เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง แสงตะวันที่สาดลงมานั้นน่ามองกว่ายามใด แม้จะไม่พอให้กายอุ่นเท่าใด ทว่าบรรยากาศที่งดงามเช่นนี้กลับพอจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้ ยิ่งเมื่อสายลมเย็นๆ พัดกระทบใบหน้า จิตใจที่เคยเซื่องซึมก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย
วันนี้แม่นางหลัวที่เฉินโย่วน้อยรอคอยยังไม่ทันมา ก็มีคนจากในค่ายกลุ่มหนึ่งมาถึงแทน อาลู่แบกทารกน้อยขึ้นเขามาถึงลานเลี้ยงม้า เขาก็เห็นคนกลุ่มนี้ยืนออกันอยู่แล้ว
ในวันปกตินั้นนอกจากเหล่าปา ก็มีเพียงแม่นางหลัวและสาวใช้เท่านั้นที่ขึ้นมาที่นี่ ส่วนคนเหล่านี้เด็กหนุ่มล้วนไม่เคยพบเห็น
เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ปรากฏตัว อาลู่ก็อดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานไม่ได้
“เ้าก้างปลา ไอ้ลูกหมานั่นไม่รู้ว่ามันไปตายที่ไหนเสียแล้ว หายหัวไปทั้งคืน เช้ามาก็ไม่เห็นกระทั่งเงา เหล่าปา ท่านเห็นหัวมันบ้างหรือไม่”
เหล่าปาได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเ้าก้างปลาหายไปไหนเช่นกัน
“ที่ลานเลี้ยงม้ามีแค่ข้ากับเ้าเด็กสองคนนั้น ส่วนคนอื่นข้าไม่ยักจะเห็น”
“นายท่านใหญ่ให้พวกข้ามาเลือกม้า ท่านไปเฝ้าไอ้เ้าาาม้าน่าตายนั่นให้ดีเถิด” ชายหนุ่มในกลุ่มแจ้งแก่เหล่าปาพลางยื่นแผ่นป้ายคำสั่งให้เขา
เหล่าปาเมื่อรับมาก็อ่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
“นายท่าน้าม้าห้าตัว พวกเ้าก็เลือกกันเอาเองเถิด แต่อย่าไปเลือกลูกม้าที่อายุน้อยกว่าครึ่งปีเชียว พวกมันยังไม่ค่อยมีแรงเท่าใด”
เหล่าชายหนุ่มที่เดินทางมานั้น เป้าหมายที่แท้จริงคือมาเลือกม้ากลับค่าย ส่วนเื่เ้าก้างปลานั้นก็เพียงถือโอกาสลองถามดูเท่านั้น
ส่วนเื่เ้าม้าสีนิล เมื่อเหล่าชายหนุ่มเห็นว่าเ้าม้าสีนิลนั้นยืนอยู่อีกด้าน ซ้ำยังมีเ้าเด็กสองคนนั้นคอยดูอยู่ก็รู้สึกวางใจ
อาลู่เมื่อได้ยินเหล่าชายหนุ่มพูดว่าเ้าก้างปลาหายไปเสียแล้ว เขาก็ยิ่งมั่นใจทันทีว่าคนที่ถูกโยนลงไปในสระกระดูกเมื่อคืนนั้นจะต้องเป็เ้าก้างปลาไม่ผิดแน่ กระทั่งคนที่ลงมือโยนอีกฝ่ายลงไป เด็กหนุ่มก็พอจะรู้ว่าเป็ใคร เพียงแต่ไปกล้ายืนยัน
ชายหนุ่มจากค่ายห้าคนรีบร้อนเดินเข้าไปฝูงม้า จึงทำให้ม้าทั้งฝูงพลันโกลาหล บ้างก็ร้องเสียงแหลม บ้างก็วิ่งไปมา
เหล่าปายืนมองภาพนั้นด้วยแววตาเ็า
เหล่าชายหนุ่มเมื่อเลือกม้าที่้าแล้ว ก็ลองขี่วนอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็ยกแส้ขึ้นฟาดกระตุ้นให้ม้าออกวิ่งราวกับบินกลับค่ายไปทันที ไม่แม้แต่จะเอ่ยลาเหล่าปา
เหล่าปายืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลัง หลังที่คดงอนั้นดูหนักอึ้งเหลือเกิน
อาลู่ยืนมองชายเ่าั้ขี่ม้าจากไป ในใจก็บังเกิดความอิจฉา ท่าทางยามขี่ม้าของพวกเขานั้นช่างดูมีพลังนัก
“ท่านอาปา ข้าขอขี่ม้าบ้างได้หรือไม่” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามเหล่าปา
เหล่าปาได้ยินดังนั้นจึงหันกลับมามองเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นร่างกายที่ยังไม่ทันโตเป็หนุ่มเสียด้วยซ้ำของอาลู่ ก็คิดจะส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่าเมื่อเห็นแววตาคาดหวังของเด็กหนุ่ม ก็ได้แต่พยักหน้าตอบ
“ได้”
อาลู่เมื่อได้ยินเหล่าปาอนุญาตให้ตนขี่ม้าได้ก็ลิงโลด
“ขอบคุณท่านอาปามาก”
เหล่าปาเพียงส่ายหน้า ในใจคิดว่ามีอันใดน่าขอบคุณกัน เ้าเด็กนี่ระหว่างตกใส่ขี้ม้ากับตกลงมาตายก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดก่อนกัน สุดท้ายก็อดไม่ไหวออกปากแนะนำเด็กหนุ่ม “เลือกม้าตัวที่มันใจเย็นสักหน่อยก็แล้วกัน อย่าไปยุ่งกับเ้าาาม้าเชียว ไอ้ตัวนั้นนิสัยมันเกินเยียวยา ดีไม่ดีจะถูกมันเหยียบตาย”
ทว่าเหล่าปายังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน เมื่อชายหนุ่มและเด็กหนุ่มหันไปมองก็เห็นว่าเฉินโย่วน้อยกำลังไถลตัวลงจากหลังเ้าม้าพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ เ้าาาม้าผู้สูงส่งนั้นเพียงเพื่อจะทำให้เด็กน้อยมีความสุข ถึงขั้นยอมโน้มศีรษะตนจรดพื้น เพื่อให้เด็กน้อยไถลจากหลังตนเล่น เด็กน้อยเมื่อไถลลงจากหลังเ้าม้าแล้ว ก็นอนกลิ้งไปมาอยู่ในกองหญ้าที่รองรับอยู่ด้านล่าง จากนั้นจึงตามด้วยเสียงหัวเราะ “ฮะๆๆ” ของทารกน้อยที่ดังขึ้น
ต่อมาเฉินโย่วน้อยจึงเริ่มปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเนินดินที่นูนสูงขึ้นข้างกายตน เ้าาาม้าเมื่อเห็นดังนั้นก็พลันน้อมกายอย่างว่าง่าย ให้ทารกน้อยปีนขึ้นหลังตนเพื่อไถลลงมาอีกครั้ง
เหล่าปาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็พลันคิ้วกระตุก หลังที่งอคดอยู่ถึงกับสั่นน้อยๆ
อาลู่เมื่อเห็นท่าทางของเหล่าปาก็นึกขันจนอยากหัวเราะ แต่ก็ต้องกลั้นใจกลืนเสียงหัวเราะนั้นลงคอ
“ท่านอาปา ท่านสอนข้าเลือกม้าเถิดว่าม้าตัวไหนจึงจะถือว่าอ่อนโยนบังคับง่าย” ทว่าเหล่าปานั้นกลับมีโทสะ จูงม้าข้างกายตนจากไปทันที
เหล่าปารู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย
ไอ้เ้าาาม้านั่นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาแตะ ผ่านไปไม่ทันไร บัดนี้ถึงกลับยอมให้ทารกน้อยที่ยังเดินไม่ได้คนหนึ่งไถลเล่นบนหัวมันเสียด้วยซ้ำ เขาเกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็นม้าตัวไหนที่ชีวิตตกต่ำถึงเพียงนี้
เด็กหนุ่มลากเหล่าปาที่ยังคงโกรธขึ้งอยู่เข้าไปในฝูงม้า ทว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ ข้างหลังตนดังแว่วขึ้นอีก คิ้วของเหล่าปาก็เริ่มกระตุกรุนแรงอีกครั้ง ทว่าเมื่อถึงเวลาที่จะต้องคัดเลือกม้า ท่าทีของเหล่าปาก็เปลี่ยนสงบเยือกเย็นราวกับเื่เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
พวกคนในค่ายดูถูกเหล่าปาว่าเป็เพียงชายหลังค่อมแก่ๆ เพียงเพราะมิได้รู้ว่าความจริง ยามเขาเลือกม้านั้นช่างพิถีพิถันกว่าใคร และเป็เพราะฝีมือในการเลือกม้าของเขานี้เองที่ช่วยชีวิตคนเ่าั้ไว้ได้
อาลู่แม้จะใจร้อนอยากลองขี่ม้าไวๆ ทว่าก็ยังอดทนฟังคำของเหล่าปาอย่างตั้งใจ เพราะยากนักที่ชายหนุ่มจะยอมพูดมากถึงเพียงนี้ในยามปกติ
“นี่เ้าดูกีบเท้ามันให้ดี ตัวที่ลักษณะเช่นนี้จะวิ่งเร็ว ทว่าความอดทนไม่ค่อยดีนัก ส่วนไอ้เ้าตัวเนื้อหนาๆ เช่นนี้ อึดแรงดี วิ่งได้ไกล ขนก็หนาแสดงว่าทนความหนาวได้”
คนหนึ่งถาม คนหนึ่งตอบ คนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง ภาพของชายหนุ่มและเด็กหนุ่มข้างกายดูหลงใหลในสิ่งเดียวกันปรากฏขึ้นกลางทุ่งหญ้า
อาลู่นั้นมีความสุขกับการเลียนแบบท่าทางของเหล่าปา เด็กหนุ่มประเดี๋ยวก็เดินไปจับม้าตัวนั้นทีตัวนี้ที
ส่วนเฉินโย่วน้อยที่ไถลเล่นอยู่บนหลังเ้าม้าสีนิลไม่นานนักก็เริ่มเบื่อ จึงนั่งลงบนหลังเ้าม้ามองหาพี่ชายตน พลันพบว่าพี่ชายนั้นหายไปเสียแล้ว นางจะทำเช่นไรดีเล่า ตอนนี้นางเริ่มหิวแล้ว
ทารกน้อยบนหลังม้าจึงได้แต่ตบหลังมันเบาๆ พร้อมทำท่าขบคิด ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตนหยิบไข่มุกที่ชอบเล่นออกมาเม็ดหนึ่งให้เ้าม้าสีนิลดม เ้าม้าสีนิลเมื่อดมแล้วก็พยักศีรษะสองสามที ก่อนจะเริ่มออกย่ำเท้าพาทารกน้อยไปหานมดื่ม
ระหว่างทางเฉินโย่วน้อยและเ้ามืดไม่ได้พบกับใครคนอื่นอีก เ้าม้าดูสงบนิ่งกว่าเมื่อครู่ เมื่อย่ำเท้าผ่านเขตถ้ำมาเพียงไม่นานก็ถึงเรือนแม่นางหลัว
หลัวอู๋เลี่ยงเดิมทีวันนี้นางก็อยากไปดูเ้าทารกน้อยสักหน่อย ทว่าเช้ามาก็ถูกห้ามไม่ให้ออกจากเรือนเสียแล้ว เสี่ยวชุนบอกว่าร่างกายนางไม่ค่อยจะสู้ดีนัก นายท่านใหญ่จึงไม่อนุญาตให้นางออกจากเรือน ให้นางรอท่านหมอมาตรวจอาการเสียก่อน
แม้เมื่อคืนนางจะอาเจียนเป็เื แต่วันนี้นางกลับรู้สึกว่าร่างกายตนนั้นไม่มีปัญหาอะไร ซ้ำยังจะรู้สึกดีกว่าที่ผ่านเสียด้วยซ้ำ ทว่านายท่านใหญ่ก็ไม่อนุญาตให้นางออกไปอยู่ดี นางเองก็จนปัญญา ได้แต่ทำตามเท่านั้น
นางรู้ฐานะตัวเองดีว่าที่ยังสามารถลอยหน้าลอยตา ยังสามารถใช้มารยาสารพัดอยู่ได้นั้น ล้วนเป็เพราะหลีโฉ่วยังเมตตานางอยู่
เมตตานางราวกับสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง
ท่านหมอเพิ่งจะจ่ายยาให้นาง นางจึงนั่งดื่มยาอยู่เพียงลำพัง ส่วนสาวใช้เสี่ยวชุนนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ส่วนเสี่ยวเถานั้นคงจะกำลังต้มยาอยู่
ใบหน้างามยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือตัวเดิม หมายมั่นว่าอักษรที่เมื่อวานนางยังเขียนไม่เสร็จนั้น จะลงมือเขียนต่อวันนี้ให้เสร็จสิ้น
หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบห้อง ห้องของนางนั้นนับว่าหรูหรา ข้าวของล้วนแต่ตกแต่งตามความพอใจของนาง ดังนั้นนอกจากถนนกระดูกสีขาวนั้น อย่างอื่นล้วนเป็ของที่นางพึงพอใจ
จากหน้าโต๊ะที่หญิงสาวนั่งอยู่ สามารถมองเห็นเงาสะท้อนจากกระจกที่กำลังสะท้อนภาพใบหน้างดงามของตน ทว่าในวันปกตินั้นนางกลับต้องใช้ผ้าดำมาคลุมกระจกนี้เสีย
นางไม่ชอบมองใบหน้าของตัวเอง พอๆ กับในอดีตที่นางเคยชอบมองมัน
นอกหน้าต่างเห็นเป็ถนนกระดูกสีขาวและต้นไม้เขียวขจี รวมถึงต้นไผ่ สิ่งเหล่านี้ล้วนได้มาเพราะหลีโฉ่วอยากจะเอาใจหญิงงาม จึงลงแรงไปไม่น้อย ความตั้งใจของเขาที่จะเอาใจสตรีรักนั้นช่างเหมือนกับความตั้งใจของเขายามฆ่าคน พิถีพิถันหมดจด
นอกจากนี้ข้างต้นไผ่นั้นยังมีสระน้ำเล็กๆ อีกสระหนึ่งสำหรับเลี้ยงปลา แต่กระนั้นปลาพวกนี้กลับไม่น่ามองนัก พวกมันล้วนเป็ปลาสีดำตัวใหญ่ เคราะห์ดีที่วันปกติมันจะแอบซ่อนตัว ไม่ออกมาให้คนเห็นเท่าใดนัก
หลัวอู๋เลี่ยงชอบทอดสายตาออกไปมองต้นไผ่ และต้นไม้ที่เรียงรายกันอยู่นัก
ต้นไผ่ที่ไร้ใบจนแทบโกร๋นลู่ตามลม และเ้าปลาสีดำที่แทบจะมองไม่เห็นเพราะหลบซ่อน
ถนนกระดูกสีขาวที่ทอดยาว
นางเชี่ยวชาญด้านการวาดรูป
นางวาดได้ดีเสมอมา
สายตาเมื่อประสบกับทัศนียภาพตรงหน้าตน กระดูกของผู้วายชนม์ ใบไม้แห้งโรยรา สระน้ำที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา สิ่งเหล่านี้ช่างเป็ทัศนียภาพที่เหมาะสมแก่การสร้างงานศิลปะเสียจริง ราวกับใครที่ได้พบเห็นภาพตรงหน้าก็ล้วนต้องปวดใจ ดังนั้นแม้ทิวทัศน์ตรงหน้าจะนับว่าสวยงาม ทว่าหลัวอู๋เลี่ยงกลับไม่ยินยอมจะวาดมัน
นางไม่อยากให้ใครมาเห็นตัวตนของนางผ่านภาพที่นางวาด เช่นเดียวกับการเขียนพู่กัน นางก็เพียงเขียนส่งๆ เพียงหยิบพู่กันแล้วก้มหน้าตวัดไปได้ไม่กี่คำก็เงยหน้าขึ้น
ประจวบเหมาะกับสายตาที่สบเข้ากับเ้าม้าสีนิลตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ในเขตเรือน บนหลังม้าหนุ่มมีทารกน้อยคนหนึ่งขี่อยู่ เ้าตัวเล็กเอาแต่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ
เ้าม้าค่อยๆ ย่ำเท้าเข้ามหาหญิงงามตรงหน้า
ทัศนียภาพแห้งเหี่ยวที่หญิงสาวยังชื่นชมอยู่เมื่อครู่ มิทันรู้ตัวก็มีม้าหนุ่มมายืนบัง ซ้ำยังพ่นลมหายใจร้อนใส่ตนเสียแล้ว
เฉินโย่วน้อยเมื่อเห็นสตรีหลังหน้าต่าง ใบหน้าก็เผยแววดีใจ ราวกับว่าในที่สุดก็หานางเจอแล้ว
ทารกน้อยพลันะโลั่น “เลี่ยง เลี่ยง”