Chapter twelve: Simon’s never been anywhere
โถงทางเดินชั้นล่างของคฤหาสน์ควินท์เรลมักจะเงียบสงบเสมอเมื่อเป็วันธรรมดา แพทริเซียเดินก้าวเดินช้า ๆ สำรวจทีละห้องว่าจะมีใครอยู่ให้ทักทายบ้างหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีแม้แต่เงาของคนให้ทักทายเลยสักนิด
บ้านหรือบ้านผีสิงก็ไม่รู้
ถึงแม้ตระกูลควินท์เรลนั้นจะใหญ่โตและร่ำรวยมากแค่ไหนแต่แพทก็ไม่เคยคิดจะอิจฉาความร่ำรวยเลยสักนิด เพราะการอยู่ที่นี่ไม่มีวันไหนที่จะได้เห็นคนในตระกูลได้ทานข้าวกันอย่างพร้อมเพรียงเลยสักครั้งและความสัมพันธ์ในบ้านก็ดูเหมือนจะห่างกันพอ ๆ กับแต่ละห้องที่ถูกสร้างไว้เลย ถ้าหากต้องเลือกระหว่างการอยู่คฤหาสน์ที่ดูกว้างใหญ่และสะดวกสบายครบครันกับการได้บ้านหลังเล็กที่แสนอบอุ่นอย่างบ้านของเขาที่ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันในทุก ๆ วัน ได้ดูโทรทัศน์ ได้ทำกิจกรรมด้วยกันและมอบความรักให้กันตลอดเวลา
แพทคงขอเลือกบ้านหลังเล็กของเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ
คนตัวเล็กเดินผ่านห้องรับแขกขนาดใหญ่ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเดินผ่านที่นี่มาก่อน ห้องขนาดใหญ่ที่มีโซฟาตัวกว้างตั้งอยู่ที่กลางห้อง มีแกรนด์เปียโนสีขาวขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่จนถ้าหากเขามาครั้งแรกเขาคงไม่รู้ว่าที่นี่เป็บ้านของคนเพราะทุกอย่างถูกตกแต่งราวกับล็อบบี้โรงแรมสุดหรูที่เขาเห็นผ่าน ๆ จากในรายการโทรทัศน์เพียงแค่นั้น
และการเดินมาสำรวจในครั้งนี้ก็ทำให้แพทริเซียพบว่ายังมีห้องอีกมากมายที่เขาไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่ เพียงแค่จินตนาการว่าตัวเองหลงในคฤหาสน์แห่งนี้สักวันแพทก็ปวดหัวแล้วละเพราะแค่ลำพังจะจำทางไปห้องครัวเฉย ๆ ก็มีทางเข้ามากมายซะจนแพทเหนื่อยใจ คนตัวเล็กเดินสอดส่องอย่างเพลิดเพลินไปตามห้องขนาดกว้างของทั้งสองฝั่งที่ดูจะแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าห้องไหนมีเอาไว้ทำอะไร แต่สุดท้ายเขาก็ต้องชะงักเพราะเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากประตูบานใหญ่ตรงหน้า
“แต่ความจริงแล้วคุณไซม่อนก็ควรจะรับผิดชอบและจัดสรรเวลาให้ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอคะ? เรามีเรียนกันแค่อาทิตย์ละสองครั้งแล้วนี่ก็ถึงกำหนดส่งงานแล้วด้วย ถ้าหากคุณไซม่อนยังคงส่งงานช้าแบบนี้อยู่ เราอาจจะต้องเลื่อนการสอบไปอีกซึ่งนั่นหมายความว่าอาจจะไปหนักใน่ก่อนเตรียมตัวแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทนะคะ”
“ครับ ผมจะพยายาม”
“ถ้าอย่างนั้นภายวันศุกร์นี้ขอจดสรุปเื่ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดพร้อมข้อมูลจากงานวิจัยที่อ้างอิงใช้ทฤษฎีนั้น ๆ ด้วยนะคะ”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มเรียนกันต่อนะคะเพราะเสียเวลาไปเยอะมากแล้วแถมคุณไซม่อนยังมาสายอีกด้วย รบกวนครั้งหน้าไม่มาสายแล้วนะคะ”
“ครับ”
ขนาดอีกฝ่ายพูดเสียงเบาจนคนที่เอาหูแนบกับประตูอย่างเขาแทบจะไม่ได้ยิน แพทริเซียยังคงนึกใบหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายออกเพราะเสียงที่หงอยและแ่จนรู้สึกได้แบบนั้น จริง ๆ เขาก็ไม่ได้อยากเข้าข้างไซม่อนเลยเพราะสิ่งที่คุณครูคนนั้นพูดก็ถูกทุกอย่าง ไม่ได้ติเตียนอะไรเกินจริงเลยสักนิด แต่เพราะน้ำเสียงหงอย ๆ นั้นแหละที่ทำให้เขารู้สึกแย่ไปด้วย
แพทริเซียค่อย ๆ พาตัวเองออกมาจากบริเวณหน้าห้องเรียนของไซม่อนอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะมันคงไม่ใช่เื่ดีที่มีใครผ่านมาเห็นตอนที่เขาเอาหูแนบอยู่แบบนั้น แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ พอได้ยินเสียงที่สั่นเครือของไซม่อนแบบนั้นก็ทำให้เขาอดไม่ได้เลยที่จะห่วงนักเรียนจำเป็ของตัวเอง เขาเองก็ไม่ได้อยากให้ไซม่อนกลับมีแววตาเศร้า ๆ เหมือนในตอนแรกที่เจอกันอีกแล้วด้วย
เขาจะทำยังไงดีนะ
แต่พอได้คิดถึงเื่อัลฟ่าหนุ่มขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ในห้องเรียนล่าสุดก็ลอยมาซ้อนทับจนใบหน้าหวานเริ่มเห่อร้อนขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งสายตาและกลิ่นของอีกฝ่ายที่ยังคงตราตรึงอยู่ทำแพทริเซียรีบก้าวเดินเร็ว ๆ ออกมาจากคฤหาสน์ตรงไปที่สวนเล็กทันที
หลังจากวันนั้นเขาและไซม่อนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยประมาณสามวันเพราะตารางเรียนที่ถูกเปลี่ยนใหม่จากคุณเจมส์ ในตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงเปลี่ยนตารางเรียนกะทันหันขนาดนั้นแต่พอได้ฟังที่ไซม่อนพูดกับอาจารย์อีกคนวันนี้ก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงต้องเพิ่มวิชาเรียนอีกหลายวิชาจึงทำให้เวลาทุกอย่างมันดูอัดแน่นกันไปซะหมด เขาไม่อยากจะนึกสภาพอีกฝ่ายวันนี้เลยด้วยซ้ำว่าหลังจากผ่านการเรียนหนักหนาขนาดนั้นแล้วจะเป็ยังไง
แต่ละวิชาที่เรียนก็ดูจะไม่ง่ายซะด้วยสิ
หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่มาเป็ลมล้มพับในวิชาของเขาก็พอ
- Simon’s theory -
ไม่เป็ลมล้มพับก็จริงแต่ใบหน้าซีดเซียวที่ดูอิดโรยของอัลฟ่าหนุ่มยิ่งทำแพทริเซียสงสารขึ้นมาจับใจ คนตัวเล็กเปิดประตูเข้ามาในห้องเรียนและก็พบว่าไซม่อนนั้นกำลังงีบหลับอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่อยู่แล้ว มันไม่ใช่เื่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายจะมาก่อนเวลาเรียนจริงเพราะหลังจากที่เขาและไซม่อนปรับความเข้าใจครั้งใหญ่กันไป อัลฟ่าหนุ่มก็ไม่เคยมาสายอีกเลยสักครั้ง แต่ดูอีกฝ่ายที่กำลังเหน็ดเหนื่อยแม้กระทั่งตอนหลับนั่นสิ น่าสงสารชะมัด
เสียงลมหายใจที่กำลังผ่อนเข้าออกหนัก ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ทำให้รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายหลับสนิทจริง ๆ และแพทก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำที่จะปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาเรียนทั้งที่ดูเหนื่อยมากขนาดนั้น โอเมก้าตัวเล็กค่อย ๆ ก้าวเดินไปหาอีกฝ่ายที่โซฟาตัวใหญ่พร้อมกับผ้าห่มผืนเล็กที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ เขาคลุมผ้าห่มให้อัลฟ่าตัวโตที่กำลังจมอยู่ในห้วงนิทราอย่างเบามือก่อนจะไปนั่งที่โซฟาตัวเล็กข้าง ๆ กัน
ตอนหลับก็เหมือนลูกหมาเหมือนกันนะเนี่ย
ดวงตากลมไล่พิจารณามองใบหน้าอีกคนชัด ๆ เมื่อได้เห็นอย่างใกล้ชิด ผิวพรรณของไซม่อนดูสะอาดสะอ้านและเกลี้ยงเกลา, คิ้วเข้มที่เป็สีเดียวกับผมดำขลับของเ้าตัว, ดวงตาที่มักจะเป็สระอิตอนลืมตาตื่น, จุดขี้แมลงวันเล็ก ๆ ใต้ตาข้างซ้ายที่เหมือนดวงดาวแต่งแต้มอยู่, จมูกโด่งเป็สันที่เป็เอกลักษณ์, และสุดท้าย
ริมฝีปากสีสดที่รับกับใบหน้าได้อย่างสมบูรณ์
หากมีใครสักคนบอกว่าไซม่อน ควินท์เรลเป็ลูกรักของพระเ้า
ตัวเขาเองก็คงเชื่ออย่างสนิทใจเหมือนกัน
เสียงพึมพำในลำคอจากคนที่กำลังหลับใหลพร้อมท่าทีการขยับตัวนั้นทำเอาแพทริเซียนิ่งไปชั่วครู่ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ตัวเองกำลังนั่งมองไซม่อนหลับอย่างไม่รู้ตัวแบบนั้น คนตัวเล็กเอาแต่ครุ่นคิดถึงชีวิตของอีกฝ่ายในอนาคต ถึงแม้เส้นทางที่เขาจะต้องเดินมันจะสดใสขนาดไหนแต่สิ่งที่น่าห่วงคือความโดดเดี่ยวน่ะสิ
มีหลายครั้งที่แพทสังเกตเห็นความโดดเดี่ยวและความเหงาที่ฉายชัดออกจากสายตาอีกคน ถ้าพูดในฐานะคุณครูจำเป็อย่างเขามันก็คงอดห่วงไม่ได้แต่ถ้าให้พูดในฐานะคนธรรมดาทั่วไปที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็คงกลายเป็เพียงคนแปลกหน้าของไซม่อนเท่านั้น เขาก็คงหวังเพียงให้อีกฝ่ายได้ก้าวเดินไปข้างหน้าแบบไม่โดดเดี่ยวแบบนี้ ขอให้เส้นทางข้างหน้าของเขามีเพื่อนสนิทอย่างเจซคอยประคับประคองไปด้วยกัน
แล้วเขาจะห่วงอีกฝ่ายมากมายขนาดนั้นไปทำไม
ในเมื่อสุดท้ายแล้วอัลฟ่าอย่างไซม่อนก็ต้องจับคู่กับโอเมก้าสักคนอยู่ดี
คนตัวเล็กค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำการสอนของตัวเอง ถึงบทเรียนที่ไซม่อนควรจะได้เรียนมันยังมีอีกมากมายแค่ไหน ในสัปดาห์นี้เขาก็คงไม่คิดจะโถมทุกอย่างใส่อัลฟ่าหน้าซามอยด์นั่นหรอก ไว้ค่อยเรียนกันในสัปดาห์ต่อไปก็ไม่ใช่เื่แย่เท่าไหร่นัก
เพราะสิ่งที่เขาจะแสดงออกมามันก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจนี่นา
หากสุขภาพจิตใจแย่ ร่างกายเหนื่อยแบบนี้จะทำมันออกมาได้ดีได้ยังไงกัน
อย่างน้อยการได้พักสมองบ้างก็คงเป็เื่เล็ก ๆ ที่เขาทำให้ไซม่อนได้ล่ะนะ
แพทริเซียปล่อยให้ล่วงเลยผ่านไปทั้งที่ยังไม่ได้ปลุกอัลฟ่าตัวโตที่นอนคุดคู้อยู่ที่เดิมเลยสักครั้ง เสียงลมหายใจที่ยังคงผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอของไซม่อนนั้นยังคงดังอยู่เป็ระยะทำให้แพทที่กำลังนั่งเคลียร์แผนการสอนของตัวเองใหม่นั้นสบายใจได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตื่นขึ้นมาก่อนหมดเวลาเรียนเสียก่อน ดวงตากลมโตเหลือบมองดูนาฬิกาและก็พบว่าหมดเวลามาเกือบสิบนาทีแล้ว เขาจึงค่อย ๆ เก็บของทั้งหมดบนโต๊ะและพยายามเปิดประตูห้องเรียนให้เบาที่สุดเพื่อที่เสียงจะได้ไม่ไปรบกวนคนที่กำลังหลับใหลอยู่
“คุณมอร์แกน วันนี้เลิกช้าเหรอคะ?” แพทริเซียสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงจากพี่เลี้ยงของไซม่อนดังขึ้นจากด้านหลังทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันตั้งตัว
“ขออภัยที่ทำให้ใค่ะคุณมอร์แกน”
“ไม่เป็อะไรเลยครับคุณจัสมิน”
“คุณไซม่อนยังอยู่ข้างในไหมคะ?”
“ครับ กำลังหลับอยู่”
คนตัวเล็กขยับร่างที่บังกระจกใสตรงประตูออกให้พี่เลี้ยงของไซม่อนดูพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ตายแล้ว ทำไมคุณไซม่อนหลับไปแบบนั้นคะเนี่ย”
“น่าจะเพลียนั่นแหละครับ”
“ว่าแล้วเชียว คุณไซม่อนต้องไม่ไหวแน่ ๆ” หญิงสาวยกมือทาบอกพร้อมมองเ้านายของตนด้วยสายตาเป็ห่วง
“่นี้คุณไซม่อนเรียนหนักมากเลยเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะคุณมอร์แกน จากที่เคยนอนไม่เกินเที่ยงคืน ตอนนี้ก็เปลี่ยนมานอนตีสองตีสามแล้วยังต้องไปซ้อมกอล์ฟทุกเช้าอีก ขอโทษคุณมอร์แกนด้วยนะคะ”
“ไม่เป็อะไรเลยครับ ผมเข้าใจ”
“เดี๋ยวยังไงฉันขอตัวเข้าไปปลุกคุณไซม่อนก่อนนะคะ จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”
แพทริเซียพยักหน้าให้พี่เลี้ยงของไซม่อนพร้อมเดินออกจากหน้าประตูให้หล่อนเข้าไปได้อย่างสะดวก แต่แล้วความคิดวูบนึงของแพทริเซียก็ผุดขึ้นมาจึงต้องเรียกคนที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปไว้ก่อน
“คุณจัสมินครับ”
“คะคุณมอร์แกน?”
“พรุ่งนี้บอกคุณควินท์เรลไปเจอกับผมที่สวนใหญ่เลยนะครับ”
“คะ?”
“ผมจะสอนคุณควินท์เรลนอกสถานที่ครับ ถ้าอยากเตรียมขนมหรือของทานเล่นให้คุณควินท์เรลก็เตรียมได้เลยนะครับ รบกวนด้วยครับคุณจัสมิน”
แพทริเซียทิ้งท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้มหัวให้จัสมินเพื่อเป็การบอกลา ถึงแม้เขาจะรู้ดีก็เถอะว่าการไปที่สวนมันไม่ได้ช่วยอะไรในการเรียนการสอนของเขากับไซม่อนเลย แต่การที่ไม่ได้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมและเอาแต่ทบทวนบทเรียน ฝึกซ้อมการเดิน การนั่งแบบนั้นตลอดก็คงทำให้ทายาทควินท์เรลได้ชาร์จพลังงานของตัวเองขึ้นมาสักหน่อยล่ะนะ
- Simon’s theory -
แสงแดดอ่อน ๆ ตกกระทบกับพื้นผิวน้ำจนเป็ประกายชวนให้มอง ลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิยังคงพัดผ่านมาพร้อมกับกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกอยู่รอบคฤหาสน์เสมอ ไม่ว่าจะเจอเื่แย่มามากมายแค่ไหน เพียงแค่ได้ััลมเย็นและแดดอุ่นที่คอยปลอบประโลมจิตใจแบบนี้ก็ทำให้สมองโล่งได้เหมือนกัน แพทริเซียค่อย ๆ วางตะกร้าของที่เขาจัดเตรียมมาลงกับพื้นอย่างระมัดระวัง มือเล็กเอื้อมหยิบผ้าผืนใหญ่มาปูวางที่พื้นหญ้าข้างใต้ต้นเมเปิลต้นใหญ่ก่อนจะนั่งลงและหยิบของในตะกร้าออกมาบรรจงวางไว้ ถึงแม้แพทจะไม่ได้เก่งเื่แบบนี้เท่าไหร่นักแต่เขาก็ยอมลงทุนตื่นแต่เช้าเพื่อลงไปเอาของจากคนขับรถที่เขาได้ฝากซื้อของในเย็นวันที่ปล่อยให้ไซม่อนหลับในห้องเรียน ขนมที่เขาฝากซื้อมาอาจจะไม่ได้ดูมีราคาหรือหรูหราอะไรมากนักแต่เขาเองก็มั่นใจว่าความอร่อยของมันจะสามารถเยียวยาจิตใจของคนที่กำลังเหน็ดเหนื่อยได้อย่างดี
เพราะเวลาที่คุณพ่อหรือคุณแม่มีวันที่แย่
เขาเองก็มักจะซื้อของเหล่านี้ไปให้พวกท่านเพื่อแลกกับรอยยิ้มเล็ก ๆ เหมือนกัน
คนตัวเล็กใช้เวลาเพียงไม่นานก็จัดของทุกอย่างให้อยู่ในที่ที่ควรจะเป็ได้อย่างเสร็จสรรพ พอได้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำก็พลันนึกถึง่เวลาที่เขาเคยเครียดในการตัดสินใจเรียนต่อจนไม่เป็อันทำอะไร เขาเอาแต่นั่งเครียดแล้วก็ร้องไห้ไปวัน ๆ จนคุณพ่อคุณแม่เองก็เครียดไปตาม ๆ กัน แต่แล้วอยู่มาวันนึง คุณพ่อก็บอกเขาว่าจะพาไปที่ไหนสักที่ ถึงแม้ตลอดเส้นทางการเดินทางไปสถานที่แห่งนั้นจะยากลำบากเสียจนแพทนึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกสักสิบรอบที่ถูกชวนไปแบบนั้น แต่หลังจากผ่านการเดินทางที่หนักหนามาร่วมหลายชั่วโมง เมื่อไปถึง สถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็สถานที่แห่งความทรงจำของเขามาเสมอ
ไม่ใช่เพราะแค่วันนั้นเป็วันที่เขาได้เห็นแสงเหนือครั้งแรกในชีวิต
แต่เป็เพราะวันนั้นเขาถูกกอดทั้งจากคุณพ่อและคุณแม่ในตอนที่กำลังยืนดูต่างหาก
ในวันนั้นแพทริเซียจึงรับรู้ได้ว่าต่อให้เจอเื่ราวดี ๆ มากแค่ไหน
แต่ถ้าไม่มีคนที่คอยรับฟังและแบ่งปันมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสักนิด
“คุณมอร์แกน” เสียงเรียกจากไซม่อนดังขึ้นจากด้านหลังทำให้แพทริเซียต้องหันไปมองตาม อัลฟ่าหนุ่มถือถุงกระดาษสีน้ำตาลเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้างุนงงพลางมองสิ่งของที่เขาจัดวางไว้อย่างดีบนผ้าปูแล้วก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาแก้มอย่างไม่เข้าใจ
“นี่คุณชวนมาปิกนิกเหรอ?”
“จะบ้าเหรอคุณควินท์เรล แค่ปูไว้ให้นั่ง”
“ก็มันดูเหมือนปิกนิกเลย”
เขาค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งที่ผ้าปูฝั่งตรงข้ามของแพทริเซียพร้อมกับสายตาที่ยังคงจดจ้องไปยังขนมที่เขาไม่เคยคุ้นเคย แววตาของลูกหมาที่ดีใจเวลาอยากได้ขนมมันฉายชัดออกมาจนแพทเผลอยิ้มแบบไม่รู้ตัว ปกติเขามักจะได้ยินที่บอกว่าสัตว์เลี้ยงจะเหมือนกับเ้าของแต่แล้วทำไมการแสดงออกของอัลฟ่าหนุ่มกลับไปเหมือนสุนัขขนปุยตัวโตที่ตัวเองเลี้ยงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“แล้ววันนี้เราจะเรียนอะไรกันล่ะ กินขนมเหรอ?”
“มันมีเรียนแบบนั้นที่ไหนกันคุณควินท์เรล”
“ก็อาจจะเป็มารยาทในการกินขนมของผู้สืบทอดตระกูล”
แพทริเซียหัวเราะออกมาเสียงดังทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบประโยค ถึงคนที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาจะยังคงทำหน้าเรียบเฉยแต่มุกตลกหน้าตายของไซม่อนก็ยังทำให้เขาหัวเราะออกมาได้เสมอจริง ๆ ต่อให้อีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก็เถอะนะ
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วจะเอาขนมมาวางเยอะแยะขนาดนี้ทำไมล่ะ”
“รางวัลจากเราต่างหาก”
“รางวัล?”
ปกติแล้วต้องทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จก่อนไม่ใช่เหรอ
ถ้าหากทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จจะได้รับรางวัลได้ยังไงกัน
คิ้วของอัลฟ่าหนุ่มขมวดชนกันทันทีที่ได้ยินคำว่ารางวัลจากแพทริเซียเพราะตลอดชีวิตของเขา หากเขาไม่ได้สอบได้คะแนนตามที่คาดหวังไว้หรือทำอะไรที่ถูกกำหนดมาไม่ประสบความสำเร็จ เขาเองก็ไม่เคยมีสิทธิ์ได้รับรางวัลเลยสักนิดแต่แล้วทำไมวันนี้เขาถึงจะได้รับมันจากคุณครูจำเป็ตรงหน้ากันล่ะ
“รางวัลของการเป็คนเก่งตลอดทั้งสัปดาห์นี้ไง”
“แต่สัปดาห์นี้เรายังไม่ได้เรียนอะไรกับคุณมอร์แกนเลยนะแถมครั้งล่าสุดเราก็หลับไปจนไม่ได้เรียนด้วย แล้วทำไมอยู่ ๆ เราถึงจะได้รับรางวัลล่ะ?” ไซม่อนพูดประโยคยาว ๆ พร้อมจ้องมองใบหน้าของแพทริเซียอย่างไม่เข้าใจ
“ก็แค่เรียนหนักมาทั้งสัปดาห์ก็เป็คนเก่งแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“มันเป็สิ่งที่เราต้องทำ”
“สิ่งที่ต้องทำก็สามารถรับคำชมและสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็รางวัลได้นะ”
“..”
“มันไม่ใช่รางวัลอะไรใหญ่นักหรอก แต่ให้เป็กำลังใจเพื่อที่คุณควินท์เรลจะได้ทำสิ่งที่ทำอยู่อย่างมีกำลังใจต่อไปไง”
“..”
“จะรับไว้ได้หรือเปล่า?” เสียงหวานเอ่ยถามซ้ำเมื่ออีกคนเอาแต่จ้องหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แต่สุดท้ายรอยยิ้มที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยเท่าไหร่นักก็ระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของอัลฟ่าหนุ่มจนได้ ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปหยิบถุงขนมที่แพทซื้อให้ขึ้นมาอ่านแก้เก้อก่อนจะเอ่ยตอบคำถามด้วยเสียงแ่เบา
“รับครับ ขอบคุณนะ, คุณมอร์แกน”
- Simon’s theory -
บทสนทนาที่ถูกดำเนินไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เขาและอัลฟ่าหนุ่มกำลังแลกเปลี่ยนขนมที่เตรียมมาเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยได้ลอง พอเป็แบบนี้ก็สนุกเข้าท่าอยู่เหมือนกัน จากในตอนแรกที่แพทคิดไว้ว่ามันอาจจะดูน่าเบื่อเกินไปสำหรับไซม่อน แต่ไซม่อนก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเบื่อเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่เขาทั้งคู่ก็นั่งกันอยู่ตรงนั้นร่วมชั่วโมงเข้าแล้ว
เสียงหัวเราะของพวกเขาทั้งคู่ยังคงดังคลอกับเสียงน้ำในทะเลสาบที่ไหลพัดไปกับแรงลม จากบทสนทนาที่เป็เื่ทั่วไปอย่างเช่นขนม อาหารโปรด แต่พอมาถึงในหัวข้อที่แพทกำลังบอกเล่าเื่ประสบการณ์ไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกของเขาให้ฟัง จู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนรอยยิ้มมาตลอดทั้งการสนทนาก็หายไป แววตาที่ดูสดใสก็ฉายแววเศร้ากลับมาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นโอเมก้าช่างจ้อก็ยังพูดเจื้อยแจ้วไปโดยที่ไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายเลยสักนิด
“ตอนนั้นเราจำได้เลยนะว่าเราเป็คนจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จองทุกอย่างเองหมดเลย ถึงมันจะดูลำบากมาก ๆ ในตอนแรกแต่พอได้เจอเพื่อนใหม่ที่นู่นก็สนุกขึ้นมาเลยแหละ”
“ไปคนเดียวเลยเหรอ?”
“ใช่น่ะสิ ก็เราอายุตั้ง 21 ปีแล้วนะ ยังไงก็ต้องมีประสบการณ์หนีเที่ยวคนเดียวบ้างสิ แล้วคุณควินท์เรลล่ะ ไม่เคยมีเลยเหรอ?”
“ไม่เลย” เขาแค่นยิ้มพร้อมตอบเสียงแ่
“คุณควินท์เรล, ไม่โอเคตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
“ไม่เลย เล่าต่อสิ เราอยากฟังคุณมอร์แกนเล่า”
น้ำเสียงและสีหน้าของอีกฝ่ายช่างตรงข้ามกับประโยคที่พูดออกมาจริง ๆ
แต่จริง ๆ แล้วตัวเขาก็มีอะไรที่สงสัยในตัวของไซม่อนมากมายอยู่เหมือนกันเพราะตลอดบทสนทนาที่เคยมีด้วยกันมาทั้งหมด อีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงโรงเรียนหรือชีวิตนอกคฤหาสน์เลยสักครั้ง ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้เห็นว่ามันชัดอะไรมากนักหรอกแต่เมื่อได้ใกล้ชิดมากขึ้น เขาก็รู้สึกถึงความกลัวคนของไซม่อนที่มักจะแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางของเขาอยู่เสมอนั่นแหละ
เหมือนลูกหมาที่เจอคนไม่รู้จักครั้งแรก
นอกจากเห่าแล้วยังพยายามเดินถอยหลังเพื่อปกป้องตัวเอง
ไซม่อนน่ะเป็แบบนั้นจริง ๆ
“คุณควินท์เรล เราขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ว่าไง”
“ช่วยเล่าเื่ในวัยเรียนของคุณให้เราฟังหน่อยสิ จริง ๆ เราไม่อยากรู้เื่ส่วนตัวอะไรของคุณมากมายขนาดนั้นหรอก แต่เพราะไม่เคยเห็นคุณพูดถึงเลยสักครั้งก็เลยอยากขอให้เล่า”
“..”
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็ไรนะครับ”
อัลฟ่าหนุ่มมองสบตากับดวงตากลมโตของคนตรงข้ามนิ่ง ๆ และในครั้งนี้เป็อีกครั้งที่แพทริเซียอ่านสายตาของอีกคนไม่ออกเพราะสายตาที่ไซม่อนมองมามันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน ไม่ได้แฝงความไม่พอใจหรือโกรธเลยสักนิดด้วยซ้ำ
อย่างน้อยก็ช่วยบอกทีว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หรือไม่คิดอะไรเลย?
ทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่นึงก่อนที่ไซม่อนจะเป็ฝ่ายเบือนหน้าหนีไปก่อน จู่ ๆ บทสนทนาที่ลื่นไหลมาตลอดก็ถูกหยุดลงเพราะคำขอจากคนตัวเล็ก แพทริเซียนึกอยากตบปากตัวเองสักสิบครั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาจะค่อย ๆ เป็ค่อย ๆ ไปก่อนก็ได้ แต่แล้วทำไมถึงปล่อยให้ความขี้สงสัยของตัวเองมาทำลายบรรยากาศระหว่างเขากับไซม่อนอยู่ตลอด ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แต่จู่ ๆ คำตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ถูกเอ่ยออกมาจากของไซม่อน ควินท์เรลก็ทำแพทริเซียต้องชะงัก
“เราไม่มีเื่วัยเด็กอะไรแบบนั้นหรอก”
“คือ”
“เราไม่ได้ไปโรงเรียนอย่างคนอื่นเขา ไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบเด็กทั่วไปหรอกคุณมอร์แกน”
“เราไม่เข้าใจเลยคุณควินท์เรล หมายถึงยังไงเหรอครับ”
อีกฝ่ายหันกลับมามองหน้าเขาพร้อมยิ้มบาง ๆ
“เราอยู่ที่นี่มาตลอดทั้งชีวิตเราเลยคุณมอร์แกน เราเรียนที่บ้าน ใช้ชีวิตในบ้าน แล้วเราก็ไม่เคยออกนอกรั้วบ้านเลยแม้แต่ก้าวเดียวั้แ่เกิดจนถึงตอนนี้”
แพทเริ่มเข้าใจความรู้สึกของนกที่ถูกขังไว้แล้วละ
ต่อให้มีปีกพร้อมสยายและโบยบินมากแค่ไหน
แต่เมื่อถูกขังอยู่ในกรงก็ทำได้เพียงแค่มองจริง ๆ นั่นแหละ
แพทริเซียไม่อยากจะเชื่อเลยว่านกที่ถูกขังอยู่ในกรงทองจะมีอยู่ในชีวิตจริงไม่ใช่แค่ในนิยาย เพียงแค่คิดว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ตลอด่ชีวิตของตัวเองความอึดอัดที่มีก็จุกขึ้นมาในอกจนเขารู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที
ถ้าหากเื่ที่ออกมาจากปากไซม่อนเป็เื่จริงละก็ เขายิ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครได้พบไซม่อนเลย ไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีท่าทีกลัวคนแปลกหน้า กลัวการทำอะไรใหม่ ๆ หรือประหม่าง่ายเป็พิเศษในตอนที่ใกล้ชิดกับเขาครั้งแรก แต่สุดท้ายแล้วเหตุที่ไซม่อนถูกขังไว้มันคืออะไรกันล่ะ หากจะต้องเก็บซ่อนคนคนนึงตลอดชั่วทั้งชีวิตของเขามันก็ต้องมีเหตุผลที่ตระกูลใหญ่อย่างควินท์เรลจะทำ
แต่ในตอนนี้แพทริเซียคงไม่เอ่ยถามอะไรกับคนตรงหน้าอีกแล้ว
แววตาที่ดูเศร้าหมองนั้นมันไม่ได้ดูเหมาะกับเ้าของตายิ้มอย่างไซม่อนเลยสักนิด
“นี่ คุณควินท์เรล”
แพทริเซียส่งยิ้มให้อัลฟ่าตัวโตเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน คนตัวเล็กถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะที่ข้อมือของไซม่อนเบา ๆ ก่อนจะกระซิบประโยคที่หวังให้ได้ยินเพียงแค่เขาสองคนเท่านั้น
ประโยคที่เรียกรอยยิ้มกว้างและตายิ้มของไซม่อนให้คืนกลับมา
“สักวัน, เราจะพาคุณออกไปเที่ยวข้างนอกนะ รอหน่อยนะคุณควินท์เรล”
- Simon’s theory -