ทางฟ้ากว้างกลางทุ่งหญ้าพร่างพราวไปด้วยแสงดาว
ดวงดาวดารดาษกลางท้องฟ้าเบียดเสียดกันจนดูคล้ายแม่น้ำสายหนึ่ง
บางทีอาจเป็โชคชะตาที่ทำให้ต้าโกวมาถ่ายทอดคำสั่งนี้
บางทีอาจเป็โชคชะตาที่ทำให้เ้าม้าสีนิลหายป่วย
บางทีอาจเป็โชคชะตาที่ทำให้อาลู่ขี่ม้าเป็
หรือบางทีอาจจะไม่มีโชคชะตาอะไรเช่นนั้น
ครั้งนี้เหล่าปาไม่เพียงใส่แต่หมั่นโถวในน้ำแกงเท่านั้น เขายังล้วงเนื้อแห้งใส่เพิ่มลงในน้ำแกง
เหล่าปาค่อยๆ ฉีกเนื้อที่ทั้งแห้งทั้งเค็มออกเป็เส้นๆ ก่อนจะใส่ลงไปในหม้อ
อาลู่ไม่เคยกินเนื้อแห้งเช่นนี้มาก่อน ไม่เพียงแค่เนื้อแห้งธรรมดา เนื้อแห้งที่ทาเกลือไว้้าเช่นนี้ก็ไม่เคย
กินแล้วคงจะมีเรี่ยวแรงไม่น้อย
อาลู่ในวัยที่แทบจะยังไม่เรียกว่าวัยแรกรุ่นเสียด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วไม่มีทางจะได้รับส่วนแบ่งจากเนื้อนี้แม้เพียงเสี้ยวเดียว
ทว่าบัดนี้ชายหนุ่มหลังค่อม ถึงกับใจกว้างฉีกเนื้อถึงครึ่งแผ่นใส่ลงไปในหม้อ
เด็กหนุ่มที่นั่งมองอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นท่าทางของเหล่าปาก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ
ส่วนเฉินโย่วน้อยเมื่อเห็นดังนั้นก็เริ่มก่อความวุ่นวาย ทารกน้อยนำดอกไม้ที่นางแทะไปแล้วจนแหว่งไปกว่าครึ่งโยนลงไปในหม้อทีละดอกๆ
ถึงกระนั้นเหล่าปาก็ไม่ได้พูดอะไร
เ้าทารกน้อยแทะอยู่นานสองนานยังไม่เป็อะไร เ้าดอกไม้นี้ย่อมต้องกินได้แน่นอน นางโยนใส่ในหม้อก็ดี จะได้ใช้แทนผักป่าเสียเลย
จากนั้นเขาจึงลงมือฉีกเนื้อแห้งต่อ โดยยังคงฉีกให้เป็เส้นเล็กที่สุด
เหล่าปาเมื่อเห็นแววตาหิวโหยดั่งหมาป่าของอาลู่ ก็ดึงเนื้อก้อนหนึ่งให้อาลู่ช่วยฉีก
เด็กหนุ่มวัยกำลังโตคือ่ที่กินได้มากที่สุด
อาลู่รู้สึกราวกับได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันจากเหล่าปายามที่เขาได้รับเนื้อชิ้นหนา มันขนาดยาวราวๆ ครึ่งนิ้ว ทั้งหมดสองชิ้นมาจากเหล่าปา เมื่อััเ้าเนื้อนี้แล้วก็รู้สึกว่ามันออกจะแข็งไปหน่อย
นิ้วมือของอาลู่เรียวยาว ไม่เหมือนเหล่าปาที่ทั้งหนาและงอ ดังนั้นเนื้อที่เด็กหนุ่มฉีกจึงดูละเอียดเป็เส้นสวยกว่าหน่อย ท่าทีของเด็กหนุ่มยามตั้งใจก็พลันเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม
ทั้งสามคนล้อมวงอยู่ข้างกองไฟ สายตาจับจ้องไปยังหม้อบนกองไฟว่าเมื่อไหร่จะได้ที่เสียที ท่าทางของชายหนุ่ม เด็กหนุ่ม และทารกน้อยดูแล้วช่างอบอุ่น และดูราวกับกำลังอยู่ในพิธีการเช่นกัน
อย่างน้อยสำหรับอาลู่แล้วการที่มีกันและกันเช่นนี้ ได้เห็นแสงไฟสะท้อนแก้มแดงๆ ของเฉินโย่วน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ อะไรจะสำคัญไปกว่าท้องอิ่มอีกเล่า พรุ่งนี้ต้องไปทำหน้าที่แทนเ้าก้างปลาแล้วอย่างไรเล่า ปล่อยให้มันเป็เื่ที่ต้องขบคิดในวันพรุ่งนี้เสียจะดีกว่า ถึงอย่างไรเื่พวกนั้นก็ไม่อาจสู้คนตรงหน้าเขาในตอนนี้ได้
ทว่าเหล่าปานั้นกลับคิดไปไกลกว่านั้น
ชายหนุ่มใช้ไม้เล่มหนึ่งกวนอาหารในหม้อ พลางกล่าวกับอาลู่ “เ้าก้างปลาถึงจะเป็คนชั่วช้า แต่สมองนั้นทึบนัก เมื่อก่อนมันก็ชอบมารังควานข้า จนคืนหนึ่งที่ข้าแกล้งหลอกให้มันมาเห็นว่าข้ากำลังต้มเนืุ้์อยู่ ทั้งที่จริงข้าเพียงหยิบกระดูกแถวนั้นโยนส่งๆ ลงหม้อไป ทว่านับแต่นั้นมันก็ไม่กล้ามาหาเื่ข้าอีกเลย คนไร้หัวคิดเช่นนี้ไม่แปลกหรอกที่จะตายเร็วกว่าคนอื่น”
อาลู่ได้แต่พยักหน้าตอบราวกับประหลาดใจ
แต่ในใจเขากลับมั่นใจแล้วว่าคนที่ถูกโยนลงไปในสระกระดูกนั้นจะต้องเป็เ้าก้างปลาไม่ผิดแน่
“บนูเาแห่งนี้มีคนอยู่สามประเภท ประเภทแรกคือกำลังหลักในการปล้น คนอีกประเภทคือคนแบบข้าที่ทำงานเลี้ยงชีพอยู่บนเขา ส่วนประเภทสุดท้ายคือคนแก่ คนป่วยและคนอ่อนแอ คนพวกนั้นจะถูกขังไว้ในถ้ำ รอวันเป็ส่วนหนึ่งของกองกระดูกขาวนั่น เพราะเช่นนั้นอย่างเ้านี่จึงนับว่าโชคดีแล้ว”
“อืม ข้าโชคดีจริงๆ ที่ข้ามีน้องสาว มีทั้งทวยเทพคอยคุ้มครอง” อาลู่ตอบเหล่าปาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อชายหนุ่มมองทารกน้อยข้างกองไฟ ใบหน้าน้อยๆ นั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เพียงเท่านี้เขาก็ไม่กล่าวสิ่งใดต่ออีก
เมื่อกลิ่นหอมของเนื้อโชยมา ทั้งสามคนก็ทราบทันทีว่าถึงเวลากินข้าวแล้ว
อาลู่มองเหล่าปาที่กำลังกินเนื้อชิ้นหนาอย่างระมัดระวัง ในใจก็พลันรู้สึกตื่นเต้น
“ท่านอาปา ท่านรอข้ามีเงินก่อนเถิด ข้าจะหาเจี่ยวจือให้ท่านกินเช่นกัน เจี่ยวจือนั้นหอมกว่าเนื้อเสียอีก ข้ารับรองเลยว่ามันจะต้องเป็อาหารที่ดีที่สุด”
ทว่าเหล่าปาก็ยังคงก้มหน้ากินต่อ ไม่ได้สนใจคำพูดของเด็กหนุ่ม คิดเพียงรอให้เ้าเด็กนั่นมีชีวิตรอดแล้วค่อยว่ากันเถิด
.......
วันต่อมา
ท้องฟ้าเพิ่งแสงส่องรำไร อาลู่ก็ออกเดินทางเสียแล้ว
เด็กหนุ่มแบกน้องสาวเดินไปยังค่าย ด้านหลังยังมีเ้าม้าสีนิลตามมาอีกตัว
อาลู่เดินผ่านถ้ำยาว ผ่านสะพานเถาวัลย์ ผ่านทางแคบเลียบหุบเหว เส้นทางเหล่านี้ทำให้อาลู่รู้สึกราวกับได้มาเยือนอีกโลกหนึ่ง
ด้านล่างถ้ำนั้นก็คือลานเลี้ยงม้า ทว่าวันนี้กลับมีเพียงทุ่งหญ้ากว้างกับม้า และชายหลังค่อมคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อคิดเช่นนี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกวางใจ
เพียงแต่้าถ้ำนั้นกลับมีเสียงโหวกเหวก ซ้ำยังมีคนเข้าออกไม่หยุดดูคึกคักราวกับตลาด
อาลู่รู้สึกกังวลเล็กน้อย
เขาััได้ว่าทุกคนที่นี่ ดูแล้วช่างคล้ายกับสามารถแผ่รังสีอำมหิตได้
จากนั้นเขาก็เห็นนายท่านสามยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ใบหน้าของชายหนุ่มประดับรอยยิ้มอบอุ่น สวมชุดคลุมยาวตลอดร่าง ยามพูดจาก็ทำทีเออออไปกับฝ่ายตรงข้าม
เมื่อชายข้างๆ เผลอกระแทกเขาเข้าทีหนึ่ง เขาก็เพียงยกมือขึ้นบังกายเท่านั้น
ใบหน้าของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็ไร้สีเื
เพราะเขาเพิ่งจะกระจ่างแจ้งว่าเ้าก้างปลานั้นหายตัวไปได้อย่างไร
ทันใดเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่านายท่านสามกำลังมองตนอยู่
ความขึงเครียดบีบรัดเด็กหนุ่มไปทั้งร่าง รู้สึกได้ว่าร่างกายตนสั่นเทิ้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“พิพิ เลี่ยงเลี่ยงมาแย้ว” เมื่อเสียงเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นข้างหูของอาลู่ ความกลัวเมื่อครู่ก็พลันอันตรธานไป
อาลู่รู้สึกว่าพลังทั้งหมดที่หายไปค่อยๆ หวนคืนสู่กาย
แล้วจึงหันไปตามเสียงของทารกน้อย แหงนหน้าไปมอง้า
แม่นางหลัวมาแล้ว
แม่นางหลัวในวันนี้สวมชุดสีขาว เมื่อประจวบรวมกับผิวของนางที่ขาวราวกับหิมะ ก็ทำให้ร่างบางดูราวกับจะเปล่งแสงได้
อาลู่นั้นรู้สึกว่าไม่ได้พบแม่นางหลัวเพียงวันเดียว พบกันวันนี้นางกลับงดงามยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ขนาดอาลู่ที่ยังเป็แค่เด็กหนุ่มที่ยังโตไม่เต็มวัยคนหนึ่งยังคิดเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าชายฉกรรจ์ในค่ายแห่งนี้ว่าจะคิดเช่นไร
การปรากฏตัวของหลัวอู๋เลี่ยงทำให้ค่ายแห่งนี้จากที่เคยเงียบเชียบก็เปลี่ยนมาคึกคักขึ้นทันตา
ส่วนเด็กหนุ่มนั้นกลัวว่าน้องสาวตนจะโผเข้าหาแม่นางหลัว จึงได้แต่จับมือนางกดไว้กับบ่าตน โชคดีที่ทารกน้อยนั้นรู้ความ จึงแค่ะโประโยคเมื่อครู่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทว่าทันใดแม่นางหลัวก็เดินเข้ามาใกล้ตน อาลู่จึงรีบพาน้องสาวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ชายหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์นี้ ต่างพากันหัวเราะครืน
เพราะหากเป็พวกเขาที่นางฟ้าเช่นแม่นางหลัวเดินเข้ามาใกล้เช่นนี้ ก็มีแต่จะเบียดเข้าไปแนบชิด แม้ความจริงอาจจะไม่กล้าทำเช่นนั้น ทว่าเพียงได้สูดกลิ่นกายนางสักหน่อยก็ไม่เลวนัก
“เ้าลูกหมานั่นมันกลัวจนถึงขั้นถอยหนีเชียวรึ เกรงว่ายังไม่เคยได้รู้จักสตรีเสียมากกว่ากระมัง”
“รอเ้าเด็กนั่นมันรู้ว่าหญิงงามนั้นดีอย่างไร มันต้องแทบจะพุ่งตัวไปหาเสียกระมัง”
“วะฮ่าๆๆ”
เหล่าชายโฉดหัวเราะอย่างไม่เกรงฟ้ากลัวดิน
ทว่านายท่านสามกลับไม่ได้ร่วมหัวเราะไปด้วย
“ได้ยินว่าเ้ามาแทนตำแหน่งของเ้าก้างปลา แต่จะลงไปจี้ปล้นข้างล่างูเา เ้าจะพาทารกน้อยไปด้วยได้อย่างไร หากจะลงไปก็ฝากนางไว้กับข้า รอเ้ามีชีวิตกลับมา ข้าจึงค่อยคืนนางให้เ้า...อะแฮ่ม”
หลัวอู๋เลี่ยงมิรู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ลำคอของนางก็แห้งผาก ยามสนทนาจึงต้องกระแอมออกมา
เด็กหนุ่มพลันค่อยๆ คลายมือที่กำอยู่ แล้วหันมองชายโฉดที่ออกันเพื่อรอชมเื่สนุก
ทว่ากลับไม่ได้มองไปถึงนายท่านสามที่ยืนอยู่ไกลๆ เพราะเขารู้ว่าชายหนุ่มคงจะยืนมองเขาอยู่เป็แน่
เด็กหนุ่มเมื่อคลายมือแล้ว ก็วางทารกน้อยลงอย่างระมัดระวัง
เด็กน้อยที่วันก่อนๆ เพียงแค่เห็นแม่นางหลัวก็โผเข้าหา วันนี้กลับต่อสู้ขัดขืนไม่ยอมไปหาสตรีตรงหน้า ทารกน้อยเอาแต่รั้งรอบคอของพี่ชายตนไว้ สองมือน้อยประสานเข้ากันแน่นราวกับกำลังใช้แรงทั้งหมดของตนที่มีต่อสู้ ซ้ำดวงตาคู่โตนั้นยังเบิกกว้างถลึงมองเขา
อาลู่จึงได้แต่ตบมือคู่น้อยเบาๆ ก่อนจะยิ้มขื่นออกมา “วางใจเถิด พี่ชายต้องกลับมารับเ้าแน่”
มือคู่น้อยที่ประสานกันอยู่ค่อยๆ ถูกอาลู่แกะออก ใช้แรงอยู่นานสองนาน นางจึงยอมไปอยู่ในอ้อมกอดแม่นางหลัว
เด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองแม่นางหลัวพาน้องสาวตนจากไป
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับตนเป็คนไร้ญาติขาดมิตร ไม่เหลือใครอีกต่อไป
เพราะแม้กระทั่งเ้ามืดก็ค่อยๆ เดินตามแม่นางหลัวจากไปเช่นกัน
ชายโฉดรอบกายพลันหัวเราะกันอีกครั้ง
ทารกน้อยบนไหล่แม่นางหลัว ยื่นมือมาโบกให้พี่ชายเบาๆ อีกทั้งเขายังเห็นว่านางกำลังร้องเรียกว่า “พิ พิ”
หลัวอู๋เลี่ยงขณะอุ้มทารกน้อยอยู่ก็เห็นว่านางนั้นปีนขึ้นมาบนไหล่ตนเพื่อโบกมือให้เด็กหนุ่ม นางจึงพูดกับทารกน้อยอย่างจนปัญญาว่า “ไกลขนาดนี้ พี่ชายเ้าไม่ได้ยินหรอก”
เฉินโย่วน้อยพยายามโบกมืออย่างไม่ลดละ เช่นนี้พี่ชายจะต้องเห็นนางแน่ๆ
เห็นแล้ว
พี่ชายเห็นนางแล้วจริงๆ
สุดท้ายทารกน้อยจึงตัดสินใจซบลงกับไหล่ของแม่นางหลัว เฝ้ามองร่างพี่ชายที่ค่อยๆ มีขนาดเล็กลงทุกทีอย่างทรมานใจ
นางมิได้พยายามกล่าวอันใดอีก เพียงแต่มือคู่น้อยก็ยังไม่ยอมหยุดโบกเช่นกัน