ทุ่งหญ้ายามเย็นช่างงดงาม แสงสายัณห์อาบไล้ทิวหญ้า ทิวหญ้านั้นแม้จะไม่เขียวขจีนัก ทว่ากลับครอบคลุมพื้นสุดลูกหูลูกตา
อาลู่วิ่งวุ่นอยู่กลางฝูงม้ากับเหล่าปามาทั้งวัน แม้กายจะเหนื่อย แต่ใจนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข สำหรับเขา การดูแลม้านั้นสนุกกว่าการซ่อมรั้วไม้เป็ไหนๆ โดยเฉพาะบัดนี้ที่เหล่าปาบอกเขาว่า “เ้าเลือกม้ามาสักตัว แล้วลองขี่มันดู” เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมา
หัวใจเขาเต้นรัว
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงซ่านไปด้วยสีเืเพราะหัวใจที่สูบฉีด เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดสีทองยามเย็นก็กลายเป็สีทองแดงระเรื่อ รอยยิ้มแห่งความยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจของเด็กหนุ่มพร่างพรายอยู่บนใบหน้าเกือบจะเข้าสู่่วัยชายหนุ่มของเขา
อาลู่เพียรพยายามคิดทบทวนสิ่งที่เหล่าปากล่าวมาในวันนี้ ต้องเลือกม้าที่มีลักษณะเช่นไรจึงจะนับว่าเป็ม้าที่ดี แม้อันที่จริงสำหรับเขานั้นม้าทุกตัวก็นับว่าไม่เลว ซ้ำยังรู้สึกสนิทสนมกันอยู่แล้ว ถึงกระนั้นก็ยังโชคดีที่เขาก็นับว่าเป็คนใจเย็น ไม่ได้เลือกม้าง่ายๆ ตามใจตน ล้วนค่อยๆ คัดเลือกตามที่เหล่าปาสอนไว้ ในใจคิดอยู่ตลอดว่าตนยังเป็มือใหม่ เลือกม้าตัวที่ใจเย็นสักหน่อยย่อมดีกว่า
เด็กหนุ่มเดินวนอยู่รอบหนึ่ง ในที่สุดก็เลือกม้าตัวเล็กสีขาวตัวหนึ่ง ม้าตัวนี้ก็ไม่อาจเรียกว่าสีขาวได้เต็มปากนัก จริงอยู่ว่าศีรษะมันนั้นเป็สีขาว ทว่าส่วนตัวกลับมีขนหลากสีผสมกันไป บนหลังยังมีขนสีดำพาดยาวเป็เส้นอีกเส้นหนึ่ง ลักษณะเช่นนี้ทำให้มันดูมีชีวิตชีวาเป็พิเศษ
เ้าม้าตัวนี้ช่างมีดวงตางดงามนัก ยามอาลู่สบตากับก็รู้สึกราวกับว่ามันกำลังสนทนากับตนอยู่
อาลู่ยืนมองหน้าเ้าม้าครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ ในทีแรกเ้าม้านั้นยังเบือนหน้าหนีน้อยๆ ทว่าเขาก็ยังคงยื่นมือออกไปลูบมันต่อ ส่วนเ้าม้าก็ไม่ได้เบือนหน้าหนีอีก
เด็กหนุ่มขยี้หัวมันเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วค่อยลูบไปตามแนวขนของเ้าม้าั้แ่ศีรษะจรดหลัง ััได้ว่าขนของมันพันกันเล็กน้อย ท้องของมันก็กำลังขยับเบาๆ มือของอาลู่เริ่มสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นจนรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นใต้ฝ่ามือตน
เหล่าปายืนมองมือที่สั่นเทาของเด็กหนุ่ม แววตาพลันฉายแววอ่อนโยนที่ปรากฏได้ยากยิ่ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“เ้าเพิ่งจะเริ่มขี่ม้าก็ผ่อนคลายลงเสียหน่อย ค่อยเป็ค่อยไป”
อาลู่ออกแรงถีบขาให้ร่างตนยกขึ้น จากนั้นจึงพาดตัวขึ้นไปบนหลังม้า
เพียงครู่เดียวเขาก็ออกเดินทางจากกลางฝูงม้ามาถึงฝูงม้า้า
เด็กหนุ่มนั้นราวกับได้เห็นโลกใบใหม่ ยามอยู่บนหลังม้านั้นทิวทัศน์ล้วนต่างจากมุมมองที่เคยเห็นราวกับว่าเป็คนละสถานที่กัน เขาเห็นเหล่าม้ารวมตัวกันเป็ฝูง มองเห็นทุ่งหญ้าที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา มองเห็นูเาทรายที่อยู่นอกทุ่งหญ้า มองเห็นูเาหิมะที่อยู่ถัดไปจากูเาทราย
ทุกสิ่งล้วนประจักษ์แก่สายตาไม่ว่าจะเล็กแคบหรือกว้างใหญ่ แสนไกลหรือใกล้สุด
ขาของเด็กหนุ่มยังคงหนีบแนบตัวเ้าม้า ก่อนจะค่อยๆ เตะเท้าสองสามทีให้มันออกเดินหน้าต่อ ร่างของเขาโยกไปตามจังหวะของเ้าม้า ไม่นานนักฝูงม้าก็ถูกความร่าเริงของเ้าม้าขาวทำให้แตกฝูงแยกกันเป็เส้นทางสายหนึ่ง
เหล่าปาที่ยืนอยู่ข้างหลังมองร่างผอมบางที่นั่งหลังตรงทื่อบนหลังม้าก็อดะโเตือนไม่ได้
“ช้าหน่อย อย่าไปกลัว”
อาลู่พยักหน้าตอบ ในใจรู้สึกราวกับว่าตนกำลังโบยบิน
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน แต่ก็น่าตื่นเต้นเช่นกัน
เ้าม้าขาวหลีกจากฝูงม้า จากที่มันเคยวิ่งเหยาะๆ ในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็ห้อตะบึง ความเร็วนั้นราวกับจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หลังที่ตรงทื่อของอาลู่ค่อยๆ ผ่อนลงตามจังหวะที่เ้าม้าเคลื่อนไหว ลมที่พัดผ่านไม่นานก็พัดแรงขึ้น เด็กหนุ่มพลันร้องเสียงสูง
“อ๊ากก”
เสียงะโของเด็กหนุ่มในวัยเสียงเปลี่ยนฟังดูแล้วทั้งเบิกบานและดุเดือด
อาลู่พาเ้าม้าขาวออกห้อตะบึงไปไกล ทิ้งเหล่าปาและฝูงม้าไว้เื้ัตน
เขาชอบขี่ม้าเหลือเกิน การได้ขี่ม้านี่มันช่างสนุกเสียจริง สนุกกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก วิสัยทัศน์บนหลังม้าก็ดีกว่าเดิมมาก การมองเห็นในระยะไกลก็พัฒนาขึ้น
เด็กหนุ่มปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเ้าม้า ความรู้สึกทรมานที่เหล่าปาเคยกล่าวไว้ก็ล้วนไม่เกิดขึ้นสักนิด กลับกันเขากลับรู้สึกว่าร่างกายตนได้ผ่อนคลายไปทุกอณู
ใบหน้าเด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มสบายอารมณ์
เขามองไปไกลๆ ก็เห็นเนินดินเล็กๆ เนินหนึ่ง บนนั้นมีดอกไม้ดอกน้อยสีฟ้างอกอยู่ ขนาดของกลีบมันใหญ่แค่เล็บมือคน เมื่อแสงตะวันสาดส่อง ดอกไม้ก็ราวกับเปล่งแสงสีฟ้าเรืองรอง ยามมีลมเอื่อยๆ พัดมา ดอกไม้ก็ไหวเอนไปตามแรงลม
อาลู่เมื่อเห็นเ้าดอกไม้นี้ปรากฏสู่สายตาตนตอนขี่ม้า ก็อดโน้มกายลงไปเด็ดมันขึ้นมาไม่ได้ จวบจนเมื่อขี่มาผ่านเนินดินนี้ไปแล้ว เขาก็คิดว่าดอกไม้สีฟ้าเหล่านี้หากมอบให้น้องสาว นางจะต้องชอบมันมากแน่ๆ
และแล้วเื่ดอกไม้สีฟ้านี้ได้กลายเป็ความลับของเด็กหนุ่มและเ้าม้าสีขาว
เหล่าปาที่อยู่กลางฝูงม้าเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้จากไกลๆ ก็พลันใจหล่นวูบ ‘ไอ้เด็กสมควรตายนี่’ ถ้ากลับมาละก็ เขาจะตีให้หลังลายเลยเชียว
แต่แล้วเมื่อเขาเห็นท่าทางไหวตัวทื่อๆ ของเด็กหนุ่มบนหลังม้า ถึงขั้นกล้าโน้มกายลงไปเด็ดต้นไม้เช่นนั้น ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มโน้มกายลงมา หัวใจของเหล่าปาก็กระเด้งกระดอนตาม จนอดจะสบถด่าไม่ได้ “ไอ้ลูกหมานี่ มันรีบไปตายหรือไร” ลมก็แรง ระยะทางก็ไกล กระทั่งเสียงด่าของเขาก็ถูกเสียงลมพัดกลบไป เด็กหนุ่มจึงไม่ได้ยินคำด่าเหล่านี้แม้แต่ครึ่งคำ
จวบจนอาลู่ควบม้ากลับมาด้วยความปลอดภัย ใบหน้าที่สงบและเคร่งขรึมดูไม่สมวัยนั้น เห็นเป็สีแดงระเรื่อ ซ้ำยังฉายแววแห่งความเบิกบานออกมา
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของอาลู่ คำด่าเต็มท้องที่เหล่าปาคิดไว้ก็พลันต้องกลืนลงคอ มีเพียงความรู้สึกอิจฉาที่ผุดขึ้นมา คิดถึงตอนที่ตัวเองขี่ม้าครั้งแรก เขาก็เป็เช่นนี้ ยามขี่ม้าครั้งแรกราวกับว่าความรู้สึกที่อยู่ในอกนั้นกลับโล่งไปหมด เหมือนว่าตนนั้นมิใช่ชายหลังค่อม
การเป็เด็กน้อย การเป็คนหนุ่มนี่มันช่างดีเสียจริง
อาลู่เมื่อขี่ม้ากลับถึงฝูงม้าก็ะโลงจากหลังม้าอย่างง่ายดาย แล้วมองหน้าเหล่าปาอย่างคาดหวัง พร้อมออกปากถาม “ท่านอาปา ข้าขี่ม้าเป็อย่างไรบ้าง”
เหล่าปามองดอกไม้ในมือเด็กหนุ่ม ขนตาก็พลันไหวระริก ทำเสียงฮึที่หนึ่งก่อนตอบ “ก็พอถูไถ”
เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนออกนอกหน้า มิได้ซึมกะทือกับคำว่าพอถูๆ ไถๆ ของเหล่าปาสักนิด จากนั้นจึงตอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะพยายามให้มากกว่าเดิม รับรองว่าต้องดีขึ้นแน่”
เขารวมดอกไม้ที่เก็บมาให้เป็ช่อ ก่อนนำไปมอบให้กับน้องสาวตน
ตอนที่อาลู่มาถึงก็เห็นทารกน้อยนอนหลับฝันหวานบนหลังเ้าม้าสีนิลอย่างว่าง่าย จวบจนรู้ว่าเขามาถึงแล้ว ทารกน้อยขี้เซาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อนางตื่นแล้วอาลู่จึงยื่นช่อดอกไม้ในมือให้นาง
“พี่ชายเด็ดมาให้เ้า เ้าชอบหรือไม่”
เฉินโย่วหน่อยอ้าปากจามหนึ่งที มองดอกไม้ที่พี่ชายมอบให้ ก่อนจะนั่งดมดอกไม้ในอ้อมกอดตน
เหล่าปาที่เดินตามมาก็เห็นภาพนี้เข้า ม้าตัวโต ทารกน้อย และบุปผา ดูแล้วก็คล้ายกับภาพวาดภาพหนึ่ง
ทว่าครู่ต่อมาแผ่นหลังคดงอของเหล่าปาก็พลันสั่นไหว เมื่อเห็นเ้าทารกน้อยอ้าปากกว้างงับลงไปบนดอกไม้ จนทั้งศีรษะน้อยแทบจะจมหายไปในช่อดอกไม้นั้น
อาลู่หัวเราะเสียงดังทันใด
สำหรับเขาไม่ว่าน้องสาวจะชอบมองหรือชอบกินดอกไม้ ขอแค่นางมีความสุขก็พอ
ตะวันคล้อยลอยต่ำลง ฝูงม้าพากันกลับรัง
เหล่าปาก็เริ่มลงมือก่อไฟเพื่อต้มน้ำแกงหมั่นโถว ส่วนอาลู่ก็คอยเติมฟืนอยู่ข้างๆ ถัดไปทางเฉินโย่วน้อยนั้นก็กำลังกอดช่อดอกไม้พร้อมกับเคี้ยวบางดอกตุ้ยๆ อยู่ในปากอย่างตั้งใจ จนทั้งหน้านั้นเปรอะไปด้วยกลีบดอกไม้ และน้ำลายของตนเอง
ฝั่งเ้าม้าสีนิลนั้นก็กำลังไกวหางเบาๆ
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าช่างดูแล้วสบายตา
จวบจนมีเงาหนึ่งทอดยาวมา
ทันใดก็เห็นหนึ่งในชายหนุ่มที่มาเลือกม้าเมื่อตอนกลางวันปรากฏกายขึ้นอีก
“พวกข้าหาตัวเ้าก้างปลาไม่เจอ คาดว่าคงตายไปแล้ว นายท่านสามให้ข้ามาถ่ายทอดคำสั่งว่านับแต่นี้ให้เ้าเด็กนั่นมาแทนตำแหน่งเ้าก้างปลาเสีย”
ชายหนุ่มคนที่มาแจ้งข่าวนี้ชื่อว่าต้าโกว เพราะเขาเชี่ยวชาญด้านการใช้ตะขอ ท่าทีที่มีต่อเหล่าปานั้นไม่นับว่าเกรงใจเท่าใดนัก ซ้ำเมื่อเห็นหม้อดำๆ ตรงหน้าตน ก็ยกเท้าถีบหม้อนั้นทีหนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงถากถาง “สุนัขบ้านข้ายังกินอาหารดีกว่าพวกเ้าเสียด้วยซ้ำ”
เหล่าปาพลันหันหน้าตอบด้วยใบหน้าเ็า “หากชีวิตหาไม่แล้ว ก็คงมิจำเป็ต้องกินสิ่งใดแล้วล่ะ”
ต้าโกวเดิมทียังคิดจะต่อปากต่อคำ ทว่าทันใดเ้าม้าสีนิลก็มายืนข้างกายตน แล้วพ่นลมหายใจร้อนๆ ใส่ทีหนึ่ง ทำเอาชายหนุ่มคนนั้นใแทบะโ สุดท้ายจึงได้แต่สบถไปวิ่งไปจนหายลับจากสายตา
เปลวไฟยังคงลุกโชน
อาลู่เมื่อคิดถึงเื่ชายที่ถูกโยนลงไปในสระกระดูกเมื่อคืนวาน ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นิ่งงัน
เหล่าปาจึงได้แต่ออกปากเตือนเด็กหนุ่ม “ทำตัวให้ฉลาดเสียหน่อย พูดให้น้อย ดูให้มาก ต้องมีชีวิตต่อให้ได้”