Chapter thirteen: Simon’s questioning
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปสองเดือนแล้วแต่ความหนาวเย็นจากข้างนอกก็ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด เสียงเพลงคลาสสิกยังถูกเปิดคลอเบา ๆ ให้ได้ยินทำลายความเงียบจากการอ่านหนังสือของคนทั้งคู่ในห้องเรียนขนาดกว้าง อัลฟ่าตัวโตที่อ่านหนังสือมาร่วมชั่วโมงบิดร่างกายไล่ความเมื่อยล้าเล็กน้อยก่อนเขาจะชำเลืองไปมองคนตรงหน้าที่กำลังใจจดใจจ่อในการอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน
จากที่ไซม่อนไม่เคยแม้แต่จะสนใจคุณครูจำเป็อย่างแพทริเซียเลยด้วยซ้ำ แม้เอกสารส่วนตัวที่คุณเจมส์ยื่นมาให้เลือกในตอนที่เขารู้ว่าต้องหาคุณครูสอนเื่พิธีสืบทอดทายาทก็ไม่ได้ผ่านสายตาของเขาไปเลยสักนิด แต่แล้วเอกสารที่ถูกเมินเฉยมานานนับหลายเดือนก็ถูกอ่านด้วยตัวของเขาเอง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณย่าและคุณเจมส์ถึงเลือกคนนี้
ไม่ใช่เพียงเพราะแค่อีกฝ่ายกล้าที่จะขึ้นเสียงหรือกล้าติเตือนเขาทั้ง ๆ ที่เขาแทบจะไม่เคยโดนอะไรแบบนั้นด้วยซ้ำเพราะในตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าแพทริเซียจะใจกล้าขนาดนั้น ถ้าหากคุณเจมส์ได้รู้ว่าแพทริเซียขึ้นเสียงใส่เขาขนาดไหนในวันที่ตามหาสร้อย เขาเองก็รับรองได้เลยว่าเขาคงไม่ได้เห็นอีกฝ่ายจนถึงวันนี้หรอก
แพขนตาที่กะพริบขึ้นลงในตอนที่กำลังตั้งใจอ่านกระดาษตรงหน้าก็ทำให้ไซม่อนหยุดมองอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักนิด ดวงตาคมเลื่อนมาจดจ้องที่ข้างแก้มนิ่มก็พลันคิดถึงสิ่งที่เ้าตัวเขียนมาแนบกับใบสมัคร เื่ราวที่ถูกถ่ายทอดเกี่ยวกับเอดมันตันและย่านที่เขาอยู่อาศัยมันน่าอ่านและทำให้เขาเพลิดเพลินไปกับมันจนบรรทัดสุดท้าย
อยากฟังเขาเล่าด้วยตัวเองสักครั้ง
“คุณมอร์แกน”
แพทริเซียเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเอ่ยเรียกตัวเอง ไซม่อนที่กำลังนั่งพิงโซฟาอยู่ไม่ได้อ่านหนังสือเหมือนในก่อนหน้าอีกแล้ว
“ว่ายังไงครับ?”
หรือจะเบื่อแล้ว?
“เล่าเื่บ้านเกิดให้ฟังหน่อยสิ”
“บ้านเกิด? บ้านเกิดของเราน่ะเหรอ?” หนังสือเล่มหนาถูกวางลงบนโต๊ะทันทีที่ได้ยินคำขอที่จู่ ๆ ก็ออกมาจากปากของทายาทควินท์เรล
“ใช่ หมายถึงที่ที่คุณมอร์แกนอยู่”
“อ๋อ.. บ้านเราอยู่คอตตอนเทล”
“ที่มีกระต่ายเยอะ ๆ น่ะเหรอ?”
“ใช่ คอตตอนเทลที่มีหุบเขากระต่ายขาวนั่นแหละ”
เ้าของรอยยิ้มหวานฉีกยิ้มส่งไปให้อัลฟ่าหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับคำตอบ เพียงแค่ได้พูดถึงชื่อย่านที่เขารักและเติบโตมาตลอดชีวิตก็ทำให้หัวใจแพทริเซียฟูฟ่องขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“เล่าให้เราฟังบ้างสิ”
“เห็นว่าวันนี้ไม่มาสายหรอกนะคุณควินท์เรล” แพทหรี่ตาใส่อีกฝ่ายแกล้ง ๆ
“เล่าเลย เราอยากฟัง”
“ได้สิ”
ถึงคอตตอนเทลจะเป็ย่านที่อยู่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองเอดมันตันพอสมควรแต่ความสวยงามจากสิ่งธรรมดาที่ดูพิเศษของคอตตอนเทลนั้นก็ทำให้ทุกคนที่ไปเยือนตราตรึงใจแทบทุกคน ความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เพื่อนบ้านที่ใจดี อบอุ่น ความช่วยเหลือและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่มักจะเป็นิสัยประจำของทุกคนในคอตตอนเทลนั้นยิ่งทำให้บรรยากาศในเมืองยิ่งอบอุ่นเข้าไปใหญ่
เพราะทุกคนในคอตตอนเทลทำให้ทุกที่อบอุ่นเหมือนบ้านของทุกคน
นอกจากบรรยากาศที่อบอุ่นจากผู้คนในย่านคอตตอนเทลแล้ว ดอกไม้ที่โผล่เหนือผิวดินอุดมสมบูรณ์ก็ถูกประดับกระจัดกระจายอยู่จนเห็นได้แทบทุกที่เช่นกัน กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ยังคงได้กลิ่นยิ่งทำให้ย่านเล็กที่แสนอบอุ่นนั้นดูน่าอยู่เข้าไปใหญ่ และหุบเขากระต่ายที่เป็เหมือนจุดศูนย์รวมในวันหยุดของผู้คนในวันหยุด หุบเขาสีเขียวชอุ่มที่มีกระต่ายสีขาวทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่คอยผลุบโผล่มาทักทายผู้คนนั้น ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งตัวแพทริเซียเองก็ไม่เคยจะเบื่อเลยสักครั้ง
ริมฝีปากเล็กขยับบอกเล่าด้วยความตั้งใจพร้อมรอยยิ้มจนทำให้คนที่กำลังตั้งใจฟังอดไม่ได้เลยที่จะจินตนาการและยิ้มตามไปด้วย เพียงแค่นั้นไซม่อนได้คิดถึงธรรมชาติที่แทบไม่ต้องมีคนสวนคอยมาจัดการอยู่ทุก ๆ เดือน ธรรมชาติที่แท้จริงที่ไม่ต้องถูกรังสรรค์ใหม่ตามเทศกาลหรือความ้าจากคนเหมือนบ้านของเขา
อยากไปเห็นกับตาตัวเองจริง ๆ สักครั้ง
แต่จะมีสักครั้งในชีวิตนี้ไหม
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
คนที่กำลังเล่าเื่ราวเกี่ยวกับคอตตอนเทลอย่างตั้งใจค่อย ๆ แ่เสียงลงและหยุดในตอนที่เห็นว่าสายตาของผู้ฟังกำลังเหม่อลอย จริง ๆ เขาเองก็คิดอยู่แล้วละว่าการเล่าเื่นอกรั้วคฤหาสน์ควินท์เรลนั้นมันอาจจะไม่ดีกับความคิดของคนที่ไม่เคยแม้แต่จะก้าวออกไปไหนอย่างไซม่อน
แต่จะทำได้ยังไงล่ะ
ก็อีกฝ่ายขอมาด้วยสายตาแบบนั้นเองนี่
“คุณควินท์เรล”
แพทริเซียเอ่ยเรียกอัลฟ่าหนุ่มจนอีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยความใน้อย ๆ ท่าทางที่แพทได้เห็นมันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงของเขาไปั้แ่ตอนไหน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แพทหงุดหงิดหรือไม่เข้าใจคนตัวโตตรงหน้าเลยสักนิด ยิ่งเขาได้รู้จักไซม่อนมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นจริง ๆ
ในตอนนี้เขาไม่ได้อยากเป็แค่ครูจำเป็ที่สอนอีกฝ่ายจนประสบความสำเร็จแล้ว
แต่เขาอยากเป็เพื่อนคนหนึ่งที่คอยอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายบ้างแค่นั้นเอง
“ขอโทษที เรานอนน้อยไปหน่อย”
“ไม่เป็อะไรครับ เราก็ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้วเหมือนกัน”
“หมดแล้วเหรอ? เื่เกี่ยวกับคอตตอนเทล”
“ก็เราไม่รู้จะเล่าอะไรแล้วนี่” มือเล็กของโอเมก้าหนุ่มเอื้อมไปหยิบหมอนใบเล็กมากอดไว้ก่อนจะตอบกลับไปด้วยใบหน้าง้ำงอ ถึงแม้เขาจะคิดอยู่ตลอดก็เถอะว่าเขาเองรู้จักคอตตอนเทลดีมากแค่ไหนแต่พอจะให้เล่าอะไรให้ผู้ฟังดูประทับใจมันก็ค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะคอตตอนเทลสำหรับเขามันคือสิ่งธรรมดาที่แสนพิเศษจริง ๆ หากจะต้องเปรียบเทียบกับที่ไหนเขาก็คงจะเปรียบเทียบให้อีกฝ่ายฟังไม่ได้เหมือนกัน
“เราอยากฟังอีก”
เสียงออดอ้อนจากไซม่อนที่เขาไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักก็หลุดออกมาทันที อีกฝ่ายยกแขนขึ้นกอดอกแบบที่มักจะทำเป็ประจำและมองหน้าเขาด้วยสายตาที่้าอะไรจนแพทริเซียต้องถอนหายใจยาว ๆ ออกมา
“แล้วคุณควินท์เรลอยากรู้อะไรล่ะครับ เราก็ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้วจริง ๆ ”
“อะไรก็ได้ ชีวิตวัยเด็ก ร้านขนมที่อร่อย หรือสถานที่ที่ชอบไป”
“จู่ ๆ ทำไมถึงอยากมารู้เื่เกี่ยวกับเราล่ะ”
“คุณมอร์แกนก็รู้เื่ของเราไปเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ดูเขาต่อปากต่อคำ
แพทละอยากหยิกริมฝีปากยื่นนั้นสักที
“งั้นสลับกันเล่าไหมล่ะ?”
สิ้นคำถามจากโอเมก้าตัวเล็ก ก็ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจทันที
“คุณมอร์แกนก็รู้ว่าเราไม่มีอะไรให้เล่า”
“ไม่เห็นเป็อะไรเลย ไม่ว่าจะเื่ไหนก็เล่าได้หมดนั่นแหละ”
“แต่เื่ของเรามันน่าเบื่อ”
“ถ้าเื่ราวเ่าั้ถูกรับฟังด้วยคนที่เขาอยากรับฟังเื่ของคุณจริง ๆ มันจะไม่มีเื่ราวของใครน่าเบื่อหรอกคุณควินท์เรล”
แพทริเซียตอบกลับไปพร้อมสบตาเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่าย เพราะตัวเขาเองเข้าใจดีว่าการที่ไม่มีคนรับฟังนั้นมันแย่แค่ไหนและยิ่งถ้าหากเป็เื่ราวที่เราตั้งใจเล่าแล้วมันดูน่าเบื่อในสายตาคนอื่นก็คงทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ อย่างน้อย ๆ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คงมีเพียงการรับฟังไซม่อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะนะ
ไซม่อนไม่ได้ตอบอะไรแพทกลับมา เขาทำแค่เพียงส่งยิ้มให้และพยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับประโยคที่แพทได้พูดไว้ เ้าของร่างเพรียวบางค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินตรงมาหาเขาที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม ถึงแม้เขาจะได้เห็นภาพที่บ่อย ๆ หลังจากที่เราทั้งคู่เริ่มเปิดใจคุยกันแล้วก็เถอะ แต่ทำไมทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายเดินมาใกล้ ๆ มันก็ยังคงทำให้เขาประหม่าอยู่เหมือนเดิม
เขาคงไม่ชินกับโอเมก้าจริง ๆ นั่นแหละ
“งั้นเราเล่าก่อนแล้วกันเนอะ คุณค่อยเล่าหลังจากเรา แบบนั้นดีไหม?”
“ก็ได้”
“รู้ไหมว่าที่หุบเขากระต่ายน่ะ มีเื่เล่าของกระต่ายตัวสีน้ำตาลอยู่ด้วยนะ”
“จริงเหรอ? ทำไมที่เราไปหาข้อมูลมามีแค่สีขาวล่ะ” ไซม่อนทำตาโตมาทางเขาจนคนเล่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู
“เราก็ไม่รู้ว่ามีจริงไหม แต่ว่ามันเป็เื่เล่าที่คุณแม่ของเราเคยเล่าให้ฟัง.. ในตำนานเก่าแก่ที่ถูกเล่าปากต่อปากเกี่ยวกับเื่ราวของกระต่ายป่าสีน้ำตาลที่มักจะออกมาให้เห็นบนหุบเขากระต่ายขาวเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น ถึงแม้กระต่ายบนหุบเขาจะมีอยู่นับร้อยตัวแต่เพราะสีที่แตกต่างของมันจึงทำให้เ้ากระต่ายสีน้ำตาลโดดเด่นขึ้นมาเสมอ แต่ถึงแม้สีของมันจะโดดเด่นและแตกต่างจากกระต่ายตัวอื่น ๆ บนหุบเขามากเท่าไหร่แต่แทบจะไม่มีคนเห็นมันเลยด้วยซ้ำ”
“มันซ่อนเก่งเหรอ?” ไซม่อนถามขึ้นมา
“ฟังต่อก่อนสิ.. ในตำนานเขาว่ากันว่าเคยมีชายหนุ่มอาภัพรักไปนั่งเล่นที่หุบเขากระต่ายขาวในวันสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงและเขาก็ได้พบกับกระต่ายป่าสีน้ำตาลที่แอบจ้องมองเขาอยู่ข้าง ๆ พุ่มไม้เล็ก ดวงตากลมโตของมันจดจ้องเขาอย่างไม่วางตา แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มเอาแต่ตัดพ้อเื่ความรักที่พังลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวเอง ถึงแม้ความรักจะทำให้เขาเ็ปแต่เขาก็ยังคง้ามันอยู่ เขาเอาแต่ภาวนาอยู่ในใจให้เขาได้เจอรักครั้งใหม่ที่จะอยู่กับเขาไปตลอดกาลเสียที”
ดวงตาคมที่มักจะมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยอยู่ตลอด ในตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็แววตาลูกหมาที่แพทริเซียเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นอกจากตอนที่ไซม่อนได้ขนมเป็รางวัลก็คงเป็ตอนที่กำลังตั้งใจฟังอะไรสักอย่างจากเขานี่แหละ ที่มันดูน่ารักเป็พิเศษ
เหมือนลูกหมาจริงด้วย
“เล่าต่อสิคุณมอร์แกน” เสียงทุ้มเอ่ยทักท้วงขึ้น
“หลังจากที่เขาตัดพ้อกับตัวเองเสร็จ เขาก็หันไปมองที่ข้างพุ่มไม้ที่กระต่ายป่าสีน้ำตาลเคยอยู่ เ้ากระต่ายป่ายังคงจ้องมองเขาอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มนั่งถอนหายใจด้วยความสิ้นหวังก่อนจะตัดสินใจลุกเข้าไปหาเ้ากระต่ายป่าตัวสีน้ำตาลหวังจะเล่นด้วยตามประสาคนรักสัตว์ แต่จู่ ๆ เ้ากระต่ายก็ค่อย ๆ เดินถอยหลังและะโหนีไป ชายหนุ่มอาภัพรักรีบวิ่งตามเ้ากระต่ายตัวนั้นไปก่อนจะพบว่ามันะโมาในพุ่มไม้ข้างทะเลสาบที่มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ หญิงสาวหันมามองและส่งยิ้มให้ทันทีที่เห็นว่าเขาเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มถือวิสาสะไปนั่งลงที่ข้าง ๆ ของเธอ ทั้งสองคนพูดคุยกันจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าและนั่นก็เป็ครั้งสุดท้ายที่ชายหนุ่มหยุดภาวนาต่อพระเ้าเพื่อขอให้พบรักแท้เพราะเขาได้พบมันแล้ว”
“..”
“และตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะขอบคุณคำภาวนาของตัวเองหรือขอบคุณเ้ากระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวนั้นดี หลังจากวันนั้นชายหนุ่มก็พยายามกลับไปตามหากระต่ายสีน้ำตาลที่หุบเขาแต่ไม่ว่าเขาจะตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้พบอีกเลย และชายหนุ่มก็ได้นำมาเล่าให้ทุกคนรอบตัวฟัง เป็คำบอกเล่าที่เล่าสืบต่อกันมาถึงกระต่ายป่าสีน้ำตาลในวันสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิที่มักจะให้พรกับผู้ที่ไร้ความหวังในเวลาที่พวกเขา้ามากที่สุด”
“เราอยากไปหุบเขากระต่าย”
ไซม่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังจนแพทต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง จริง ๆ แล้วถ้าเป็คนปกติทั่วไปแพทก็คงไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายขอเลย ตัวเขาอาจจะเป็คนอาสาเองั้แ่แรกเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเงื่อนไขของไซม่อนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะออกจากคฤหาสน์แห่งนี้มันจึงทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากชวนตามมารยาทเลยสักนิด เพราะแววตาของเขาที่จ้องมองมามันไม่ได้ดูล้อเล่นเลย ถ้าหากเขาออกไปไม่ได้จริง ๆ ขึ้นมา แพทเองก็ไม่อยากจะนึกถึงความเศร้าของไซม่อนเลย
ต้องมีลูกหมาน้ำตาตกแน่ ๆ
“รอก่อนนะคุณควินท์เรล”
“อื้ม ก็คุณมอร์แกนบอกเราแล้วนี่”
“บอกอะไรเหรอ?”
“เป็คนพูดเองแท้ ๆ ลืมได้ยังไงกัน” ไซม่อนบ่นอุบอิบ
“แล้วมันอะไรล่ะ? ในหนึ่งวันเราพูดกับคุณควินท์เรลไปตั้งกี่อย่าง”
“เฮ้อ.. ก็ที่บอกว่าสักวันจะพาเราออกไปข้างนอกไง”
จำแม่นซะด้วย
แพทริเซียยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายกลับไป ถึงเขาจะไม่รู้ก็เถอะว่าสักวันมันคือวันไหนแต่มันก็คือสิ่งที่แพทตั้งใจอยากจะทำให้อีกฝ่ายจริง ๆ ดูแล้วเขาน่าจะต้องรวบรวมความกล้าไปขออนุญาตใครสักคนเพื่อไซม่อนแล้วละ
“เราเล่าเื่ของเราจบแล้ว คุณควินท์เรลก็เล่าเื่ตัวเองบ้างสิ”
“จะให้เราเล่าเื่อะไรล่ะ เราไม่มีเื่สนุก ๆ แบบคุณมอร์แกนเลย”
“อืม.. เล่าเื่ขนมของคุณป้าแมรี่ดีไหม?”
“อยากฟังเหรอ?”
“ก็นั่นเป็ขนมโปรดของคุณควินท์เรลเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่ แต่มั-”
“เราอยากฟัง”
เสียงทุ้มถูกกลืนหายลงไปในลำคอเมื่อแพทริเซียเอ่ยขัดขึ้นมา โอเมก้าตัวเล็กฉีกยิ้มส่งให้อีกฝ่ายในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาและพยักหน้าน้อย ๆ ย้ำความตั้งใจที่เขาอยากจะฟังเื่ราวของอีกฝ่าย อัลฟ่าหนุ่มถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะส่งยิ้มกลับมาให้ เพียงแค่ได้เห็นแค่นั้นแพทริเซียก็ใจชื้นขึ้นมาทันที แค่ได้เห็นว่าความมั่นใจที่เคยขาดหายไปของเขาถูกเติมเต็มขึ้นมาบ้าง เขาเองก็ดีใจมากแล้วละ
“เราได้กินขนมของคุณป้าแมรี่ครั้งแรกตอนอายุ 10 ปี” ไซม่อนก้มหน้ามองเข่าตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแ่
“วันนั้นเป็วันแรกที่เรารู้สึกว่าเหนื่อยกับการเรียนแต่เราก็ยังถูกบังคับให้เรียนอยู่ พอเราทนไม่ไหวเราเลยวิ่งหนีไปซ่อนที่ป่าดอกไม้อยู่เกือบ 5 ชั่วโมง จริง ๆ ถ้าคุณพ่ออยู่ก็คงจะดี แต่เพราะคุณพ่อไม่อยู่ก็เลยไม่รู้จะไปหาใคร พอเราไม่เคยเป็อย่างนั้นมาก่อนก็เลยโดนคุณย่าและคุณอาดุเป็ครั้งแรกในชีวิต”
“..”
“มันอาจจะดุเหมือนเป็เื่เล็ก แต่สำหรับเรามันแย่มากเลย เราไม่อยากกลับห้องของเราเลยสักนิด ถึงจะรู้ว่าเราถูกกักบริเวณไปแล้วก็เถอะ เราก็เลยเดินไปที่ครัวแล้วก็ได้เจอกับคุณป้าแมรี่”
แพทนึกตามที่อีกฝ่ายเล่าแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เพราะเขาไม่มีที่พึ่งพาทางใจและทุกอย่างมันก็ดูหนักไปสำหรับเด็กอายุเท่านั้น มันก็ไม่แปลกสักนิดที่เด็กจะมีอาการต่อต้าน ถึงเื่จะผ่านไปหลายปีแล้วก็เถอะแต่พอเขากลับมาดูในตอนนี้ ไซม่อนในตอนนั้นก็ไม่ได้ต่างกันกับที่เป็ในปัจจุบันเลยสักนิด
ไร้ที่พึ่งทางใจ โดดเดี่ยว ้าคนเข้าใจ
“พอคุณป้าแมรี่เห็นว่าเราร้องไห้ คุณป้าก็ไม่ได้ถามหรือคาดคั้นอะไรเราเหมือนกับที่คนอื่นพยายามจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราเข้าใจเจตนาของทุกคนเลยนะว่าเขาก็แค่หวังดีแต่เพราะอารมณ์ในตอนนั้นมันทำให้ไม่อยากอธิบายอะไรมากกว่า”
“เราเข้าใจ”
“ในตอนที่เรากำลังนั่งร้องไห้อยู่ในครัวแบบที่คุณป้าแมรี่ไม่ได้หันมาถามอะไรสักคำ อยู่ ๆคุณป้าก็เลื่อนจานขนมจานเล็ก ๆ มาให้เรากับนมอุ่นที่เราชอบกินทุกคืน คุณป้าไม่ได้พูดอะไรสักนิดมีแค่เดินมาลูบหลังเราเบา ๆ แค่นั้นเลย จริง ๆ ชูครีมที่เราบอกว่าเป็ของโปรดมันก็เป็ชูครีมที่เราเคยได้กินประจำนั่นแหละแต่วันนั้นมันไม่เหมือนที่เคยกินสักนิด มันเหมือนเรากำลังได้คนปลอบใจเราแบบที่ไม่ต้องพูดอะไร มันอุ่นใจขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้านั้นเรารู้สึกแย่มาก ๆ เพราะอย่างนั้นละมั้งเลยกลายเป็ขนมโปรดของเรา”
ใบหน้าหล่อเหลาถูกระบายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนนึกถึงความสุขที่ได้รับในตอนนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ ในวันนั้นเขาคงจะกอดคุณป้าแมรี่แน่น ๆ สักครั้งแทนคำขอบคุณและความอบอุ่นที่คุณป้ามอบให้ คงไม่ทำเพียงนั่งกินเฉย ๆ แล้วเดินจากไปแบบนั้นหรอก
“ดีจัง ชูครีมของคุณป้าแมรี่ต้องอร่อยมากแน่เลย”
“อร่อยสิ อร่อยที่สุดเลย”
“ถึงตอนนี้จะไม่ได้กินแล้ว”
“..”
“แต่เราก็อยากให้คุณควินท์เรลนึกถึงความสุขในครั้งแรกที่ได้กินชูครีมของคุณป้าแมรี่อยู่เสมอเลยนะ”
“มันจะนึกถึงได้ยังไงกันล่ะ”
“อยากให้คุณรู้สึกว่าต่อให้มีเื่แย่ ๆ เข้ามาแต่ยังไงก็ยังมีคนที่คอยรับฟังและคอยปลอบโยนหัวใจของคุณอยู่เสมอ ถึงในครั้งนี้จะไม่ใช่คุณป้าแมรี่และชูครีมที่เคยได้กินแต่คุณควินท์เรลไม่ได้อยู่คนเดียวนะครับ คุณไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คุณคิดเลยนะ หรือถ้าหากคุณไม่รู้จะพูดมันกับใคร เรายินดีที่จะรับฟังคุณนะ”
ไซม่อนเงียบไปพักใหญ่เมื่อได้ยินประโยคปลอบโยนจากคนตรงหน้า ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้สบตากันแต่ความเป็ห่วงเป็ใยที่แฝงอยู่ในประโยคยาวเหยียดของแพทริเซียนั้นก็ทำให้เขาอบอุ่นใจขึ้นมาทันที
“ขอบคุณนะคุณมอร์แกน”
เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ไซม่อนไม่ได้สบายใจแบบนี้กับใคร ความรู้สึกที่เหมือนได้คุยกับคุณพ่อแต่ก็เป็ความรู้สึกที่สบายใจเหมือนที่ได้อยู่กับเจซ แม้แต่กับคนในครอบครัวของเขาบางคน เขาก็ยังไม่รู้สึกสบายใจเท่ากับคนที่เพิ่งได้รู้จักกันตรงหน้าเลยสักนิด
ความรู้สึกที่มีต่อแพทริเซียมันแปลกจริง ๆ
แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“ไม่เห็นต้องขอบคุณเราเลย เราบอกว่าเรายินดีก็คือยินดีจริง ๆ นั่นแหละ”
“เราก็อยากขอบคุณอยู่ดี”
“เดี๋ยววันเสาร์นี้เราจะได้กลับบ้าน ยังไงเราจะซื้อขนมร้านดังในเมืองเอดมันตันมาฝากนะ”
ดวงตาคมเบิกตากว้างทันทีที่แพทริเซียเอ่ยจบประโยค ความตื่นเต้นที่มีของเขามันล้นออกมาซะจนคนตรงหน้ารู้สึกได้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยคาดหวังอะไรเกี่ยวกับการออกไปข้างนอกก็เถอะ เขาจึงไม่เคยแม้แต่เอ่ยปากถามใครสักคนเกี่ยวกับเื่นี้เลยสักนิด
เพราะทุกคนมักจะบอกเขาอยู่เสมอว่าโลกข้างนอกนั้นไม่ได้จำเป็ที่จะต้องออกไปเผชิญ เพราะที่บ้านควินท์เรลมีครบทุกอย่างอยู่แล้ว ทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาได้อยู่อย่างมีความสุขไปตลอดแบบไม่ต้องไปลำบากที่ไหน ที่ที่จะเป็ดั่งอาณาจักรของเขาทุกพื้นที่
แต่แล้วทำไมเขาถึงไม่สามารถออกไปเผชิญโลกกว้างไปพร้อมกับการกลับมาปกครองที่แห่งนี้ได้เหมือนกับคนอื่นกันล่ะ
ทำไมต้องเป็เขาที่ถูกขังอยู่ที่นี่
“คุณควินท์เรล”
“..”
“คุณควินท์เรลครับ”
เสียงหวานเอ่ยเรียกเมื่อไซม่อนกำลังจมกับความคิดของตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายกำลังดูตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาบอกไปด้วยซ้ำ บางทีแพทริเซียก็อยากมีความสามารถพิเศษอ่านใจคนได้จริง ๆ นั่นแหละ
จะได้รับรู้ถึงความเ็ปของอีกฝ่ายได้บ้าง
“ขอโทษที เราแค่คิดอะไรอยู่”
“เราคิดว่าคุณควินท์เรลไม่อยากกินขนมที่เราจะซื้อเสียอีก”
“อยากสิ เราอยากกิน” เขาตอบเสียงแ่
“แน่ใจเหรอครับ?”
“จริง ๆ เราก็แค่.. อยากไปด้วย”
แพทริเซียก็คิดอยู่แล้วละว่าไซม่อนจะต้องอยากไปด้วยแน่ ๆ ถึงใจเขาจะอยากปฏิเสธอีกฝ่ายแทบตายแต่พอได้เห็นใบหน้าง้ำงอนั้นแพทก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน หากจะพาหนีมันก็คงไม่ใช่เื่ดีสำหรับคนไม่รู้ทางหนีทีไร่อย่างเขาเท่าไหร่ มีหวังเพียงแค่ก้าวออกไปถึงหน้ารั้วคฤหาสน์ก็คงจะโดนลงโทษและส่งกลับบ้านทันที หรือเลวร้ายกว่านั้น การฝึกงานของเขาในครั้งนี้อาจจะทำให้เขาเรียนไม่จบอย่างที่หวังไว้เลยก็ได้
ไม่ว่าทางไหนก็ดูจะมืดมนไปหมดเลย
จะช่วยไซม่อนยังไงดีล่ะ
“ตอนนี้ยังไปไม่ได้น่ะสิคุณควินท์เรล” แพทตอบกลับไปด้วยเสียงแ่เบา
“แล้วทำไมเราถึงออกไปไม่ได้ล่ะ”
“นั่นน่ะสิ”
ดูเหมือนคำถามที่ถูกติดค้างอยู่ในใจอัลฟ่าตัวโตตรงหน้าจะค่อย ๆ เผยออกมาให้ได้รับรู้แล้ว ถึงแม้คนในตระกูลควินท์เรล้าจะปกปิดหรือทำเพื่อเจตนาบ้างอย่างก็เถอะ แต่การที่จะขังคน ๆ นึงไว้แบบไม่บอกเหตุผล ในสุดท้ายคนที่ถูกขังก็ต้องอยากรู้ความจริงอยู่ดี มันไม่มีความลับบนโลกใบนี้ที่จะถูกปกปิดได้ตลอดไปหรอก
และไซม่อนเองก็ไม่อยากถูกปกปิดอีกต่อไปแล้ว
“คุณมอร์แกน”
“อื้อ ว่าไง”
“เราจะไปขออนุญาตออกไปข้างนอกกับคุณ”
“ฮะ?! เดี๋ยวคุณควินท์เรล เดี๋ยวก่อน”
สิ้นประโยคมุ่งมั่นที่เอ่ยกับแพทริเซีย อัลฟ่าหนุ่มก็รีบวิ่งออกจากห้องเรียนทั้งที่ยังไม่ได้บอกลาแพทสักคำ คนตัวเล็กที่คว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ไม่ทันก็ทำได้เพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ เขาเองก็ไม่ได้อยากนึกหรอกว่าถ้าไซม่อนโดนดุขึ้นมาจะเป็ยังไงแต่พอได้นึกเพียงแค่วูบเดียว ขาเรียวยาวก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามอีกคนไปทันที
ให้ตายเถอะไซม่อน
เลิกทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็พี่เลี้ยงแซมมี่สักที
- Simon’s theory -