“ได้ ขอบคุณที่เตือนขอรับ” หลี่ซานได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอก จึงทราบว่าเป็บุตรชายทั้งสี่ที่ตื่นมาทำอาหารเช้าอยู่ในห้องครัว เขามองไปที่หวังไห่แล้วพูดว่า “ท่านอยู่กินข้าวเช้ากับข้าก่อนดีหรือไม่ ข้าจะให้พวกเขาทำอาหารเพิ่ม”
“ได้” หวังไห่อยากสนทนากับหลี่ซานเกี่ยวกับเื่การแต่งงานเกี่ยวดองของสองตระกูลอยู่พอดี
หลี่ซานกล่าวถามด้วยใบหน้าจริงจัง “ท่านสอนข้าหน่อยเถิดว่าจะดูแลคนอย่างไร” ในครอบครัวมีบ่าวไพร่เพิ่มขึ้นมาอีกสี่คน เขาจึงอยากดูแลบ่าวไพร่ให้ดีเพื่อช่วยลดภาระของบุตรสาว
ตระกูลหวังมีครอบครัวเล็กๆ ยี่สิบกว่าครอบครัว แต่ละครอบครัวมีคนอย่างน้อยสี่คน มากสุดก็สิบกว่าคน รวมแล้วตระกูลหวังมีคนหลายร้อยคน ซึ่งหวังไห่เป็ผู้ดูแลทั้งหมด ทั้งยังดูแลได้ดี หลายปีมานี้ไม่เคยมีชื่อเสียงไม่ดีให้ได้ยิน
นอกจากตระกูลหวังแล้ว ในหมู่บ้านหลี่ยังมีอีกสิบกว่าครอบครัวที่อพยพมาจากนอกหมู่บ้าน ซึ่งหวังไห่ก็เป็ผู้ดูแลเช่นกัน
หากหลี่ซานไม่ขอคำชี้แนะจากหวังไห่แล้วจะไปขอคำชี้แนะจากผู้ใดได้
“หากเ้าไม่ถามข้า ข้าก็คิดจะบอกเ้าอยู่พอดี” จากนั้นหวังไห่ก็อธิบายถึงหลักการดูแลคน ทั้งยังตั้งใจกล่าวเตือนเป็พิเศษว่า “คนที่ข้าดูแลเป็ชาวบ้านและคนในตระกูล แต่คนที่เ้าต้องดูแลคือบ่าวไพร่ จึงมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะเ้าเป็ผู้กุมชะตาชีวิตและความเป็ความตายของพวกเขา”
หลี่ซานรีบพยักหน้า
“โบราณว่า คนเก่งหนึ่งคนยังสู้คนรวมพลังกันสามคนไม่ได้ หากเ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจก็มาถามข้าได้ทุกเมื่อ” หวังไห่ตบไหล่หลี่ซานที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยท่าทีสนิทสนม เมื่อเห็นหลี่เจี้ยนอันเดินถือน้ำเต้าหู้เข้ามาก็กล่าวไปว่า “เจี้ยนอัน ข้ากับป้าสะใภ้ของเ้าเห็นเ้าเติบโตมาั้แ่เล็ก หากเ้ามีเวลาก็ไปนั่งเล่นที่บ้านข้าบ่อยๆ เถิด จะได้พูดคุยกับจื้อเกาด้วย”
หลี่เจี้ยนอันยิ้มตอบ “ได้ขอรับ” จากนั้นก็ไปยกแป้งย่างไข่ไก่เข้ามา
หลี่ฝูคังยกถ้วยกับตะเกียบเข้ามาจัดวางให้เรียบร้อย แล้วจึงใช้ถ้วยเล็กแบ่งน้ำเต้าหู้เอาไปวางบนโต๊ะด้านหน้าหวังไห่ “ท่านลุง จะให้ใส่น้ำตาลในน้ำเต้าหู้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ใส่ ข้าไม่ชอบกินหวาน” หวังไห่มองไปยังหลี่ฝูคัง เด็กคนนี้หล่อเหลากว่าหลี่เจี้ยนอัน นิสัยก็ร่าเริงกว่ามาก แตกต่างจากหลี่เจี้ยนอันที่มีความสุขุม โดยรวมแล้วดูดีมาก เพียงแต่หลี่ฝูคังเป็บุตรชายคนรองของบ้าน ฐานะสู้บุตรคนโตไม่ได้
ในแคว้นต้าโจว บุตรชายคนโตจะเป็ผู้ดูแลบิดามารดา ดังนั้นย่อมได้รับทรัพย์สินมากที่สุด นอกจากนี้บุตรชายคนโตก็เปรียบได้ดั่งบิดา หากเป็ตระกูลใหญ่ น้องชายน้องสาวก็ต้องฟังคำพูดของพี่ชายคนโต
ไข่ไก่ร้อนๆ หอมกรุ่นถูกยกขึ้นโต๊ะ ทั้งยังมีผักดองและถั่วลิสงทอดอีกด้วย อาหารเช้าเช่นนี้ต่อให้เป็ครอบครัวของหวังไห่ก็ยังกินกันไม่บ่อยนัก
หลี่ิ่หานนั่งลง ยิ้มให้หลี่ซานกับหวังไห่จนตาหยี แล้วอธิบายไปว่า “วันนี้ถึงคราวพี่สามของข้าทำแป้งย่างไข่ไก่แล้ว แป้งย่างพวกนี้เขาเป็คนย่าง เขายังย่างแป้งอยู่ อีกประเดี๋ยวก็จะออกมาแล้วขอรับ”
ปกติเด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่จะผลัดกันทำอาหารเช้า ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาทำการค้า แต่ละวันต้องทำงานมากมาย ดังนั้นการทำอาหารเช้าก็เปรียบเหมือนการละเล่น จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
หวังไห่กินแป้งย่างไข่ไก่ พบว่าในแป้งย่างผสมต้นหอมและเกลืออีกเล็กน้อย ดังนั้นส่วนประกอบทั้งหมดจึงมีทั้งไข่ไก่ แป้งขาว ต้นหอม เกลือ และน้ำมันพืช ส่งกลิ่นหอมอบอวลทำให้รู้สึกอยากอาหาร แป้งย่างเหล่านี้อร่อยกว่าแป้งย่างที่ครอบครัวตนทำมากนัก เขามองไปยังเด็กชายของบ้านหลี่แล้วถามว่า “พวกเ้าทำแป้งย่างเป็กันทุกคนหรือ”
หลี่ฝูคังยิ้ม “ใช่ขอรับ แป้งย่างไข่ไก่นับว่าทำง่ายมาก ง่ายกว่าแป้งย่างใส่ไข่เสียอีก” แป้งย่างไข่ไก่ก็คือ แป้งย่างที่นำไข่ไก่มาผสมกับแป้งแล้วนำไปนวด สุดท้ายจึงเอาไปย่าง แป้งย่างชนิดนี้ผสมไข่ไก่สองฟองต่อแป้งหนึ่งชั่งก็พอแล้ว ไม่เหมือนแป้งย่างใส่ไข่ที่ต้องใช้ไข่ไก่จำนวนมากกว่าและมีวิธีการทำที่ซับซ้อนกว่า
“จื้อเกาของบ้านข้าถูกป้าสะใภ้ของเ้าตามใจจนเคยตัวแล้ว ทำอะไรไม่เป็สักอย่าง ั้แ่เล็กจนโตก็ไม่เคยเข้าครัว กระทั่งจุดฟืนก็ยังจุดไม่เป็ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ทำแป้งย่างที่อร่อยเพียงนี้เลย คนในครอบครัวเ้ามีความสามารถมากจริงๆ”
หลี่ซานกล่าวขึ้นว่า “จื้อเกาเรียนหนังสือได้ดี ต่อไปย่อมต้องเข้าสอบกลายเป็ซิ่วไฉ จวี่เหริน จิ้นซื่อ และเป็ขุนนาง จะทำอาหารไปทำไมเล่า”
“ข้าได้ยินจื้อเกาบอกว่า พวกเจี้ยนอันก็เรียนหนังสือได้ดี จางซิ่วไฉชมพวกเขาอยู่บ่อยๆ”
“เป็เพราะจางซิ่วไฉสอนดี พวกเจี้ยนอันก็ขยันเรียน”
“เ้ามีวาสนามากจริงๆ บุตรชายเรียนหนังสือได้ดี บุตรสาวก็ฉลาดเฉลียวมากความสามารถ ส่วนทารกน้อยทั้งสองคนนั้น ข้าดูแล้วคิดว่าต่อไปก็คงไม่เลวเลย”
“ท่านไม่ต้องอิจฉาข้าหรอก ข้าว่าเยี่ยนเอ๋อร์กับจื้อเกาก็ดีมากเช่นกัน”
“เ้าคิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์ของบ้านข้าดีหรือ”
หลี่ซานพยักหน้าแล้วกล่าวชมเชยไปว่า “ดี” นี่คือคำพูดจากใจ เด็กสาวทั่วทั้งหมู่บ้านหลี่ หากไม่นับบุตรสาวของบ้านตน หวังเยี่ยนก็ดีที่สุด
ฝีมือการปักผ้าของหวังเยี่ยนยอดเยี่ยมกระทั่งจ้าวซื่อก็ยังชมเชย นางนำผ้าปักไปขายที่ร้านผ้าในตำบลจนหาเงินได้มาก มีความกตัญญูต่อหวังไห่และมารดา ทั้งยังรักใคร่และดูแลหวังจื้อเกาเป็อย่างดี
ก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านคิดว่าหวังเยี่ยนเป็บุตรสาวคนโตของหัวหน้าหมู่บ้าน ทางครอบครัวมีฐานะดีจึงไม่จำเป็ต้องไปปลูกผักทำนา คงทนลำบากไม่ไหว ทว่า่นี้หวังเยี่ยนและเฟิงซื่อไปขายเต้าหู้ที่ตัวอำเภอ แม้อากาศจะหนาวเย็นจนพื้นเป็น้ำแข็ง ต้องเดินเท้าไปกลับทุกวันเป็ระยะทางหลายสิบลี้นางก็ยังทนได้
ดรุณีน้อยเช่นนี้ย่อมดีแน่นอน
หวังไห่ยิ้มแก้มแทบปริ ปรายตามองไปทางหลี่เจี้ยนอันที่กำลังกินแป้งย่างอยู่ จากนั้นจึงสะกิดแขนหลี่ซานแล้วกล่าวไปว่า “เ้าว่าเยี่ยนเอ๋อร์ดี เช่นนั้นให้นางเป็ลูกสะใภ้คนโตของเ้า พวกเราสองครอบครัวจะได้เกี่ยวดองเป็ญาติกัน ดีหรือไม่”
จู่ๆ ห้องโถงก็เงียบงันไร้ซึ่งเสียงอันใด หลี่เจี้ยนอันรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่ตนจึงยิ่งก้มหน้าต่ำลง ไม่พูดไม่จาแต่แก้มกำลังแดงระเรื่อ ตื่นเต้นจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่งราวกับจะหลุดออกมาจากอก ผ่านไปพักใหญ่ยังไม่ได้ยินเสียงตอบของหลี่ซาน จึงเงยหน้าขึ้นมองไปด้วยความกังวล
ยามที่หลี่หรูอี้ตื่นนอนแล้ว หวังไห่ก็กินข้าวเสร็จและกลับบ้านไปแล้ว หลี่ซานมองไปยังบุตรสาวที่มีรูปโฉมงดงาม ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางดีอกดีใจว่า “ลูกสาวข้า ตระกูลหวังอยากซื้อเต้าหู้เพิ่มอีกหนึ่งพันชั่ง เ้าว่าได้หรือไม่”
“แปดร้อยชั่ง” หลี่หรูอี้เห็นรอยยิ้มของหลี่ซานค่อยๆ เลือนหาย จึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าคิดจะทำฟองเต้าหู้ออกมาขาย ถึงตอนนั้นค่อยขายฟองเต้าหู้ให้ตระกูลหวังเพิ่มอีกก็ได้เ้าค่ะ”
“ฟองเต้าหู้คืออะไร”
“วันนี้ประเดี๋ยวข้าทำออกมาท่านก็ทราบเอง”
เงินทุนที่ใช้ในการทำฟองเต้าหู้มากกว่าเงินทุนที่ใช้ทำเต้าหู้เล็กน้อย ต้องซื้อผ้าสักสองสามจั้งมาใช้ห่อฟองเต้าหู้เพิ่มเติม
การทําฟองเต้าหู้ไม่แตกต่างจากการทำเต้าหู้มากนัก มีเพียงกระบวนการสุดท้ายที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังซับซ้อนกว่าเล็กน้อย ตอนนี้ตระกูลหลี่มีบ่าวไพร่แล้ว หลี่ซานและหลี่สือจึงว่างงาน ให้พวกเขาไปทำฟองเต้าหู้ได้พอดี
ฟองเต้าหู้ปรุงง่าย นำมาห่อเนื้อห่อต้นหอมก็ได้ เอาไปหั่นเป็แผ่นนำไปทำน้ำแกงหรือผัดเป็อาหารก็ยังได้ หรือจะหั่นเป็เส้นแล้วนำไปทำเป็อาหารจานเย็นก็ได้เช่นกัน
ฟองเต้าหู้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อคนทุกวัย
“ขายเต้าหู้ได้ดีแล้วยังคิดจะขายฟองเต้าหู้อีกหรือ” หลี่ซานรู้สึกกังวล เนื่องจากเงินทุนที่ต้องใช้ในการทำฟองเต้าหู้ค่อนข้างสูงกว่า กลัวว่าจะขายได้ไม่ดีเท่าเต้าหู้
หลี่หรูอี้อธิบายอย่างอดทน “ในด้านอาหารการกินย่อม้าความแปลกใหม่ ไม่อาจย่ำอยู่กับที่โดยไม่เปลี่ยนแปลง ท่านคิดดูเถิด หากอาหารตามหอสุราหรือโรงเตี๊ยมเหมือนกันตลอดทั้งปี ลูกค้าย่อมกินจนเบื่อหน่าย ดังนั้นอาหารจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ทั้งยังต้องคอยทำอาหารชนิดใหม่ออกมาเสมอ ั้แ่ครอบครัวเราทำกิจการขายอาหารก็ไม่เคยหยุดขายอาหารชนิดใหม่ ดังนั้นกิจการจึงรุ่งเรืองมาตลอด”
หลี่ซานคิดตามก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงกล่าวไปว่า “เช่นนั้นข้าจะฟังเ้า”
หลี่หรูอี้ยิ้ม “ท่านพ่อ ข้าเห็นท่านยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นนี้ มีเื่ดีๆ อันใดหรือ”
“เช่นนั้นหรือ เ้าก็มองออกว่าข้าดีใจหรือ” หลี่ซานยิ้มออกมาอีกครั้ง “เื่นี้ข้ายังต้องหารือกับแม่เ้าอีก แต่จะบอกให้เ้าฟังสักหน่อยแล้วกัน” จากนั้นก็เล่าเื่ที่หวังไห่มากินอาหารเช้า และกล่าวเื่ที่้าให้สองครอบครัวแต่งงานและเกี่ยวดองเป็ญาติให้หลี่หรูอี้ฟัง
“พี่เยี่ยนจะมาเป็พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าหรือ” หลี่หรูอี้คิดในใจว่า ปีนี้พี่ชายใหญ่อายุสิบสาม ส่วนหวังเยี่ยนอายุสิบสี่ อายุของสองคนรวมกันเพิ่งจะยี่สิบเจ็ดเท่านั้น ถึงกับต้องแต่งงานแล้วหรือ อายุยังน้อยเกินไปจริงๆ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้