หลังจากกินข้าวเสร็จเจาเยี่ยก็รีบเดินทางไปชิวซานต่อ สไตล์ลิสต์รออยู่เรียบร้อยในเต็นท์ที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวเขาไม่ได้พัก เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ปล่อยให้พวกเขาจัดการแต่งตัว ใส่วิกผม แต่งหน้า กู้หลานอันนั่งอยู่อีกด้านอย่างสงบแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกง่วง
เป็ไปได้ยากมากที่เขาจะอยู่กับกู้หลานอันแล้วไม่ได้ยินเสียงร้องจ้อกแจ้กเจาเยี่ยชำเลืองมองเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่งก็เห็นเขานอนหลับลงบนเก้าอี้ที่หันมาทางตัวเองอย่างน่าเอ็นดู มุมปากเผยรอยยิ้มจางๆออกมา
เจาเยี่ยมองท่าทางการนอนของเขาอย่างขบขัน หันศีรษะกลับมามองจากในกระจกเห็นหลี่เสียวเหม่ยที่นั่งกอดเสื้อคลุมของตัวเองอยู่ด้านหลังกับหวังเว่ยซึ่งกำลังมองเหวินเซินเท่อคุยโทรศัพท์ แล้วเรียกเขาเสียงเบา
“หืม? ครับผม” เมื่อได้ยินเจาเยี่ยเรียกตัวเองหลี่เสียวเหม่ยก็รีบวิ่งไปตรงหน้าเขาทันที “มีเื่อะไรสั่งมาได้เลยครับ”
“ไม่มีเื่อะไรหรอกก็แค่จะถามว่าถือเสื้อคลุมไว้ตลอดแบบนี้ทำงานสะดวกรึเปล่า” เจาเยี่ยกล่าว
“สะดวกครับ ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วด้วยอีกอย่างถึงจะทำก็แค่เสื้อคลุมตัวเดียวเอง ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก” หลี่เสียวเหม่ยตอบ
“อืม” เจาเยี่ยตอบไปหนึ่งคำแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
หลี่เสียวเหม่ยรออยู่นานราวครึ่งค่อนวันไม่เห็นเขาพูดอะไรอีกกำลังจะถอยกลับไป ก็ได้ยินเจาเยี่ยพูดว่า “ช่วยออกไปหยิบน้ำที่รถให้ฉันขวดหนึ่งสิ”
“ได้ครับ” หลี่เสียวเหม่ยตอบรับ กำลังจะไปก็ได้ยินเจาเยี่ยพูดอีกว่า “วางเสื้อของฉันไว้ก่อนแล้วค่อยไปไม่ต้องถือไปทุกที่แบบนี้หรอก”
“ได้ครับ” หลี่เสียวเหม่ยฟังคำสั่งแล้วก็ได้ยินเจาเยี่ยพูดอีกว่า “โยนไว้แถวกู้หลานอันก็ได้ถ้าอยากใส่ขึ้นมาจะได้หยิบสะดวก”
“ได้ครับ” หลี่เสียวเหม่ยครุ่นคิดสักพัก เขาก็เอาเสื้อคลุมคลุมไว้บนตัวกู้หลานอันแล้วก็จากไป
มองการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาเจาเยี่ยแวววาวดั่งคลื่นน้ำที่ไหลเขยื้อนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เมื่อกู้หลานอันตื่นขึ้นมาก็ไม่มีคนอยู่ในเต็นท์แม้แต่คนเดียว เขาจึงลุกขึ้นรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ลื่นหลุดจากตัวเขาลงไป เขาหันศีรษะไปมองก็เห็นเสื้อคลุมของเจาเยี่ยกองนิ่งอยู่บนพื้น เขารีบก้มตัวลงไปเก็บปัดแล้วปัดอีกพลางยิ้มกว้างปากหุบไม่ลง กอดเสื้อไว้แล้วเดินออกไป
เมื่อออกมาก็พบว่ากำลังถ่ายทำกันอยู่การถ่ายทำฉากนี้คือฉากขุนศึกเคลื่อนทัพกลับพร้อมชัยชนะ แต่กลางทางถูกลอบแทงได้หญิงสาวคนหนึ่งช่วยไว้ กู้หลานอันมองปราดไปก็เห็นเจาเยี่ยอยู่หน้ากลุ่มคนทั้งหลาย สวมเสื้อเกราะขี่ม้าเหงื่อโลหิตไว้ [1] ลักษณะท่าทางน่าเกรงขามมีสง่าน่าเคารพเลื่อมใสและรูปงามเป็หนึ่งชาติที่แล้วเขากลัวว่าจะทำให้เจาเยี่ยอับอายเขาเลยไม่เคยไปกองถ่ายเพื่อดูเขาถ่ายทำเลย เคยได้ยินแต่ว่าเจาเยี่ยคนนี้เป็ส่วนผสมของการแสดงละครที่์สรรค์สร้างมาโดยแท้ คุณแค่จ้องมองไปที่เขาคุณก็สามารถดำดิ่งสู่การแสดงของเขา ตอนนี้ได้เห็นกับตามันเป็แบบนี้นี่เองแค่มองดูเขา ก็รู้สึกเหมือนถูกบีบรัด มีอานุภาพ หวาดหวั่นและไกลโพ้น
“หลานอัน คุณตื่นแล้วเหรอ” กู้หลานอันกำลังมองอย่างเคลิบเคลิ้มหวังเว่ยก็วิ่งเข้ามา “เมื่อสักครู่ผมไปเข้าห้องน้ำไม่ได้เฝ้าคุณอยู่ด้านใน ต้องขอโทษจริงๆ ”
“ไม่เป็ไร ฉันไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย” กู้หลานอันที่จ้องเจาเยี่ยอยู่ตอบเขาว่า “ช่วยหยิบสคริปต์ฉบับเต็มให้ฉันหน่อยสิ”
“ได้ครับ” หวังเว่ยรีบล้วงออกมาแล้วยื่นให้เขา
กู้หลานอันกวาดตาอ่าน ฉับพลันมือก็จับสคริปต์ไว้แน่น
ตามสคริปต์ต้นฉบับ ฉากนี้จะเป็ตอนที่ขุนศึกขี่ม้าไปยังสถานที่ห่างไกลมีก้อนหินหล่นลงมาจากูเา้า เขาหลบมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดแต่กลับถูกคนข้างหลังฉกฉวยจังหวะลอบแทงเขาจนาเ็ ต่อสู้กันอยู่หลายครั้งแต่คนน้อยย่อมจะต้านคนมากไม่ได้เขาเลยหนีไปซ่อนตัวยังสถานที่ไร้ผู้คนได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นก็สลบไป
แต่ว่าตอนนี้ เจาเยี่ยกลับถูกก้อนหินหล่นทับแล้วอีกอย่างดูจากลักษณะของก้อนหินที่กลิ้งลงมานี้เหมือนจะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงด้วยกู้หลานอันอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตาไปทางผู้กำกับแต่ดูไปแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะสั่งคัทเลยเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดมองไปยังเจาเยี่ยที่ต้องถือดาบต่อสู้ด้วยร่างกายที่าเ็ต้องพลิกแพลงไปตามสถานการณ์สุดท้ายกู้หลานอันก็อดทนไว้ ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า
ระหว่างการต่อสู้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบขุนศึกหนีกระเจิดกระเจิง หลังหลบหนีจากการถูกไล่ฆ่าได้แล้วเขายกมุมปากที่เปื้อนเืขึ้นแล้วแหงนหน้ายิ้มในน้ำเสียงที่เย้ยหยันแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย “สิบปีแล้วพวกแกก็ยังยอมรับฉันไม่ได้...ทำไม...” สิ้นเสียงเขาก็หมดเรี่ยวแรงล้มฟาดลงไปกับพื้น
ทุกคนในกองล้วนตกอยู่ในอารมณ์เศร้าใจ คนที่บ่อน้ำตาตื้นถึงกับน้ำตาคลอเบ้าจนกระทั่งผู้กำกับะโว่าคัทถึงได้สติกลับคืนมา ต่างคนต่างทำงานต่อกู้หลานอันก็ตรงไปดันคนออกแล้วพุ่งตรงไปข้างหน้าเบียดผู้คนจนถึงหน้าเจาเยี่ยที่กำลังยันร่างลุกขึ้นช้าๆ
“เจาเยี่ยนายไม่เป็ไรใช่ไหม? ” เดินไปถึงข้างกายเจาเยี่ยแล้วกู้หลานอันยับยั้งความอยากพุ่งเข้าไปสวมกอดเจาเยี่ยไว้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยมือที่สั่นเทา พลางกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น
“ไม่เป็ไร ฉันจะเป็อะไรได้ล่ะ? ” เจาเยี่ยยิ้มพลางมองเขา ูเาน้ำแข็งในใจเริ่มค่อยๆ ละลายแล้วท่าทางการแสดงความห่วงใยของกู้หลานอันอาจจะสามารถเสแสร้งได้ แต่ว่าความตื่นตระหนกใทางร่างกายที่แสดงออกมาไม่สามารถเสแสร้งได้
“นายอย่าหลอกฉันเลย ทำไมจะไม่เป็อะไร? นายเป็ถึงขนาดนี้แล้ว” กู้หลานอันดวงตาแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อยโกรธตัวเองที่ได้แต่ยืนมองเขาาเ็โดยที่ทำอะไรไม่ได้โกรธตัวเองที่จนป่านนี้ยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของเจาเยี่ยได้ให้เขากล้าพูดคำว่า“เจ็บจังเลย” กับตัวเองเวลาที่เขาได้รับาเ็
“ฉันเป็อะไรเหรอ? ” เจาเยี่ยเช็ดมุมปากแล้วพูดว่า “นายเพิ่งมากองถ่ายครั้งแรกคงจะยังไม่รู้ เืพวกนี้รอยแผลพวกนี้เป็ของปลอมหมด” เขาพูดแล้วยกมือเปื้อนเืขึ้นมาแกว่งต่อหน้ากู้หลานอัน “ดูสิ นี่เป็ซอสมะเขือเทศ” แล้วชี้ไปที่ถุงขยะสีเขียวที่สีดูกลมกลืนไปกับต้นหญ้าบนพื้น “ถุงซอสมะเขือเทศ”
“ที่ฉันพูดถึงคือตรงนี้ไหม? ” กู้หลานอันทนไม่ไหวที่จะคำรามออกมา “เจาเยี่ยนายรู้ดีว่าฉันพูดถึงอะไรอยู่? นายยังปิดบังฉันอีก”
“นายพูดถึงอะไร? ” เจาเยี่ยไม่ยอมรับถึงแม้จะไม่ถูกต้อง แต่เขาก็อยากเสพสุขกับท่าทีของกู้หลานอันที่กำลังเดือดดาลเพื่อเขานี้อีกสักหน่อย
“ฉันพูดถึงอะไร? ” กู้หลานอันทวนคำพูดของเขาแล้วก้าวไปข้างหน้าดึงเสื้อของเขาลงอย่างแรงมองไปที่รอยช้ำเขียวบนหัวไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ที่ฉันพูดถึงคือหัวไหล่ของนายเมื่อกี้ถูกก้อนหินกระแทกใช่รึเปล่า? ”
“เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นได้ยังไง?” เหวินเซินเท่อที่มองดูอยู่เดินฝ่าออกมาจากฝูงชนที่รุมล้อม มองร่างของเจาเยี่ยอย่างละเอียดแล้วถามว่า “ทำไมถึงโดนก้อนหินกระแทกได้เห็นได้ชัดว่าไม่มีเค้าโครงแบบนี้ในสคริปต์เลยนะอีกอย่างโดยทั่วไปอุปกรณ์การแสดงพวกนี้จะเป็ของปลอมหมด ทำไมมันถึงทำให้เกิดการาเ็หนักขนาดนี้ได้ล่ะ? ”
“นายถามฉันแล้วฉันจะไปถามใคร? ไปถามจางเจียอี้สิ” กู้หลานอันที่กำลังโกรธแต่ไม่มีที่ระบาย พอเหวินเซินเท่อเริ่มพูดเขาก็เอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่เขา พอเห็นเหวินเซินเท่อวิ่งออกไปเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จ้องเขม็งไปที่ฝูงชนที่สายตามองร่างกายของเจาเยี่ยอย่างเป็กังวลดึงเสื้อของเขาให้ชิดติดกัน ประคองเขาไว้แล้วพูดว่า “ไปฉันจะพานายไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้องหรอก ซื้อทิงเจอร์มาทา ก็พอแล้ว” เจาเยี่ยกล่าว
“พออะไร เขียวขนาดนี้แล้วต้องทากี่วันถึงจะหาย ไปโรงพยาบาล” หายากที่กู้หลานอันจะยอมอ่อนข้อให้แบบนี้ เจาเยี่ยก็ไม่ได้แย้งอะไรแล้วพูดแค่ว่า “งั้นรอฉันจัดการตัวเองเสร็จแล้วค่อยไปเถอะออกไปทั้งอย่างนี้ เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็ภูตผีปีศาจ”
“ดูดีขนาดนั้น ใครจะกล้าหาว่านายเป็ภูตผีปีศาจ” กู้หลานอันแย้ง เขาประคองเจาเยี่ยไปที่เต็นท์พอเดินออกจากกลุ่มฝูงชนเขาหันศีรษะกลับไปมองพวกเขาแล้วพูดด้วยเสียงไม่พอใจว่า “มัวยืนมองอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบมาเปลี่ยนชุดให้เจาเยี่ยอีก” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
เจาเยี่ยมองไปที่มือของเขาที่ประคองตัวเอง ลังเลอยู่สักครู่แล้วพูดว่า “กู้หลานอัน ฉันแค่าเ็หัวไหล่”
“ฉันรู้” กู้หลานอันหน้าแดงขึ้นมา แล้วรีบพูดว่า “ฉันอยากประคองนาย ไม่ได้เหรอ? ”
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] 汗血宝马 ม้าเหงื่อโลหิตหรือม้าอัคคัลทีค (Akhaltekin) เป็ม้าสายพันธุ์หนึ่ง ตามตำนานกล่าวกันว่ายามที่ม้าออกวิ่งบริเวณแผงคอจะมีเหงื่อไหลออกมาเป็สีแดงสดคล้ายเืปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเหงื่อของม้าพันธุ์นี้เป็สีแดงเนื่องจากปรสิตที่เกาะอยู่ที่ิัทำให้เหงื่อของม้ามีสีเืเจือปน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้