เซี่ยโม่นึกถึงเื่กินข้าวของน้องชายขึ้นมาได้เลยเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้คุณยายฟัง
คุณยายฟังแล้วก็ปวดใจ “น่าสงสารจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตอนเที่ยงเดี๋ยวยายเอาข้าวไปให้ดีกว่า”
“คุณยายคะ คุณยายหัวใจไม่ค่อยแข็งแรง หากเดินไกลโรคหัวใจอาจจะกำเริบได้ ตอนเที่ยงหนูพอมีเวลา เดี๋ยวหนูขี่จักรยานไปให้เองดีกว่าค่ะ แบบนี้สะดวกกว่า” เซี่ยโม่ส่ายหน้า ทราบดีว่าผู้เป็ยายมีโรคประจำตัว เธอจะปล่อยให้คุณยายเหนื่อยไม่ได้
“งั้นก็ได้ ลองดูก่อนแล้วกัน ถ้าหลานไม่ไหวก็บอกยาย เดี๋ยวยายเอาข้าวไปส่งให้เอง” คุณยายตอบตกลงพร้อมรอยยิ้ม
“ได้ค่ะ”
เช้าวันต่อมา พอเซี่ยโม่ตื่นนอนก็เข้าไปทำอาหารเช้าในห้องครัวทันที ระหว่างทำอาหารเธอแอบใช้ความนึกคิดส่วนหนึ่งเข้าไปในโกดังสินค้า เอาข้าวสารใส่ลงในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า และหยิบผักจากบนชั้นมาหั่น
ในโกดังสินค้ามีทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะผักกาด กวางตุ้ง เนื้อชนิดต่างๆ รวมถึงปลาและกุ้งด้วย
เธอไม่กล้าใช้ของที่ไม่มีในยุคนี้มาประกอบอาหาร ถ้าคนกินมีแค่เธอกับน้องชายยังพอว่า แต่สือโถวน้อยไม่ใช่คนโง่ เธอเลยต้องระมัดระวังให้ดี
หากสือโถวน้อยมีคำถามเกี่ยวกับมื้อเที่ยง เธอสามารถอ้างว่าเพราะทำอาหารในตำบลก็เลยมีเนื้ออุดมสมบูรณ์ ส่วนผักที่ใช้ก็เป็ผักที่มีเฉพาะฤดูกาลนี้
รายการอาหารวันนี้คิดว่าจะทำหมูผัดพริกหยวก ผัดมะเขือ และไข่คนอีกหนึ่งอย่าง
หลังจบคาบสามเธอแกล้งนอนฟุบหน้ากับโต๊ะทำเป็ว่าพักผ่อน ความจริงแล้วเธอนึกภาพตัวเองกลับเข้าไปในโกดังสินค้า จัดแจงเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวไฟฟ้า นำวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งสามอย่างที่เตรียมไว้ไปผัดในกระทะ
เพื่อนในห้องนึกว่าเซี่ยโม่นอนพักระหว่างคาบ ไม่มีใครรู้เลยว่า่เวลาแค่สิบนาทีนี้ เซี่ยโม่ไม่เพียงหุงข้าวเสร็จ แต่ยังทำอาหารเสร็จตั้งสามอย่าง
เมื่อเสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น เธอก็ยืดตัวตรง แสร้งทำเป็บิดี้เีเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
เมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึง เธออาศัย่ที่กำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋าดึงความคิดเข้าไปในโกดังสินค้า ตักข้าวที่หุงสุกแล้วใส่ในกล่องอาหารสามกล่อง ก่อนจะราดกับข้าวทั้งสามอย่างตามลงไป จากนั้นก็ปิดฝาอย่างดี
เซี่ยโม่ขี่จักรยานไปที่โรงเรียนประถม
เซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยกำลังเล่นอยู่ในสนาม ด้านข้างคือเด็กนักเรียนอีกคนที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตา เธอจำได้ในทันที เด็กคนนี้คือเด็กชายตาตี่ที่ทะเลาะกับน้องชายของเธอและสือโถวน้อยเมื่อวานไม่ใช่หรือ?
เซี่ยโม่รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความหวาดระแวงกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอย แต่ปรากฏว่าเด็กชายทั้งสามไม่ได้ทะเลาะกัน
ความจริงแล้วเด็กชายตาตี่เดินเข้ามาหาเพื่อจะมาขอโทษ “ขอโทษ เมื่อวานฉันเป็คนผิดเอง”
“รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว ต่อไปพวกเราคือเพื่อนกัน” สือโถวน้อยพูดอย่างใจกว้าง
“รู้ตัวว่าผิดแล้วแก้ไขถึงจะคือคนดี” เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้าหงึกหงัก ประโยคเมื่อครู่เขาจำมาจากพี่สาว
“นายชื่ออะไร” เฉินเฟิงกับสือโถวน้อยเอ่ยถาม
เด็กชายตาตี่มีทีท่าลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ “ฉันชื่อหลี่โฉ่วหวา ที่บ้านเรียกฉันว่าโฉ่วหวา”
“งั้นพวกเราเรียกนายว่าโฉ่วหวาแล้วกัน”
“อื้ม”
เซี่ยโม่ยิ้มอย่างโล่งอก ที่แท้เด็กทั้งสามคนถ้าไม่ทะเลาะก็ไม่รู้จักกันนี่เอง จะว่าไปเด็กชายตาตี่มีชื่อที่เหมาะสมกับตัวดีเหมือนกัน
“กินข้าวได้แล้ว หิวกันแล้วใช่ไหม”
พอได้ยินคำนี้แววตาของเซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยพลันเป็ประกายวิบวับ
เธอหยิบกล่องข้าวออกมาจากในกระเป๋า ความจริงคือหยิบออกมาจากในโกดังสินค้า
เซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยรับกล่องข้าวไปเปิดกิน ขณะหยิบกล่องข้าวใบสุดท้ายออกมา พบว่าโฉ่วหวากำลังยืนมองพร้อมน้ำลายที่แทบจะไหลออกมารอมร่อ
เห็นเช่นนั้นเธอจึงเอ่ยถามออกไป “โฉ่วหวา ตกลงเมื่อวานเราได้บอกพ่อกับแม่ให้ทำอาหารมากินตอนพักเที่ยงไหม”
“ไม่ได้บอกครับ” เด็กชายส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ”
“บ้านผมยากจน ตัวผมเป็พี่คนโต มีน้องๆ หลายคน ปีนี้อายุสิบขวบพ่อแม่ถึงค่อยส่งมาเรียนหนังสือ พวกเขาบอกว่าถ้าผมไม่ตั้งใจเรียนจะให้น้องอายุแปดขวบมาเรียนแทน แค่ได้มาเรียนแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ผมเลยไม่กล้าขอให้พ่อกับแม่ทำข้าวเที่ยงมาให้อีก” ใบหน้าของเด็กชายขณะเล่าพื้นเพตัวเองนั้นแสนเศร้าหมอง
ที่แท้ก็แบบนี้เอง น่าสงสารเหลือเกิน
ถึงว่าทั้งที่อายุสิบขวบแล้ว แต่ตัวกลับสูงไล่เลี่ยสือโถวน้อยที่อายุเจ็ดขวบย่างแปดขวบ หากดูให้ดีจะเห็นว่าตัวสูงไม่เท่าสือโถวน้อยด้วยซ้ำ
เธอตัดสินใจได้ในนาทีนั้น ทำทีหยิบถ้วยสะอาดๆ ออกมาจากกระเป๋านักเรียน แต่ที่จริงแล้วคือหยิบออกมาจากในโกดังสินค้า
เซี่ยโม่ใช้ตะเกียบคีบกับข้าวในกล่องอาหารของตัวเองใส่ในถ้วย แล้วยื่นให้โฉ่วหวา “กินสิ ถึงไม่เยอะแต่ก็น่าจะพอทำให้อิ่มท้องอยู่”
โฉ่วหวาน้ำตาไหลพรากทันที อยู่มาจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครแบ่งข้าวให้เขากินมาก่อน
ทุกวันไม่เพียงต้องพาน้องชายน้องสาวไปเก็บผัก ยังต้องพาไปขุดหาเห็ดอีกด้วย ที่บ้านมีอาหารไม่เพียงพอกับจำนวนคน เลยต้องพึ่งผักและเห็ดที่หามาได้ประทังชีวิต
เขารับถ้วยข้าวมา เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ขอบคุณพี่สาวมากครับ”
เซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยได้ฟังดังนั้นขอบตาก็แดงก่ำ
เซี่ยเฉินเฟิงใช้ตะเกียบคีบอาหารในกล่องของตัวเองไปใส่ในถ้วยข้าวของโฉ่วหวาบ้าง “พี่โฉ่วหวา ผมกินไม่เยอะ ผมแบ่งให้พี่”
“ผมก็กินไม่เยอะ ผมก็แบ่งให้เหมือนกัน” สือโถวน้อยยินดีแบ่งให้เช่นกัน
เซี่ยโม่มองถ้วยข้าวของโฉ่วหวาที่มีอาหารพูนถ้วย เธอยิ้มให้กับมิตรภาพของเด็กชายทั้งสามคนที่กำลังก่อเกิดขึ้น
“เอาละ เต็มถ้วยแล้ว เลิกตักอาหารใส่ถ้วยโฉ่วหวาได้แล้ว เที่ยงนี้ก็กินแบบนี้ไปก่อน ขอแค่ท้องไม่หิวก็พอ”
โฉ่วหวามองทั้งสามคนแล้วพูดอย่างตื้นตันใจ “ขอบคุณนะ ฉันโตเมื่อไรจะต้องตอบแทนทุกคนแน่นอน”
เซี่ยเฉินเฟิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พี่โฉ่วหวา ที่พวกเราแบ่งข้าวให้ ไม่ใช่เพื่อให้พี่มาตอบแทนเสียหน่อย”
“งั้นอยากได้อะไรล่ะ”
“พวกเราเห็นพี่น่าสงสารก็เลยแบ่งข้าวให้ แค่พี่จดจำเอาไว้ก็พอแล้ว พี่สาวเคยพูดว่า คนเราต้องมีความรักความเมตตา ขอแค่ต่อไปพี่เป็เด็กดี ไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” เซี่ยเฉินเฟิงตอบ
เซี่ยโม่คาดไม่ถึงเลยว่าน้องชายจะจดจำคำของเธอและนำมาใช้ อายุเพิ่งจะห้าขวบแต่พูดสอนคนที่โตกว่า ทั้งยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังอีกต่างหาก
มิน่าพวกนักวิจัยด้านจิตวิทยาถึงบอกว่า คำพูดของพ่อแม่จะมีผลต่อเด็กอย่างมาก
บางครั้งถึงเป็คำพูดที่กล่าวออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่เด็กจะจดจำเอาไว้และคิดว่าคำนั้นคือเื่จริง
“ฉันจะจำเอาไว้ ต่อไปฉันจะเป็คนที่มีความรักความเมตตาต่อทุกคน” โฉ่วหวาพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
แม้ข้าวกลางวันสำหรับสามที่จะต้องแบ่งออกให้เพียงพอต่อคนสี่คน แต่มื้อนี้ของเซี่ยโม่กับเด็กชายทั้งสามจบลงด้วยความอิ่มท้องและอิ่มเอมใจ
กินเสร็จเซี่ยโม่ก็เก็บของใส่ลงในกระเป๋าหนังสือ
“พี่กลับโรงเรียนก่อนนะ พวกเราต้องทำตัวดีๆ อย่าดื้อ อย่าซน เลิกเรียนถ้าพี่ไม่มาก็กลับก่อนได้เลย”
คาบสามใน่บ่ายวันนี้คือวิชาทบทวน เธอกลัวว่าคุณครูจะยึดคาบนี้ไป หากเป็เช่นนั้นเธอคงจะโดดเรียนไม่ได้
“ครับ”
เซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยพยักหน้าพลางรับปาก
นับั้แ่นั้น โฉ่วหวาก็ไม่รังแกเซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยอีก พอมีเื่อะไรขึ้นมากลับช่วยปกป้องด้วยซ้ำ
ทุกเที่ยงเธอจะทำอาหารกลางวันเผื่อให้โฉ่วหวาด้วย เป็การแสดงออกถึงน้ำใจและความรักเล็กๆ น้อยๆ ที่มีให้แก่เพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
์ให้โอกาสเธอกลับชาติมาเกิดใหม่ ทั้งยังบันดาลให้โกดังสินค้าตามมาด้วย เธอจึงถือโอกาสนี้ช่วยเหลือผู้คนรอบตัว
โบราณกล่าวไว้ว่าทำดีย่อมได้ดี ในชีวิตก่อน หลังจากเซี่ยโม่มีฐานะดีขึ้น เธอมักบริจาคเงินให้กับเด็กที่มีฐานะยากจนและคนชราที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว อาจเพราะเหตุนี้์เลยเมตตาให้โอกาสเธอกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งก็เป็ได้
ชาตินี้เธอเลยอยากยื่นมือไปช่วยเหลือผู้อื่นในขอบเขตที่พอจะทำได้
เซี่ยโม่ทราบดีว่าในโรงเรียนยังมีเด็กอีกหลายคนที่ไม่มีข้าวกลางวันกิน แต่ตอนนี้เธอยังไม่สามารถช่วยเหลือคนได้จำนวนมากขนาดนั้น