ว มันก็หมุนกายจากไปทันที ไม่มีท่าทีอาลัยเรือนหลังนี้แม้แต่น้อย
กระทั่งเมื่อครู่ที่หลัวอู๋เลี่ยงจะสั่งให้เสี่ยวเถาเอาอาหารไปป้อนให้มัน มันยังไม่ยอมแตะอาหารนั้นแม้เพียงครึ่งคำ
เมื่อทารกน้อยจากไป หลัวอู๋เลี่ยงจึงได้แต่ยืนพิงประตูมองเ้าม้าสีนิลวิ่งเหยาะๆ หายไป ในใจบังเกิดความรู้สึกห่อเหี่ยว
แสงตะวันเคลื่อนคล้อยต่ำลงสาดลงบนใบหน้าของหญิงสาว จึงเห็นเป็ใบหน้าครึ่งหนึ่งอาบไล้ด้วยแสงตะวัน ส่วนอีกครึ่งกลับถูกความมืดมิดปกคลุม หางตาเรียวยาวดุจใช้พู่กันตวัดวาด ริมฝีปากแดงอิ่มราวกับผลอิงเถา คิ้วโก่งดั่งคันศร เสื้อผ้าสีแดงสดใส ภาพฉากเช่นนี้ปรากฏบนูเากระดูกแห่งนี้ มองแล้วช่างงดงามเหนือสามัญ
ยามสายัณห์มาเยือน
เฉินโย่วน้อยยังคงหลับฝันหวานอยู่บนหลังเ้ามืด เมื่อมองจากไกลๆ ก็คล้ายว่าเ้าม้านั้นได้กลายเป็ม้าหลังปูดเสียแล้ว มันจงใจย่ำเท้าช้าๆ ซ้ำยังไม่ยอมตรงกลับไปยังไปหาอาลู่ ทว่ากลับเปลี่ยนทิศไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มได้เจอกับกระดูกกองสูงราวกับูเาแห่งนั้นแทน
ูเากระดูกแห่งนี้ล้วนอาศัยกระดูกก่อร่างสร้างขึ้นมา ยอดแหลมสูงของมันทำให้บางคราก็ดูคล้ายเจดีย์ขนาดย่อม กองกระดูกสูงนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้กระดูกมนุษย์ไปมากเท่าใดจึงจะเรียงกันได้สูงดุจูเาเช่นนี้
เ้าม้าสีนิลค่อยๆ ย่ำเท้าเข้าไปใกล้กับูเากระดูก ประจวบเหมาะกับแสงแดดยามเย็นตกกระทบลงบนยอดูเาที่ดูคล้ายเจดีย์นั้น ทั้งกระดูกขาว และกระดูกเทาๆ บัดนี้ล้วนเรืองรองไปด้วยแสงแดด ดูแล้วช่างเปี่ยมไปด้วยความเข้มขลังและความบริสุทธิ์
ทารกน้อยค่อยๆ ลืมตา แล้วลุกขึ้นนั่งบนหลังเ้าม้าสีนิล ท่าทางจึงดูราวกับนางกำลังขี่ม้าอยู่
เฉินโย่วน้อยมองูเากระดูกตรงหน้า รอบนอกมีกระดูกใหม่กองอยู่ ดูแล้วน่าจะเพิ่งถูกนำมาวางไว้เสียด้วยซ้ำ
ในสายตาของเหล่าโจรนั้น ูเากระดูกนั้นมีพลังลึกลับบางอย่าง ยามคุกเข่าลงทำความเคารพก็ราวกับได้รับการชะล้างคาวเืจากการเข่นฆ่า นี่จึงทำให้ร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งไม่น้อย ด้วยเหตุนี้การกินเนื้อดื่มสุราจึงไม่เป็เื่ต้องห้ามแต่อย่างใด
ในสายตาของเฉินโย่วน้อยกลับเห็นวงกลมสีดำหลายวง ั้แ่สีอ่อนไปจนถึงเข้ม กระทั่งบนส่วนยอดเขานั้นก็มีวงกลมสีดำเข้มราวกับหยดน้ำสีดำกำลังจะตกลงมา ทารกน้อยเมื่อเห็นดังนั้นจึงมือออกไปรับ บนมือนางจึงมีของเหลวสีดำหยดหนึ่งอยู่ ของเหลวนั้นเพียงชั่วอึดใจก็ไหลซึมเข้าไปในมือนาง
ทารกน้อยไม่รู้ว่านานเท่าใดที่นางยังคงยื่นมือออกไปเช่นนั้น ส่วนของเหลวสีดำจากูเากระดูกนั้นก็ยังคงหยดลงมาบนมือนางหยดแล้วหยดเล่า ก่อนจะซึมหายเข้าไปในกาย
ร่างของเ้าม้าสีนิลพลันหนักอึ้ง มันกระวนกระวายใจ หันซ้ายทีขวาที
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับคนผู้หนึ่ง เ้ามืดถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ร่างนั้นช่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่ไม่อาจต้านทาน
ราวกับฆ่าหนึ่งคน ลมหายใจพลันติดขัด
ฆ่าสิบคน พลันได้กลิ่นความชั่วร้าย
ฆ่าร้อยคน รัศมีแห่งความอาฆาตพลันแผ่กำจาย
ฆ่าพันคน พลันได้กลิ่นเข้มข้นของความตาย
หลีโฉ่วเคยสังหารคนทั้งเมืองมาเมืองหนึ่ง
เขาฆ่าคนมามากเสียจนดาบในมือบัดนี้ไร้ซึ่งความคมเสียแล้ว เสื้อผ้าบนเรือนกายก็แทบจะคั้นเืออกมาได้ ซ้ำยังเป็เืของผู้อื่น
เขายืนอยู่ข้างูเากระดูก ดูทารกบนหลังม้าสีนิล
ทารกเช่นนี้ เขาก็นับว่าเคยฆ่ามาก่อน
เพียงแต่เมื่อเจอกับเ้าเด็กคนนี้ ร่างดำๆ นั้นแทบจะกลืนเป็สีเดียวกับเ้าม้าสีนิล
ถึงกระนั้นเมื่อมองไป กลับพบว่าเ้าเด็กคนนี้ก็หน้าตานับว่าดีอย่างน่าประหลาด
หากพูดว่าแม่นางหลัวนั้นงดงามเสียจนทำให้เขารู้สึกต่ำช้า เ้าเด็กตัวดำมิดหมีตรงหน้าก็เรียกได้ว่าทำให้ขบขัน นี่กลับััได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์จนมิอาจเกิดความรู้สึกคิดทำร้ายต่อนางได้ ยิ่งกว่านั้นยามมองนางก็ยังรู้สึกราวกับกำลังมองูเากระดูกก็ไม่ปาน ช่างควรค่าแก่การเคารพบูชา
นายท่านใหญ่รู้สึกว่าความคิดเช่นนี้ของตนดูจะไม่ถูกต้องนัก
เขาจึงตั้งใจพินิจดูทารกบนหลังมาอีกครั้ง
ผิวพรรณออกจะดำไปสักหน่อย ทว่าใบหน้านั้นกลับงดงามนัก ราวกับว่ากระทั่งหลัวอู๋เลี่ยงยังมิอาจงามเท่า
คิ้ว ตา ริมฝีปากและจมูกของนางนั้นล้วนยังดูเป็เด็ก บนใบหน้าก็ยังมีขนเส้นเล็กละเอียด
ชายหนุ่มพลันสั่นไปทั้งสรรพางค์กายด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกช่างราวกับตอนที่เขาได้ฆ่าคน ต่อมาความรู้สึกตื่นเต้นนั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็ความยินดี สำหรับเขาช่างเป็ความตื่นเต้นที่ยากจะพรรณนา
เมื่อก่อนมีเพียงแต่จะได้ฆ่าคนจนดวงตาเป็สีโลหิต หรือได้เคี่ยวกรำแม่นางหลัวจนไม่อาจนับราตรีได้ จึงจะทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้
เขาชอบความรู้สึกที่เต็มไปด้วยคาวเืเช่นนี้ ยามแส้ม้าที่หยาบกร้านเฆี่ยนลงไปบนผิวขาวเนียนจนเืผุดพรายราวกับดอกไม้ ภาพเ่าั้ทำให้ใจเขาก็เต้นระส่ำจนแทบหลุดจากอก
ทว่าสตรีตรงหน้าเขาตอนนี้กลับเป็เพียงเด็กเล็กคนหนึ่ง เหตุใดจึงทำให้เขาตื่นเต้นเช่นนี้ได้
แววตาของนายท่านใหญ่พลันเปลี่ยนเป็ร้อนรุ่ม
เ้าม้าสีนิลรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้น จึงหันหลังวิ่งจากไปทันที
เฉินโย่วน้อยจึงได้แต่กอดหลังเ้าม้าสีนิลไว้
สิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มเห็นจึงเป็เพียงบั้นท้ายของเ้าม้าสีนิล และบั้นท้ายของทารกน้อยเท่านั้น
ความอิ่มเอมเ่าั้ก็หายไปเช่นกัน
นายท่านใหญ่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความรำลึกถึง ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก
แม่นางหลัวด้วยเพราะยังไม่วางใจ จึงออกตามหาเ้าหนูน้อย ทว่ากลับได้มาเห็นภาพนี้จากที่ไกลๆ ร่างอรชรนั้นก็พลันสั่นไหว ใบหน้าไร้ซึ่งสีเื
ทารกน้อยยังคงเกาะอยู่บนหลังเ้ามืดที่ออกย่ำผ่านหน้าผาและสะพานเถาวัลย์ ก่อนจะเดินเข้าถ้ำ ลัดเลาะไปเรื่อยจนสุดเส้นทาง เมื่อถึงปากถ้ำเ้าม้าสีนิลก็หยุดนิ่งครู่หนึ่ง
เฉินโย่วน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาจึงได้เห็นว่ากลางทุ่งหญ้านั้นมีนกขนยาวสีแดงราวกับเปลวเพลิงฝูงหนึ่ง ไม่ไกลกันนักก็มีต้นไม้ขึ้นเรียงตระหง่านระขอบฟ้า ซ้ำยังมีธารน้ำที่ยาวไร้สิ้นสุด ค่อย ๆ ไหลลงมาจากเนินเขา
เหล่านกโบยบินอย่างมีความสุข ดูแล้วช่างมีอิสรเสรี พร้อมกับเสียงร้องของมันที่ดังกังวาน
ทว่าทารกน้อยเพียงเหม่อมองอยู่ครู่เดียว ก็ดึงสายบังเหียนของเ้ามืดให้ออกเดินต่อ
ทารกน้อยเกาะอยู่บนหลังเ้ามืดทั้งวันก็รู้สึกเหนื่อยล้า
จวบจนเ้าม้าพาเฉินโย่วน้อยมาส่งที่กระท่อมไม้อีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงฝูงม้ากำลังวิ่งควบอยู่ไกลๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะของอาลู่
เมื่อได้เห็นพี่ชายอยู่กลางฝูงม้า เฉินโย่วน้อยบนหลังม้าก็หัวเราะเช่นกัน ทว่าเพราะทารกน้อยยังไม่มีฟัน จึงทำให้ยามอ้าปากหัวเราะนั้นดูตลกไม่น้อย